“เจ้าคือหลานชายของใต้เท้าสวีหรือ?”หลี่เฉินถาม โดยจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ตัวเองนั้นได้เปิดประตูหลังให้หลานชายของสวีฉังชิงไปการแสดงออกของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไป เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยสวีจวินโหลว”“พาข้าเข้าไปพบครอบครัวของใต้เท้าสวีหน่อย” คำขอที่ไม่สมเหตุสมผลของหลี่เฉิน ทำให้สวีจวินโหลวขมวดคิ้วในเวลานี้ หากเป็นสหายธรรมดาๆ ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงเขา แต่หลี่เฉินกลับมีพฤติกรรมที่ไม่ธรรมดา สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แทนที่จะจากไป เขากลับขอพบสมาชิกในครอบครัวด้วยซ้ำนี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งแต่สวีจวินโหลวกลับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ว่า ตัวเองนั้นไม่ควรปฏิเสธอีกฝ่าย“เชิญ”สวีจวินโหลวยกมือขึ้น และเชิญหลี่เฉินกับซานเป่าเข้าไปในห้องโถงด้านในภายในห้องโถง มีสตรีสามคนกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ซานเป่าโน้มเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของหลี่เฉินว่า “สามคนนี้เป็นภรรยาและอนุของสวีฉังชิง คนตรงกลางที่สวมชุดสีม่วงคือฮูหยิน ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ คืออนุภรรยา สวีฉังชิงไม่มีลูก ดังนั้นหลานชายที่ชื่อสวีจวินโหลว จึงได้รับการเลี้ยงดูเหมือนลูกชาย”หลี่เฉินพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเข้าใจแ
“เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้เงินเดือนจะเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ท้องพระคลังของราชสำนักกลับว่างเปล่า และมักจะค้างชำระเงินเดือน แล้วสามีของข้าทำอะไรได้บ้าง? ข้าที่เป็นภรรยา เอาห้องข้างทั้งสองด้านมาทำเป็นโรงงานเย็บผ้า เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว”“หากคุณชายจะพูดเช่นนี้ ไม่ลองไปถามพวกขุนนางทุจริตที่อยู่ในเขตชั้นในบ้างเล่า ลานของพวกเขาใหญ่โตโอ่โถง มีภาพวาดแกะสลักมากมาย และมีข้ารับใช้นับร้อยคอยปรนนิบัติ แต่ท่านกลับมาถามข้า นี่หมายความว่าอย่างไร?”หลังจากถูกด่าติดต่อกันหลายครั้ง หลี่เฉินก็รู้สึกอับอายซานเป่าเห็นหลี่เฉินรู้สึกอับอาย จึงคิดจะระเบิดอารมณ์ออกมาแต่หลี่เฉินกลับโบกมือห้ามซานเป่าเอาไว้“ถูกต้อง เป็นข้าเองที่เสียมารยาท ต้องขออภัยฮูหยินจริงๆ”หลี่เฉินโค้งคำนับสตรีในชุดม่วง ตอนนี้เอง ผู้หญิงในชุดม่วงก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา“ไม่เป็นไรๆ เป็นข้าที่เสียกริยาไปแล้ว แต่ตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังตกต่ำ สามีของข้าคงไม่ได้กลับออกมาอีกแล้ว ข้าไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร”ในระหว่างที่สตรีชุดม่วงพูด นางก็เริ่มร้องไห้ขึ้นมา ตอนนี้เอง สวีจวินโหลวก็เข้ามาพูดกับหลี่เฉ
ขณะที่หลี่เฉินไปเยี่ยมครอบครัวสวีเพื่อแสดงความเสียใจ จ้าวไท่ไหลก็กำลังประสบกับความน่ากลัวของกฎบ้านตระกูลจ้าวจ้าวไท่ไหลถูกมัดไว้กับม้านั่ง เขากรีดร้องเหมือนหมูถูกฆ่า ในขณะที่แส้เฆี่ยนลงบนร่างกายของเขา“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! อย่าตีเลยนะ! ได้โปรดอย่าตี!”แม้จะเห็นว่าแผ่นหลังและก้นของจ้าวไท่ไหลถูกตัวเองเฆี่ยนตีจนเนื้อแตก แต่ความโกรธในใจของจ้าวเสวียนจีก็ยังไม่สิ้นสุด“ข้าขอให้เจ้าไปผูกมิตรกับรัฐทายาท ไม่ใช่ให้เจ้าไปเป็นโล่บังธนูให้กับพวกเขา! เจ้ารู้ไหมว่าตำแหน่งผู้นำสมาคมของเจ้า มันจะทำให้ข้าและทั้งตระกูลจ้าวทั้งหมดตายโดยไม่มีที่ฝังศพ! ?” เสียงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวของจ้าวเสวียนจี ทำให้จ้าวไท่ไหลพลันหน้าซีด“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้นัก อีกอย่างสมาคมเหวินหยวนแห่งนี้ก็ดูจะดีจริงๆ สมองของข้าเลยตกปากรับคำไป ท่านพ่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าจะรีบไปลาออกทันทีตกลงไหม? ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย”จ้าวไท่ไหลกลัวถูกตีจริงๆ เขาจึงอ้อนวอนอย่างขมขื่นจ้าวเสวียนจีแค่นเสียงอย่างเย็นชา โยนแส้ทิ้งแล้วกล่าวเสียงรอดไรฟันว่า “ลาออก? ตำแหน่งผู้นำสมาคมนี้เป็นง่าย แต่ลาออกยาก!”เมื่อเห็นจ้าวไท่ไหลร้องไห
สีหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันอึมครึม สายตาดูหม่นหมองเดิมทีเขาสามารถอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงท่ามกลางพายุ และคอยชักนำให้ตำหนักบูรพากับเหวินอ๋องต่อสู้กัน แต่ตอนนี้ลูกชายกลับตกหลุมพราง ทำให้เขาต้องลงมาเล่นในสนามด้วย เกรงว่าตอนนี้คนที่ได้ประโยชน์ก็คือตำหนักบูรพาตอนนี้เอง จ้าวไท่ไหลก็ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้วเขาไม่ได้คิดถึงข้อต่อภายใน แต่เมื่อมองดูท่าทางโกรธเกรี้ยวของบิดา เขาก็รู้ว่าตัวเองนั้นสร้างปัญญาใหญ่แล้วจริงๆ จ้าวไท่ไหลข่มความเจ็บปวดแล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี?”จ้าวเสวียนจีพูดหน้าเครียดว่า “จะทำอะไรได้อีกล่ะ? ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน ถ้าไม่มีคำสั่งของข้า และเจ้ากล้าก้าวออกจากบ้านแม้แต่ครึ่งก้าว ก็อย่าตำหนิที่ข้าจะตัดหางปล่อยวัดเจ้า!”จ้าวไท่ไหลพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านพ่อ ไม่จริงใช่ไหม? ท่านทำเช่นนี้ไม่สู้ฆ่าข้าเสียเลยล่ะ!”“เช่นนั้นก็ตายไปซะ!” จ้าวเสวียนจีพับแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ตายไปซะก็ยังดีกว่าปล่อยให้เจ้าก่อหายนะขึ้นมา”พูดจบ เขาก็ไม่อยากเห็นหน้าจ้าวไท่ไหลอีกต่อไป จึงตะคอกใส่ว่า “ไสหัวกลับไปที่เรือน
“ฝ่าบาท!”เก๋อผิงอี้วิ่งไปหาหลี่เฉินและคุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ทูลฝ่าบาท เรือนจำของกรมยุติธรรมนั้นเป็นสถานที่ที่เปียกชื้นและสกปรก พระวรกายดั่งทองพันชั่งเช่นฝ่าบาทไม่ควรเข้าไปในนั้น”หลี่เฉินมองเก๋อผิงอี้อย่างเย็นชาและพูดว่า “ไม่ควรเข้าไป? เจ้ากำลังสั่งข้าอยู่งั้นหรือ?” เก๋อผิงอี้ตัวสั่นและรีบตอบว่า “กระหม่อมมิกล้า”“ไม่กล้า?” หลี่เฉินกล่าวเสียงเย็นชา “หรือว่ามีอะไรน่าอายที่เจ้าไม่กล้าแสดงให้ข้าเห็นหรือเปล่า?”ขณะที่เก๋อผิงอี้กำลังจะพูด ดาบของซานเป่าก็จ่อไปที่คอของเขาแล้ว“ใต้เท้าเก๋อ เรือนจำของกรมยุติธรรมไม่อนุญาตให้คนเข้าไป แต่เรือนจำของหน่วยบูรพายินดีต้อนรับใต้เท้าเก๋อให้เข้าไปดู สงสัยว่าใต้เท้าเก๋ออยากจะไปหรือไม่?”ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา เก๋อผิงอี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกตอนนี้เอง หลี่เฉินก็เข้าไปในกรมยุติธรรมแล้วหลังจากที่ซานเป่าเก็บดาบ เขาก็เดินตามไป เก๋อผิงอี้เรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งให้รีบไปตามเสนาบดีกรมยุติธรรมเฉียนซื่อเหยียนให้มาที่นี่โดยเร็วที่สุด จากนั้นก็ติดตามเข้าไปอย่างหวาดกลัวหลี่เฉินเดินไปจนถึงเรือนจำของกรมยุติธรรม เมื่อเข้าไปในคุกที่มืด
เมื่อหลี่เฉินกล่าวประโยคนี้ เจ้าหน้าที่จากกรมยุติธรรมก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัวเก๋อผิงอี้ก็ร้องขอความเมตตาเช่นกัน แต่องครักษ์เสื้อแพรสองนายก็หามเขาขึ้นมาและโยนเข้าไปในห้องขังภายในห้องขังสกปรกเต็มไปด้วยน้ำที่มีกลิ่นเหม็นและโสโครก เก๋อผิงอี้ที่คุ้นเคยกับชีวิตหรูหราจึงเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา เขาลุกขึ้นและอยากจะหนี แต่ทว่าไม่ทันได้ยืดตัว หัวก็ไปชนกับเพดานคุกแล้วเสียงดังโป๊กดังขึ้น หมวกขุนนางของเก๋อผิงอี้ก็ร่วงลงมา ผมกระเซอะกระเซิงและมีเลือดไหล สภาพดูน่าสังเวชมากเขาไม่สนความเจ็บปวด แต่ตะเกียกตะกายไปหน้าประตูคุก จับเสาเหล็กเอาไว้แล้วอ้อนวอนหลี่เฉิน “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้าย กระหม่อมเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น การตำหนิที่รุนแรงเช่นนี้ถูกโยนให้กระหม่อมทั้งหมดได้อย่างไร กระหม่อมไม่ยอม!”เมื่อมีเก๋อผิงอี้เป็นผู้นำ เหล่าเจ้าหน้าที่และขุนนางกรมยุติธรรมคนอื่นๆ ที่กลัวว่าตัวเองอาจจะกลายเป็นแบบนั้น จึงพากันคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวพร้อมกันว่า “ฝ่าบาทโปรดเมตตา”เวลานี้ สวีฉังชิงที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทรมานมากมายก็รู้สึกเดือดพล่าน แม้จะถูกองครักษ์เสื้อแพรพาตัวออกมา แต่เขาก็ยังพูดเสียงหนักแน่นว
เมื่อหลี่เฉินออกคำสั่ง ซานเป่าที่ต้องการบีบคอเก๋อผิงอี้ให้ตายก็ปล่อยมือโดยไม่ลังเลหลังจากได้อิสรภาพในการหายใจอีกครั้ง เก๋อผิงอี้ก็เอามือกุมคอแล้วนอนลงกับพื้นพร้อมหอบหายใจ ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าการหายใจเป็นสิ่งที่สวยงามมาก จนกระทั่งเสียงของหลี่เฉินดังขึ้น “เงยหน้าขึ้นมา”หลังจากที่เก๋อผิงอี้ฟื้นความสงบแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉิน“ก็จริงที่เจ้าเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่ง เรื่องเหล่านี้สาเหตุก็มาจากสำนักราชเลขา แต่ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าคิดว่าการที่ข้าจัดระเบียบกรมยุติธรรม กวาดล้างขุนนางเช่นเจ้า เป็นเพราะว่าข้าอยากจะระบายความโกรธ? หรือต่อสู้แย่งชิงอำนาจ?”คำถามของ ทำให้เก๋อผิงอี้หัวเราะอย่างเย็นชา “หรือว่าไม่ใช่?” “แน่นอนว่าไม่”ดวงตาของหลี่เฉินเย็นลง เขากล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าประเมินข้าต่ำไป”“กรมยุติธรรมบังคับใช้กฎหมายของจักรวรรดิ เป็นตัวแทนของกฎหมายที่ปกครองบ้านเมืองของจักรวรรดิ กฎหมายที่ปกครองบ้านเมืองคืออะไร?”“ดินแดนทั้งหมดของต้าฉิน ราษฎรและขุนนางทั้งหมดของต้าฉินจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย กฎหมายคือสิ่งที่อนุญาตให้ผู้คนในต้าฉินสามารถปฏิบัติได้ มีกฎหมายให้ปฏิบัติตาม หากท
สายตาของทั้งคู่ต่างสบตากันแม้ว่าจะไม่มีการแลกเปลี่ยนคำพูดสักคำ แต่ในฐานะคนสนิทของเฉียนซื่อเหยียน เก๋อผิงอี้ก็เข้าใจถึงการข่มขู่ด้วยท่าทางที่น่ากลัวนั้นแล้ว เก๋อผิงอี้กัดฟันไม่ยอมพูดอะไร เขารู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว แต่ว่าเขายังมีครอบครัว หากเขาขายเฉียนซื่อเหยียน เฉียนซื่อเหยียนก็มีหลายวิธีในการจัดการกับครอบครัวของเขา หากมีจุดจบสองอย่าง เขาจะเลือกทางที่อันตรายน้อยกว่า เก๋อผิงอี้ไม่กล้าเสี่ยงชีวิตทั้งครอบครัวของเขาฉากนี้ล้วนอยู่ในสายตาของหลี่เฉินเขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “เก๋อผิงอี้ หากเจ้าไม่พูด ทุกอย่างก็จะจบลงที่เจ้า”ก่อนที่เฉียนซื่อเหยียนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ได้ยินหลี่เฉินพูดต่อว่า “และเจ้าจะต้องรับผิดทุกอย่าง เจ้าดูหมิ่นกฎหมายของต้าฉิน ทำลายกฎเกณฑ์และข้อบังคับของต้าฉิน สิ่งนี้นับเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง มันเพียงพอที่ข้าจะสั่งลงโทษตระกูลเจ้าได้”“เจ้าเป็นรองเสนาบดีกรมยุติธรรมฝ่ายขวา ไหนลองบอกข้ามาสิ การลงโทษแบ่งออกเป็นกี่ระดับ?”เก๋อผิงอี้หน้าซีดเผือด เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ยากลำบากว่า “แบ่งออกตามความรุนแรงได้สามระดับ ระดับหนึ่ง การมั่วสุมก่อ
คำกล่าวของฟู่อวี้จือราวกับเป็นเข็มกระตุ้นหัวใจให้กับบรรยากาศอันตึงเครียดในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางทุกคนต่างสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองฟู่อวี้จือ“เงินเดือนขุนนาง ค่าใช้จ่ายของราชสำนัก ค่าจ้างทหาร ตลอดจนการบรรเทาภัยพิบัติ ล้วนมีระเบียบและกฎเกณฑ์ คลังหลวงเก็บภาษีได้ในแต่ละปี แม้ไม่เพียงพอสำหรับทุกค่าใช้จ่าย แต่ก็สามารถจ่ายได้บางส่วน องค์รัชทายาทจะมาใช้เล่ห์กลปั่นหัวผู้คนและบิดเบือนความจริงได้อย่างไร?”คำพูดเพิ่งจบลง ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมากลางคัน“ใต้เท้าฟู่ คำกล่าวนี้ผิดถนัดแล้ว”ประโยคเปิดหัวคล้ายกัน แต่เปลี่ยนผู้พูดไปเป็นสวีฉังชิงเขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนกล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างนั้นแน่นอนว่าต้องใช้เงินจากคลังหลวง แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธคือคลังหลวงขาดแคลนมาหลายปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ปีที่แล้วเกิดภัยพิบัติ ฝ่าบาททรงเมตตาต่อราษฎร จึงยกเว้นภาษีในหลายพื้นที่ นั่นจึงทำให้ไม่เพียงแต่รายได้จากภาษีลดลง แต่คลังหลวงยังต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ รายรับกับรายจ่ายที่สวนทางกันเช่นนี้ ใต้เท้าฟู่คิดว่าช่องว่างมันมากเพียงใดกัน?”“ปีที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะองค์รัชท
"ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ทำสิ่งใด จะใช้ส่วนตัวหรือเติมเต็มคลังหลวงก็ตาม แต่ความจริงก็คือองค์รัชทายาทได้เป็นตัวอย่างที่เลวร้ายไปแล้ว หากในอนาคตขุนนางคนอื่นมีงานมงคลหรือไว้ทุกข์ พวกเขาก็สามารถรับของขวัญเป็นจำนวนมากเช่นนี้ได้กระนั้นหรือ? เช่นนี้ไม่ใช่การส่งเสริมลมร้ายและอธรรมดอกหรือ?"คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ดังก้องไปทั่วพระที่นั่งในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม เป็นแบบอย่างของขุนนางที่ซื่อสัตย์และสุจริตจนกระทั่งหลี่เฉินจ้องมองเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า "ดีมาก จ้าวอ๋อง ในที่สุดก็กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา""ในราชสำนัก คงมีอีกหลายคนที่คิดเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่?"สายตาของหลี่เฉินกวาดไปทั่วหมู่ขุนนางในพระที่นั่งไท่เหอก่อนเอ่ยอย่างเยือกเย็น "ผู้ใดคิดเช่นเดียวกับจ้าวอ๋อง ก้าวออกมาให้ข้าเห็นหน่อยสิ"ทั่วทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบงันจ้าวอ๋อง เป็นผู้ที่ออกตัวขัดแย้งกับองค์รัชทายาทโดยตรง แต่ผู้ใดที่มีสมองย่อมไม่กล้าออกมาสนับสนุนเขา โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่เช่นนี้ การเลือกข้างผิดพลาด อาจหมายถึงชีวิตขุนนางที่สามารถก้าวเข้ามาในพระที่นั่งไท่เหอ และมีสิทธิ์ร่วมต
ราชโองการสำนึกผิด!ราชโองการสำนึกผิด หมายถึงราชโองการที่ใช้แถลงถึงความผิดและบาปกรรมของตนเองพูดให้ชัดเจนก็คือ หนังสือสารภาพผิดหรือคำสารภาพผิดระดับสูงสุดแต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อเป็นราชโองการ ก็ต้องเป็นฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งนี้ได้และฮ่องเต้ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของราชสำนักในยุคศักดินา ครองแผ่นดินเป็นของตระกูล เป็นเจ้าเหนือหัวของไพร่ฟ้าทั้งปวง เขาจะทำผิดได้อย่างไร?ฮ่องเต้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนให้เป็นผู้ถูกต้องตลอดเวลา ไม่มีวันทำผิด และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาลหากภาพลักษณ์นี้พังทลาย ฮ่องเต้ก็จะมีอีกสมญานามหนึ่งว่า ฮ่องเต้โง่เขลาและหากมีการออกราชโองการสำนึกผิด นั่นหมายถึง ฮ่องเต้ได้ยอมรับด้วยตนเองว่าเป็น ฮ่องเต้โง่เขลาดังนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหวาเซี่ย ฮ่องเต้ที่เคยออกราชโองการสำนึกผิด มีอยู่เพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นและพวกเขาแทบทั้งหมดออกคำสั่งนี้ในสถานการณ์เดียวกันเมื่อแคว้นของตนกำลังเผชิญปัญหาภายในและภายนอกจนใกล้ล่มสลายในช่วงเวลานี้ เพื่อเรียกความศรัทธาจากไพร่ฟ้า และเพื่อรวมพลังจากเหล่าขุนนางและแม่ทัพ ฮ่องเต้ จะออกราชโองการสำนึกผิดเน
คำพูดนี้ ต้าสิงฮ่องเต้ที่อยู่ในอาการหนัก ราวกับได้ยินพระองคทรงขยับปลายนิ้วเบาๆ ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้หากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครเห็นหลี่เฉินนั่งตัวตรง มองต้าสิงฮ่องเต้ลึกซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกจากตำหนักเฉียนชิงวันรุ่งขึ้น ราชสำนักเปิดประชุมเช้าตามปกติหลี่เฉินยืนอยู่บนแท่นพระที่นั่ง เคียงข้างบัลลังก์มังกร สายตากวาดมองหมู่ขุนนางที่ยืนเรียงรายด้านล่าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เหล่าขุนนาง หากมีเรื่องให้กราบทูล ก็กล่าวมา หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุม"แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องสายตาของหลี่เฉินแวบมองไปยัง หลี่อิ๋นหู่ โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น เขารู้ว่า นี่คือการโจมตีระลอกแรกของจ้าวเสวียนจีที่ผ่านมาในการประชุมเช้า หากเขาไม่อนุญาต หลี่อิ๋นหู่จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแต่วันนี้ เขาไม่ได้เรียกหลี่อิ๋นหู่มา ทว่าหลี่อิ๋นหู่กลับมาเองณ จุดเวลาอันอ่อนไหวเช่นนี้ ความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจมองข้ามเป็นไปตามคาด หลังจากที่หลี่เฉินกล่าวจบ หลี่อิ๋นหู่ก็ก้าวออกมาทันที "กราบทูลองค์รัชทายาท ข้ามีเรื่องจะทูล"มันเริ่มขึ้นแล้วและผู้เปิดฉาก คือหลี่อิ๋นหู่เองหลี่เฉินหรี่ตา
"องค์รัชทายาทช่างเฉลียวฉลาด"ระหว่างทางกลับไป ซูเจิ้นถิงอธิบายเรื่องราวให้หลี่เฉินฟัง"ฝ่าบาททรงวางแผนเรื่องพี่น้องตระกูลอู๋ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าเองก็เพิ่งจะได้รับรู้หลังจากที่ฝ่าบาทประชวรหนัก""ตามคำพูดของฝ่าบาท หากองค์รัชทายาทสามารถใช้ประโยชน์จากสองพี่น้องนี้ได้ ข้าจะต้องนำท่านมาที่ศาลบูรพกษัตริย์ แต่หากไม่สามารถใช้ได้ ก็ให้พวกเขาหายไปตลอดกาล"แม้ซูเจิ้นถิงจะพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่ในถ้อยคำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของการสังหารอันเยือกเย็นหลี่เฉินหน้าถมึงทึง "เจ้ายังปิดบังอะไรข้าอีก?"ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้น แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย "ไม่มีอีกแล้ว เพราะแผนการที่ฝ่าบาททรงวางไว้ จบลงเพียงแค่ตรงนี้ ที่เหลือจากนี้ องค์รัชทายาทต้องเดินต่อไปด้วยตนเอง"หลี่เฉินถอนหายใจเบาๆ "บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเสด็จพ่อของข้า ช่างลึกล้ำเสียจนข้าเหมือนถูกควบคุมทุกย่างก้าว""ไม่ใช่เช่นนั้น"ซูเจิ้นถิงส่ายหน้า สีหน้าจริงจัง "ที่จริงแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทและข้าเคยคาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้น ฝ่าบาทก็ยังไม่มั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นได้ถึงเพียงนี้""ฝ่าบาทถึงกับเตรียมใจไว้สำ
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันใช้โอกาสที่ควบคุมราชสำนัก มีสิทธิ์จัดสรรเสบียงและเงินเดือนของด่านเย่ว์หยา ทำให้สามารถดึงคนบางกลุ่มเข้ามาอยู่ใต้อำนาจของมันได้""แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกตัวเล็กตัวน้อย พวกที่ไม่อาจอยู่รอดในศึกแย่งชิงระหว่างน้องชายข้ากับหนิงอ๋อง จึงเลือกไปพึ่งพาจ้าวเสวียนจี พวกมันไม่น่ากังวล"เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินจ้องมองอู๋ชิงชางก่อนจะถามว่า "หากจ้าวเสวียนจีคิดจะยึดด่านเย่ว์หยา...""มันต้องผ่านน้องชายข้าก่อน"หลี่เฉินพยักหน้า "แล้วเจ้ามั่นใจในตัวน้องชายเจ้าสักกี่ส่วน?"อู๋ชิงชางตอบอย่างสงบนิ่ง "พี่น้องร่วมสายเลือด ย่อมพร้อมตายแทนกันได้"หลี่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย "ข้าเกิดในราชวงศ์ เจ้าย่อมรู้ว่าพี่น้องในราชวงศ์ไม่มีวันเชื่อใจกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเป็นสิบปี ใจคนย่อมเปลี่ยน เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าน้องชายเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ?""แต่เราสองพี่น้องไม่ใช่เชื้อพระวงศ์"อู๋ชิงชางค้อมตัวประสานมือ "เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กต่างรู้ดีถึงความหมายของแผ่นดิน ขอให้องค์รัชทายาทวางพระทัย ด่านเย่ว์หยาจะเป็นของราชสำนัก และจะเป็นขององค์รัชทายาทตลอดไป""ดี"หลี่เฉินกล่าว "ถ้าเช่นนั้
"หากข้าเป็นเพียงคนไร้ความสามารถเล่า?" หลี่เฉินเผลอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว"นั่นก็หมายความว่าราชวงศ์หลี่ควรสิ้นสุด และจักรวรรดิต้าฉินถึงคราวล่มสลาย"คำพูดของอู๋ชิงชางดุจค้อนหนักทุบลงบนหัวใจของหลี่เฉิน ทำให้รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ"ทุกสิ่งทุกอย่าง ฝ่าบาททรงพิจารณาไว้หมดแล้ว""แต่เช่นเดียวกับที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ฟ้าดินและผู้คนล้วนไม่เข้าข้างฝ่าบาท สิ่งที่ฝ่าบาททำได้ ก็คือใช้สิบปีวางหมากเพื่อให้องค์รัชทายาทมีเวลา เพื่อหาหนทางให้จักรวรรดิต้าฉินและราชวงศ์หลี่อยู่รอดต่อไป และองค์รัชทายาทก็คือความหวังเพียงหนึ่งเดียว"หลี่เฉินสูดลมหายใจลึกหากไม่ใช่เพราะตนทะลุไม่ติมาอยู่ร่างนี้ ด้วยพฤติกรรมของเจ้าของร่างเดิม คงเป็นได้แค่เสือลูกสุนัข ความหวังของต้าสิงฮ่องเต้คงมลายหายไป และราชวงศ์หลี่คงถึงคราวสิ้นสุดแต่เมื่อตนมาอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ อาจเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้แล้วจริงๆ หรือ?หากไม่ใช่ เช่นนั้นจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการทะลุไม่ติของตนได้อย่างไร?หัวใจของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายชั่วขณะ"เช่นนั้นพวกเจ้าเอง ก็เป็นคนที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ให้ข้าหรือ?" หลี่เฉินเอ่
"แน่นอน ตอนนี้ยังต้องเพิ่มอีกคน นั่นคือองค์รัชทายาทท่านด้วย"คำพูดของอู๋ชิงชางทำให้สมองของหลี่เฉินหมุนไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันมากมาย และเส้นใยความเกี่ยวข้องเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็เหมือนปลายด้ายที่กระจัดกระจาย แต่จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดเริ่มต้นของเส้นด้ายเหล่านั้น ก็อยู่ในพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้ ที่กำลังบรรทมอยู่ในตำหนักเฉียนชิงใบหน้าของหลี่เฉินไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาแฝงแววสงบนิ่งไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอู๋ชิงชางดูเหมือนไม่สนใจว่าเขาคิดอะไร เขากล่าวต่อไปว่า "เมื่อหลายปีก่อน จ้าวเสวียนจีได้วางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมา กระดานนี้ก็คือให้น้องชายของข้าได้รับพระคุณจากเขา วันหนึ่งในอนาคตต้องตอบแทนบุญคุณนี้ และต้องลบล้างหลักฐานนี้ให้สิ้น""แต่ก่อนหน้านั้น ฝ่าบาทก็ทรงวางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมาเช่นกัน กระดานนี้ก็คือให้จ้าวเสวียนจีเป็นผู้วางหมาก"หลี่เฉินมองอู๋ชิงชางก่อนจะกล่าวว่า "ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงบอกว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นคนที่อยู่ลำดับที่สาม"อู๋ชิงชางหัวเราะ "กลอุบายของจักรพรรดิ ฝ่าบาททรงเล่นได้ถึงขีดสุด คนระดับต่ำย่อมเ
ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ