เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับหวังเถิงฮ่วนในทันที เพราะว่าหลี่เฉินยังมีข้อพิจารณาอื่นอยู่สำนักราชเลขาได้ระบุเงื่อนไขแลกเปลี่ยนที่ชัดเจนมาก และหลี่เฉินก็เข้าใจดีว่าไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาต่อรองในเรื่องนี้มันจะเหมือนซื้อผักในตลาดสดได้อย่างไร ผัดกาดขาวหนึ่งจินคนขายบอกสองเหรียญทองแดงแต่คนซื้อจะให้แค่หนึ่งทองแดง?ทุกคนล้วนเป็นนักหมากรุก เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ก็มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้นสวีฉังชิงจะถูกทอดทิ้งแล้วออกจากกระดานหมากรุก และเรื่องที่สุนัขเฒ่าหวังเถิงฮ่วนที่หวังจะได้กลับคืนสู่สำนักราชเลขา ก็จะเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของเขาหรือหลี่เฉินจะยอมรับเงื่อนไขของสำนักราชเลขา ให้หวังเถิงฮ่วนกลับไป และนำสวีฉังชิงกลับมาทุกอย่างย้อนกลับไปที่ผลประโยชน์ ปัญหาที่หลี่เฉินต้องพิจารณาคือ สวีฉังชิงคุ้มค่ากับตำแหน่งมหาอำมาตย์ในสำนักราชเลขาหรือไม่? เมื่อมองเผินๆ ข้อตกลงนี้เป็นเรื่องที่ขาดทุนอย่างแน่นอน แต่หลายสิ่งหลายอย่างในระดับนี้ก็ไม่สามารถจัดการได้อย่างชัดเจนรากฐานของตำหนักบูรพานั้นตื้นเขิน ถึงแม้ว่าซูเจิ้นถิงจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงฝืนยืนหยัดอยู่ในฝั่งของทหารเท่านั้น ซึ่งท
แต่ด้วยสถานะของสวีฉังชิงคงไม่มีปัญหาอะไรที่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ แต่ทว่าเขากลับอาศัยอยู่ที่เขตชั้นนอกที่คนธรรมดาตั้งถิ่นฐานอยู่เมื่อเทียบกับเขตชั้นในแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือด้านอื่นๆ เขตชั้นนอกก็ยังด้อยกว่าเขตชั้นในมากบ้านของสวีฉังชิงไม่ได้ใหญ่มากนัก เพียงอยู่ติดกับถนนสายหลักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขตชั้นในเมื่อมองไปที่จวนตรงหน้าซึ่งมีป้ายคำว่าจวนสวี และประตูหน้าบ้านที่เปิดกว้างกับเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่ข้างใน หลี่เฉินก็โบกมือให้ซานเป่าตามเขาเข้าไป ในขณะที่คนอื่นๆ ให้รออยู่ข้างนอก จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปลานเล็กๆ ดูแย่มาก ดูยากจนและเรียบง่าย แทบไม่มีการตกแต่งใดๆ เลย ของบางอย่างที่ควรมี ครอบครัวธรรมดาๆ ก็ใช้เช่นกัน และทั้งหมดก็มีอายุพอสมควรแล้วข้ารับใช้ในจวนมีไม่มากนัก หลี่เฉินเดินเข้ามานานแล้ว ก่อนที่พ่อบ้านหลังค่อมวัยห้าสิบหรือหกสิบปีจะเดินเข้ามาพ่อบ้านชราเห็นหลี่เฉินมีออร่าไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะละเลย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม พ่อบ้านถามอย่างสุภาพว่า “คุณชายท่านนี้ มีธุระอันใดหรือไม่ขอรับ?” หลี่เฉินถาม “ที่นี่คือจวนของใต้เท้าสวีหรือ?”สีหน้าของพ
“เจ้าคือหลานชายของใต้เท้าสวีหรือ?”หลี่เฉินถาม โดยจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ตัวเองนั้นได้เปิดประตูหลังให้หลานชายของสวีฉังชิงไปการแสดงออกของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไป เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยสวีจวินโหลว”“พาข้าเข้าไปพบครอบครัวของใต้เท้าสวีหน่อย” คำขอที่ไม่สมเหตุสมผลของหลี่เฉิน ทำให้สวีจวินโหลวขมวดคิ้วในเวลานี้ หากเป็นสหายธรรมดาๆ ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงเขา แต่หลี่เฉินกลับมีพฤติกรรมที่ไม่ธรรมดา สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แทนที่จะจากไป เขากลับขอพบสมาชิกในครอบครัวด้วยซ้ำนี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งแต่สวีจวินโหลวกลับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ว่า ตัวเองนั้นไม่ควรปฏิเสธอีกฝ่าย“เชิญ”สวีจวินโหลวยกมือขึ้น และเชิญหลี่เฉินกับซานเป่าเข้าไปในห้องโถงด้านในภายในห้องโถง มีสตรีสามคนกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ซานเป่าโน้มเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของหลี่เฉินว่า “สามคนนี้เป็นภรรยาและอนุของสวีฉังชิง คนตรงกลางที่สวมชุดสีม่วงคือฮูหยิน ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ คืออนุภรรยา สวีฉังชิงไม่มีลูก ดังนั้นหลานชายที่ชื่อสวีจวินโหลว จึงได้รับการเลี้ยงดูเหมือนลูกชาย”หลี่เฉินพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเข้าใจแ
“เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้เงินเดือนจะเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ท้องพระคลังของราชสำนักกลับว่างเปล่า และมักจะค้างชำระเงินเดือน แล้วสามีของข้าทำอะไรได้บ้าง? ข้าที่เป็นภรรยา เอาห้องข้างทั้งสองด้านมาทำเป็นโรงงานเย็บผ้า เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว”“หากคุณชายจะพูดเช่นนี้ ไม่ลองไปถามพวกขุนนางทุจริตที่อยู่ในเขตชั้นในบ้างเล่า ลานของพวกเขาใหญ่โตโอ่โถง มีภาพวาดแกะสลักมากมาย และมีข้ารับใช้นับร้อยคอยปรนนิบัติ แต่ท่านกลับมาถามข้า นี่หมายความว่าอย่างไร?”หลังจากถูกด่าติดต่อกันหลายครั้ง หลี่เฉินก็รู้สึกอับอายซานเป่าเห็นหลี่เฉินรู้สึกอับอาย จึงคิดจะระเบิดอารมณ์ออกมาแต่หลี่เฉินกลับโบกมือห้ามซานเป่าเอาไว้“ถูกต้อง เป็นข้าเองที่เสียมารยาท ต้องขออภัยฮูหยินจริงๆ”หลี่เฉินโค้งคำนับสตรีในชุดม่วง ตอนนี้เอง ผู้หญิงในชุดม่วงก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา“ไม่เป็นไรๆ เป็นข้าที่เสียกริยาไปแล้ว แต่ตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังตกต่ำ สามีของข้าคงไม่ได้กลับออกมาอีกแล้ว ข้าไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร”ในระหว่างที่สตรีชุดม่วงพูด นางก็เริ่มร้องไห้ขึ้นมา ตอนนี้เอง สวีจวินโหลวก็เข้ามาพูดกับหลี่เฉ
ขณะที่หลี่เฉินไปเยี่ยมครอบครัวสวีเพื่อแสดงความเสียใจ จ้าวไท่ไหลก็กำลังประสบกับความน่ากลัวของกฎบ้านตระกูลจ้าวจ้าวไท่ไหลถูกมัดไว้กับม้านั่ง เขากรีดร้องเหมือนหมูถูกฆ่า ในขณะที่แส้เฆี่ยนลงบนร่างกายของเขา“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! อย่าตีเลยนะ! ได้โปรดอย่าตี!”แม้จะเห็นว่าแผ่นหลังและก้นของจ้าวไท่ไหลถูกตัวเองเฆี่ยนตีจนเนื้อแตก แต่ความโกรธในใจของจ้าวเสวียนจีก็ยังไม่สิ้นสุด“ข้าขอให้เจ้าไปผูกมิตรกับรัฐทายาท ไม่ใช่ให้เจ้าไปเป็นโล่บังธนูให้กับพวกเขา! เจ้ารู้ไหมว่าตำแหน่งผู้นำสมาคมของเจ้า มันจะทำให้ข้าและทั้งตระกูลจ้าวทั้งหมดตายโดยไม่มีที่ฝังศพ! ?” เสียงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวของจ้าวเสวียนจี ทำให้จ้าวไท่ไหลพลันหน้าซีด“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้นัก อีกอย่างสมาคมเหวินหยวนแห่งนี้ก็ดูจะดีจริงๆ สมองของข้าเลยตกปากรับคำไป ท่านพ่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าจะรีบไปลาออกทันทีตกลงไหม? ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย”จ้าวไท่ไหลกลัวถูกตีจริงๆ เขาจึงอ้อนวอนอย่างขมขื่นจ้าวเสวียนจีแค่นเสียงอย่างเย็นชา โยนแส้ทิ้งแล้วกล่าวเสียงรอดไรฟันว่า “ลาออก? ตำแหน่งผู้นำสมาคมนี้เป็นง่าย แต่ลาออกยาก!”เมื่อเห็นจ้าวไท่ไหลร้องไห
สีหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันอึมครึม สายตาดูหม่นหมองเดิมทีเขาสามารถอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงท่ามกลางพายุ และคอยชักนำให้ตำหนักบูรพากับเหวินอ๋องต่อสู้กัน แต่ตอนนี้ลูกชายกลับตกหลุมพราง ทำให้เขาต้องลงมาเล่นในสนามด้วย เกรงว่าตอนนี้คนที่ได้ประโยชน์ก็คือตำหนักบูรพาตอนนี้เอง จ้าวไท่ไหลก็ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้วเขาไม่ได้คิดถึงข้อต่อภายใน แต่เมื่อมองดูท่าทางโกรธเกรี้ยวของบิดา เขาก็รู้ว่าตัวเองนั้นสร้างปัญญาใหญ่แล้วจริงๆ จ้าวไท่ไหลข่มความเจ็บปวดแล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี?”จ้าวเสวียนจีพูดหน้าเครียดว่า “จะทำอะไรได้อีกล่ะ? ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน ถ้าไม่มีคำสั่งของข้า และเจ้ากล้าก้าวออกจากบ้านแม้แต่ครึ่งก้าว ก็อย่าตำหนิที่ข้าจะตัดหางปล่อยวัดเจ้า!”จ้าวไท่ไหลพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านพ่อ ไม่จริงใช่ไหม? ท่านทำเช่นนี้ไม่สู้ฆ่าข้าเสียเลยล่ะ!”“เช่นนั้นก็ตายไปซะ!” จ้าวเสวียนจีพับแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ตายไปซะก็ยังดีกว่าปล่อยให้เจ้าก่อหายนะขึ้นมา”พูดจบ เขาก็ไม่อยากเห็นหน้าจ้าวไท่ไหลอีกต่อไป จึงตะคอกใส่ว่า “ไสหัวกลับไปที่เรือน
“ฝ่าบาท!”เก๋อผิงอี้วิ่งไปหาหลี่เฉินและคุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ทูลฝ่าบาท เรือนจำของกรมยุติธรรมนั้นเป็นสถานที่ที่เปียกชื้นและสกปรก พระวรกายดั่งทองพันชั่งเช่นฝ่าบาทไม่ควรเข้าไปในนั้น”หลี่เฉินมองเก๋อผิงอี้อย่างเย็นชาและพูดว่า “ไม่ควรเข้าไป? เจ้ากำลังสั่งข้าอยู่งั้นหรือ?” เก๋อผิงอี้ตัวสั่นและรีบตอบว่า “กระหม่อมมิกล้า”“ไม่กล้า?” หลี่เฉินกล่าวเสียงเย็นชา “หรือว่ามีอะไรน่าอายที่เจ้าไม่กล้าแสดงให้ข้าเห็นหรือเปล่า?”ขณะที่เก๋อผิงอี้กำลังจะพูด ดาบของซานเป่าก็จ่อไปที่คอของเขาแล้ว“ใต้เท้าเก๋อ เรือนจำของกรมยุติธรรมไม่อนุญาตให้คนเข้าไป แต่เรือนจำของหน่วยบูรพายินดีต้อนรับใต้เท้าเก๋อให้เข้าไปดู สงสัยว่าใต้เท้าเก๋ออยากจะไปหรือไม่?”ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา เก๋อผิงอี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกตอนนี้เอง หลี่เฉินก็เข้าไปในกรมยุติธรรมแล้วหลังจากที่ซานเป่าเก็บดาบ เขาก็เดินตามไป เก๋อผิงอี้เรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งให้รีบไปตามเสนาบดีกรมยุติธรรมเฉียนซื่อเหยียนให้มาที่นี่โดยเร็วที่สุด จากนั้นก็ติดตามเข้าไปอย่างหวาดกลัวหลี่เฉินเดินไปจนถึงเรือนจำของกรมยุติธรรม เมื่อเข้าไปในคุกที่มืด
เมื่อหลี่เฉินกล่าวประโยคนี้ เจ้าหน้าที่จากกรมยุติธรรมก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัวเก๋อผิงอี้ก็ร้องขอความเมตตาเช่นกัน แต่องครักษ์เสื้อแพรสองนายก็หามเขาขึ้นมาและโยนเข้าไปในห้องขังภายในห้องขังสกปรกเต็มไปด้วยน้ำที่มีกลิ่นเหม็นและโสโครก เก๋อผิงอี้ที่คุ้นเคยกับชีวิตหรูหราจึงเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา เขาลุกขึ้นและอยากจะหนี แต่ทว่าไม่ทันได้ยืดตัว หัวก็ไปชนกับเพดานคุกแล้วเสียงดังโป๊กดังขึ้น หมวกขุนนางของเก๋อผิงอี้ก็ร่วงลงมา ผมกระเซอะกระเซิงและมีเลือดไหล สภาพดูน่าสังเวชมากเขาไม่สนความเจ็บปวด แต่ตะเกียกตะกายไปหน้าประตูคุก จับเสาเหล็กเอาไว้แล้วอ้อนวอนหลี่เฉิน “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้าย กระหม่อมเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น การตำหนิที่รุนแรงเช่นนี้ถูกโยนให้กระหม่อมทั้งหมดได้อย่างไร กระหม่อมไม่ยอม!”เมื่อมีเก๋อผิงอี้เป็นผู้นำ เหล่าเจ้าหน้าที่และขุนนางกรมยุติธรรมคนอื่นๆ ที่กลัวว่าตัวเองอาจจะกลายเป็นแบบนั้น จึงพากันคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวพร้อมกันว่า “ฝ่าบาทโปรดเมตตา”เวลานี้ สวีฉังชิงที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทรมานมากมายก็รู้สึกเดือดพล่าน แม้จะถูกองครักษ์เสื้อแพรพาตัวออกมา แต่เขาก็ยังพูดเสียงหนักแน่นว