Share

บทที่ 321

Author: ไห่ตงชิง
“ไม่ใช่ว่าอัจฉริยะทั้งสองประเภทนี้จะไม่มี เพียงแต่ว่าอัจฉริยะเช่นนี้ ไม่มีปรากฏในราชวงศ์มาร้อยปีแล้ว บางทีอาจจะมีขึ้นแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ได้มารับใช้ข้า ดังนั้นสำหรับข้าพวกเขาจึงไม่มีอยู่จริง”

เมื่อเห็นซูจิ่นพ่ามีท่าทีครุ่นคิดแต่ยังคงไม่สบายใจ หลี่เฉินก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ขุนนางไม่ได้แบ่งแยกดีเลว ไม่ว่าพวกเขาจะโลภหรือว่าซื่อสัตย์ก็ตาม สำหรับข้าก็แค่ว่า คนแบบไหนสามารถใช้การได้ในสถานการณ์แบบไหน ตราบใดที่มีประโยชน์ ไม่ว่านิสัยจะเป็นเช่นไร มันก็ไม่สำคัญ”

“แน่นอนว่าขุนนางที่ซื่อสัตย์ก็ควรใช้ แต่ไม่สามารถใช้มากเกินไป ส่วนขุนนางโลภควรใช้ให้มากขึ้น แต่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ซูจิ่นพ่าก็ดูตกใจเล็กน้อยกับวิธีใช้คนของหลี่เฉิน

นางรู้สึกว่านี่คือหลักการที่ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติกับเรื่องนี้

“เอาล่ะ นี่เป็นเทคนิคของจักรพรรดิ เจ้าเป็นผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งนี้” หลี่เฉินกล่าว

ซูจิ่นพ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจทันที “ผู้หญิงแล้วอย่างไร? ราชวงศ์ก่อนยังมีมู่หลาน แต่สตรีในราชวงศ์นี้กลับอ่อนแอกว่างั้นหรือ? หลายครั้งก็มีเรื่องที่ผู้
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 322

    ซูจิ่นพ่าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าตระกูลหลงนี้มาจากไหนแต่นางก็รู้ดีว่าในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ การที่ตระกูลจากมณฑลซีซาน ส่งจดหมายขอเข้าเฝ้ามาที่ ตำหนักบูรพา เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย “เช่นนั้นข้าขอกลับก่อน”ซูจิ่นพ่าลุกขึ้นยืนคิดอยากจะหลีกเลี่ยงการระแวงสงสัย  “กลับไปทำไม”หลี่เฉินวางชามเหล้าในมือลง และเอื้อมมือไปรับจดหมายจากขันที เขากวาดสายตาอ่านอย่างคร่าวๆ และพูดกับซูจิ่นพ่าโดยไม่เงยหน้าว่า “เราตกลงที่จะทานอาหารเย็นด้วยกัน บิดาของเจ้ายุ่งอยู่กับกิจของทหาร ส่วนพี่ชายของเจ้าก็ออกเดินทางไปแล้ว ในเมื่อเจ้าอยู่บ้านคนเดียว ไม่สู้อยู่กับข้าที่นี่จะดีกว่า” ข้าแบบทางการการเปลี่ยนคำแทนตัวอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ซูจิ่นพ่ารู้ว่าตอนนี้ หลี่เฉินเข้าสู่บทบาทองค์รัชทายาท และกำลังพูดคุยกับนางในฐานะองค์รัชทายาทหลี่เฉินไม่ใช่หลี่เฉินที่เคยแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ แบบก่อนหน้านี้ และนางก็ไม่สามารถทำตัวตามสบายได้ “เพคะ” ซูจิ่นพ่าตอบรับอย่างเบื่อหน่ายด้วยเหตุผลบางอย่าง นางชอบที่จะได้ยินหลี่เฉินเรียกตัวเองว่า ‘ข้า’ อย่างไม่เป็นทางการมากกว่าคำว่าข้านี

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 323

    แม้ว่าเขาจะไม่มีความสุข แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างหลงเทียนเต๋อจะขอเงินคืนก็แค่เงินสิบตำลึงเท่านั้นเอง แม้ในตอนนี้ด้วยเงินจำนวนนั้นจะสามารถซื้อเด็กสาวที่งดงามได้สามคนก็ตาม แต่สำหรับหลงเทียนเต๋อนั้น ก็แค่ขนหนึ่งเส้นในวัวเก้าตัว เมื่อมองขันทีตัวน้อยจากไป หลงเทียนเต๋อก็กัดฟันและหันไปหาหลงไหวอวี้ลูกชายของเขาแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาทผู้นี้จงใจวางอำนาจใส่พวกเรา” “ท่านพ่อ โปรดอดทนไว้”หลงไหวอวี้พูดอย่างใจเย็น “ถ้าเขาต้องการอวดศักดิ์ศรีองค์รัชทายาท ก็ปล่อยให้เขาทำไป สิ่งที่เราต้องการก็คือชัยชนะ ดังนั้นทำไมไม่รอตอนนี้เลย” หลงเทียนเต๋อตาค้าง “ยังจะรออีกหรือ?”“ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไร?”หลงไหวอวี้แบมือแล้วกล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงตรัสอย่างชัดเจนว่า หากไม่รอก็กลับไป หรือพวกเราจะกลับไปมณฑลซีซานแล้วรอ? เช่นนั้นการเดินทางในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ แต่ยังทะเลาะกับองค์รัชทายาทอีกด้วย ในอนาคตคงคุยกันลำบาก” “เขากล้า!?”หลังจากที่หลงเทียนเต๋อพูดจบ เขาก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทุกวันนี้ จู่ๆ พวกกบฏก็เงียบไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ทันทีที่กลุ่มกบฏหยุด กองกำลังท้องถิ่นในมณฑลซีซาน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 324

    หลังจากความวุ่นวายดังกล่าว ซูจิ่นพ่าก็ไม่กินอาหารที่หลี่เฉินคีบมาให้อีกต่อไป แต่กินเพียง...ผักไม่กี่อย่างที่นางรู้จักเท่านั้น แต่ทว่า นางไม่มีทางเลือกมากนัก เมื่อทั้งสองคนกินข้าว ก็มีแค่อาหารสามอย่างและซุปหนึ่งอย่างกบผัดแห้งหนึ่งจาน ซุปกะหล่ำปลีหนึ่งถ้วย รากบัวผัดผักชีฝรั่งอีกหนึ่งจาน และที่เหลือคือซุปมันเทศฟู่หรงหากอาหารเหล่านี้อยู่ในบ้านของคนทั่วไป มื้อนี้คงเป็นมื้อที่ไม่เลวสำหรับพวกเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์ในปัจจุบันก็เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่นี่คือตำหนักบูรพา และนี่คือพระกายาหารค่ำขององค์รัชทายาท “เจ้าทานอะไรง่ายๆ เช่นนี้ทุกวันหรือ?” เมื่อเห็นอาหารสามอย่างกับซุปหนึ่งอย่างของอีกฝ่าย ความโกรธของซูจิ่นพ่าก็ค่อยๆ ลดลงเล็กน้อยก่อนที่หลี่เฉินจะได้ตอบ วั่นเจียวเจียวซึ่งยืนอยู่ข้างหลังหลี่เฉินก็ตอบว่า “ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของตำหนักบูรพาในวันธรรมดา เน้นไปที่ความประหยัด ถ้าหากฝ่าบาททรงเสวยพระกายาหารเพียงคนเดียว ก็จะทรงเสวยอาหารสองอย่างและข้าวหนึ่งถ้วย หรือแค่หมั่นโถวเท่านั้น ฝ่าบาทเคยตรัสว่าแม้การประหยัดอาหารแค่มื้อเดียว ไม่อาจช่วยบ้านเมืองและราษฎรได้ แต่ถ้าหากราชว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 325

    “มาแล้ว!” หลงไหวอวี้ตาเป็นประกาย เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว สองพ่อลูกคิดว่านี่คงจะเป็นคนที่ตำหนักบูรพาส่งมาเรียกพวกเขาสองพ่อลูกเข้าไปแน่ๆ แต่ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียว พวกเขาสองพ่อลูกก็พบว่าสิ่งที่ออกมาจากด้านในของตำหนักบูรพา ไม่ใช่คนมาเรียก แต่เป็นรถม้ารถม้าที่งดงามและหรูหราออกมาจากประตูตำหนักบูรพา และค่อยๆ แล่นไปข้างหน้าสองพ่อลูก “หรือว่าจะเป็นการประชุมลับนอกพระราชวังหรือเปล่า?”หลงเทียนเต๋อถามอย่างสงสัยหลงไหวอวี้หรี่ตามองรถม้าที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้หญิง เขาส่ายหัวเล็กน้อย ปิดปากแน่นโดยไม่พูดอะไร รถม้าค่อยๆ หยุดลงต่อหน้าสองคนพ่อลูกม่านในรถถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามของซูจิ่นพ่าแม้ในคืนที่หนาวเย็น ความงามของซูจิ่นพ่าก็นำแสงสว่างมาสู่โลกที่มืดมิดสองพ่อลูกที่รู้สึกว่าใกล้จะตัวแข็งเต็มทีก็ตาเป็นประกายขึ้นมา ราวกับว่ากลิ่นหอมบนร่างของสตรีได้ลอยออกมากระทบกับปลายจมูกของพวกเขา ทำให้รู้สึกสดชื่น และหลงไหวอวี้ที่ยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ก็ยิ่งใจสั่นไหวมากขึ้น เขามักจะรู้สึกว่าผู้หญิงก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาได้ตระหนักแล้วว่า สต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 326

    เกือบจะเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หลงเทียนเต๋อและหลงไหวอวี้ก็ออกมาจากโรงเตี๊ยม ตามที่พวกเขาคุยกันเมื่อคืนนี้ พวกเขาจะกินข้าวกลางวันก่อน จากนั้นก็ค่อยไปที่ตำหนักบูรพาอย่างเชื่องช้า“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ถ้าหากท่านกับข้าไม่ไปในตอนเช้า องค์รัชทายาทคงกำลังจะว้าวุ่นอยู่ และจะให้พวกเราเข้าไปในตำหนักบูรพาวันนี้อย่างแน่นอน”เมื่อกระซิบคำวิเคราะห์กับหลงเทียนเต๋อ หลงไหวอวี้ก็แสยะยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “ตราบใดที่เขากังวล เราก็จะได้เปรียบ” “เช่นนั้นก็ดีมาก” หลงเทียนเต๋อพยักหน้า รู้สึกว่าลูกชายของเขาพูดถูกขณะที่สองพ่อลูกเพิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม และกำลังมองหาสถานที่รับประทานอาหารกลางวัน หลงไหวอวี้ที่เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม่กี่ตัวของร้านแผงลอยขายซาลาเปาฝั่งตรงข้ามฝ่ายชายมีหน้าตาที่หล่อเหลา และบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา ฝ่ายหญิงมีใบหน้าที่งดงาม นับเป็นเอกสตรีผู้หนึ่งแม้ว่าชายหญิงคู่นี้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา และนั่งทานซาลาเปาที่ธรรมดาที่สุดและดื่มน้ำเต้าหู้ตามปกติ แต่พวกเขาก็ดูแตกต่างจากคนทั่วไปที่อยู่รอบตัวพวกเขาอยู่ดี หลงไหวอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดตามหลักเหตุผ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 327

    เช่นนั้นก็ตายสามคำง่ายๆ พูดเบาๆ แต่ดังกึกก้องในหูของหลงเทียนเต๋อประหนึ่งฟ้าร้องแม้จะเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดถ้าหากการเจรจาพังทลายลง และทั้งสองฝ่ายกลายเป็นศัตรูกัน แม้แต่หลงไหวอวี้ซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจมาโดยตลอด ก็ไม่ได้คาดหวังว่าหลี่เฉินจะตรงไปตรงมาขนาดนี้กระทั่งวิธีการและวาทศิลป์มากมายที่เขาเคยคิดมาก่อนก็ไม่มีประโยชน์เลยราวกับว่าเขาได้เตรียมการเคลื่อนไหว 108 กระบวนท่าและกลยุทธ์นับไม่ถ้วนสำหรับการเผชิญหน้าในครั้งนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่เฉิน ก็โดนอีกฝ่ายตบหน้าเข้าตรงๆ เช่นนี้แล้วจะจัดการอย่างไร?ดังนั้น หลงไหวอวี้จึงพูดด้วยความโกรธว่า “ฝ่าบาททรงเผด็จการเช่นนี้ ไม่ใช่ทุกคนในใต้หล้าจะทำอะไรไม่ถูก และทำได้แค่นอนรอความตาย มีไม่กี่คนที่สามารถทำให้ฝ่าบาททรงลำบากได้” “ลำบากงั้นรึ”น้ำเสียงของหลี่เฉินเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามเหมือนกับพวกอันธพาลข้างถนน บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นและความรุนแรงในน้ำเสียงของเขา“ข้าอาจจะลำบากอยู่สักพักหนึ่ง แต่พวกเจ้าตาย นี่เป็นเรื่องที่จะคงอยู่ไปชั่วชีวิต” “สืบทอดสามร้อยกว่าปี”หลี่เฉินใช้น้ำเสียงถอดถอนใจถามว่า “ข้าได้ยินมาว่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 328

    หลงไหวอวี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกหลงเทียนเต๋อลากกลับไปที่ห้องพักในโรงเตี๊ยมได้อย่างไรเขานอนอยู่บนเตียงและจ้องมองไปที่หลังคา รู้สึกว่าชีวิตประสบกับหายนะครั้งใหญ่ความมั่นใจที่เขามีก่อนหน้านี้ การคำนวณและแผนการที่เขาทำไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหมือนกับการตบหน้าตัวเองเข้าอย่างจัง ความรู้สึกอัปยศเช่นนี้ ทำให้หลงไหวอวี้อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี  “ไหวอวี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก”ฃหลงเทียนเต๋อนั่งลงและพูดอย่างอบอุ่นว่า “ราชวงศ์หลี่โหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัวมาโดยตลอด และองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบัน ก็ได้ดึงเอานิสัยอันเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เรื่องน่าละอายสำหรับเจ้าและข้า ที่จะคำนวณผิด”“เพียงแต่ตอนนี้เราควรพิจารณาว่าจะทำเช่นไรต่อไป”การแสดงออกของหลงเทียนเต๋อดูเงียบขรึม เขากำหมัดเล็กน้อยแล้วกัดฟันพูดว่า “องค์รัชทายาทนั่น พูดออกมาได้ง่ายๆ กลับไปเป็นคนรวยธรรมดางั้นเหรอ? แม้ว่าตระกูลหลงของเราจะเต็มใจสละสถานะปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะไม่ไล่ตามพวกเรา แต่คนอื่นๆ ในมณฑลซีซานจะเต็มใจยอมแพ้หรือไม่? หากเจ้าและข้ากลับไปทั้งแบบนี้ แล้วคนอื่นๆ ถามถึงผลลัพธ์ขึ้นมา พวกเราควรพูดอย่างไร?”“

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 329

    “ถ้าอย่างนั้น...เราจะไปหาจ้าวอ๋องโดยตรงเลยเหรอ? ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะไม่มีสายลับขององค์รัชทายาทอยู่รอบๆ เจ้ารู้ไหมว่าหน่วยบูรพาคือสุนัขขององค์รัชทายาท”ภายใต้การโน้มน้าวใจของหลงไหวอวี้ หลงเทียนเต๋อก็เริ่มลังเลใจเช่นกัน เขาขมวดคิ้วและพูด หลงไหวอวี้ก็ขมวดคิ้วเช่นกันแม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่เขาก็คุ้นเคยกับการคิดจากมุมมองของคนอื่น และคิดว่าถ้าเขาเป็นองค์รัชทายาท เขาจะวางสายลับไว้รอบๆ ตัวเขาอย่างแน่นอน เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่า องค์รัชทายาทรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาพ่อลูกอยู่ที่ไหน? เพิ่งหาประตูเจอ ก็พบกับความจริงที่แข็งเหมือนเหล็กกล้าถ้าเขาติดต่อกับจ้าวอ๋องใต้จมูกขององค์รัชทายาท ไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น แม้แต่จ้าวอ๋องก็คงไม่ยอมพูดคุยกับเขาง่ายๆ...นี่เป็นครั้งแรกที่หลงไหวอวี้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับคลื่นใต้น้ำในเมืองหลวง มันอันตรายและกดดันยิ่งกว่ามณฑลซีซานหลายเท่าที่นี่ เกี่ยวข้องกับเกมระดับสูงที่สุดของจักรวรรดิ และตัวเขาก็ได้รวมเข้าไปในนั้นแล้ว หากไม่ระวัง เช่นนั้นมันจะกลายเป็นจุดจบของเขา ตอนนี้เองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 922

    ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 921

    หลี่เฉินถึงกับตกตะลึงเขาไม่คาดคิดว่าชายตรงหน้าจะกล่าวถึง ต้าสิงฮ่องเต้ ว่าเป็นจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เสด็จพ่อของเขาครองราชย์มาหลายปี แต่กลับไม่มีผลงานใดโดดเด่นนักคลังหลวงก็ยังคงขัดสนด้านการบริหารบ้านเมืองก็ไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ส่วนทางด้านการทหาร ขนาดค่าจ้างทหารยังแทบจะหาไม่ได้ แค่สามารถรักษาสถานะปัจจุบันของจักรวรรดิไว้ได้ ก็นับว่าดีแล้ว เช่นนี้แล้ว ไฉนจึงจัดอยู่ในอันดับสามของจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพได้?ชายผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินต้องเกิดความฉงน เขาจึงกล่าวว่า "สิ่งที่ผู้คนเห็น มักเป็นเพียงสิ่งที่มีคนอยากให้เห็น สำหรับราชวงศ์นี้ มีหลายเรื่องที่ฝ่าบาทไม่ประสงค์ให้คนภายนอกรับรู้ ดังนั้น คนที่เข้าใจความจริงจึงมีน้อยยิ่งนัก"คำพูดนี้เหมือนพูดไปเปล่าๆหลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจคำกล่าวนั้นแม้แต่น้อยในสายตาของเขา ต้าสิงฮ่องเต้แม้จะมีวิธีการที่น่าสะพรึงบ้าง แต่หากพูดถึงการบริหารบ้านเมืองแล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทำให้ต้าฉินรุ่งเรืองขึ้นแม้แต่น้อยชายผู้นั้นสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ดูไม่แยแส จึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ความจริงแล้ว เมื่อฝ่าบา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 920

    "ผู้คนต่างสรรเสริญ จักรพรรดิอู่จง ว่าเป็นผู้สร้างเกียรติภูไม่อันยิ่งใหญ่ให้ต้าฉินนับแต่สมัยไท่จู่พวกเขายังสรรเสริญ จักรพรรดิเหวินจง ว่าเป็นผู้สร้างยุคทองแห่งวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองยาวนานถึงสามสิบปีแต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ระหว่างอู่จงกับเหวินจง ยังมีจักรพรรดิ จิ่งเหรินจง ซึ่งในปีแรกที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ต้องเผชิญกับคลังหลวงที่ว่างเปล่าเพราะสงครามยาวนาน และราษฎรที่ยากจนถึงขีดสุดประเทศที่เต็มไปด้วยทหาร ผู้คนชินชากับการรบพุ่ง และราชสำนักที่ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งสงครามจนเกินพอดี""จิ่งเหรินจง ครองราชย์ได้สิบห้าปี ตลอดเวลานี้ พระองค์ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูชีวิตราษฎร และสะสางปัญหาที่ อู่จงฮ่องเต้ ทิ้งไว้ให้ แต่ยังทำให้คลังหลวงมีเงินสะสมกว่า สามหมื่นล้านตำลึงเงิน ก่อนส่งราชบัลลังก์ต่อให้เหวินจงฮ่องเต้ ด้วยรากฐานที่มั่นคงเช่นนี้ การสร้างยุคทองทางวัฒนธรรมของเหวินจงจึงไม่ใช่เรื่องยาก""กล่าวได้ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของความสำเร็จแห่งยุค ต้องยกให้แก่ จิ่งเหรินจง"หลี่เฉินฟังจบก็เห็นพ้องต้องกันแท้จริงแล้ว ฮ่องเต้ที่ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลัง หลายพระองค์ไม่ได้สร้างความสำเร็จด้วยพระองค์เองทั้งหมดตั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 919

    ภายในศาลบูรพกษัตริย์ พื้นที่กว้างขวางโอ่อ่าทอดยาวขึ้นสู่เพดานสูงลิ่ว ด้านหน้ามุขหลักคือกำแพงทั้งผืนที่เรียงรายด้วยพระบรมสาทิสลักษณ์ของเหล่าฮ่องเต้แห่งต้าฉินในอดีตตรงกลางส่วนบนสุด โดดเด่นที่สุด คือภาพวาดและป้ายวิญญาณของปฐมจักรพรรดิต้าฉิน—ไท่จู่ถัดลงมา คือฮ่องเต้รุ่นต่อมา เช่น ไท่จง ซื่อจง เกาจง ไล่เรียงลงมาเป็นลำดับตามสายโลหิตแล้ว คนเหล่านี้ก็คือบรรพชนของร่างกายที่หลี่เฉินสวมอยู่ในตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ภายในศาลบูรพกษัตริย์ กลับยังมีชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ปลายผมเริ่มแซมขาว แต่ร่างกายยังดูแข็งแกร่งกำยำ กำลังปัดกวาดพื้นอยู่เมื่อสายตาหลี่เฉินสบกับเขา อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาเช่นกันทั้งสองไม่รู้จักกันมาก่อนแต่การที่พบกันในสถานที่แห่งนี้ ย่อมทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในตัวตนของอีกฝ่าย“ท่านเป็นใคร?” หลี่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนชายคนนั้นวางไม้กวาดลง ก่อนตอบเรียบๆ “เพียงราษฎรแห่งต้าฉินเท่านั้น”หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “ต้าฉินมีราษฎรเป็นล้านๆ คน แต่ผู้ที่เข้ามาที่นี่ได้ มีเพียงหยิบมือเดียว”“ก็จริง”ชายคนนั้นพยักหน้า ก่อนแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 918

    เหล่าแม่ทัพทำงานให้ราชสำนักจนสุดกำลัง แต่สุดท้ายกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือ ครอบครัวของพวกเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เช่นนี้แล้วใครเล่าจะยอมรับได้?ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งแม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านเย่ว์หยานั้นมีหน้าที่และอำนาจสำคัญยิ่ง หากข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกไป และตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือปั่นป่วนเบื้องหลัง ย่อมอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงดังนั้น เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในความลับที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิต้าฉิน ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรทว่า ความลับเช่นนี้ ไฉนต้าสิงฮ่องเต้จึงบอกกับซูเจิ้นถิงไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน?พระองค์ทรงคาดการณ์แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน พระองค์ก็ได้ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างของจ้าวเสวียนจีแล้ว?ข่าวที่มาถึงอย่างกะทันหัน ทำให้ความคิดของหลี่เฉินสับสนในทันทีเขารู้สึกอย่างประหลาด ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ล้วนดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การเตรียมการของเสด็จพ่อผู้ที่นอนอ่อนแรงอยู่บนพระแท่นบรรทมอำนาจของหน่วยบูรพา พันธไมตรีทางการเมืองของตระกูลซู แม้กระทั่งความลับท

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 917

    คำพูดของซูเจิ้นถิงทำให้หลี่เฉินรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือสถานะของซูเจิ้นถิง หากเขาสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าด่านเย่ว์หยาจะไม่ก่อกบฏ เช่นนั้น เรื่องนี้ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่มากหลี่เฉินขบคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "แม่ทัพซู ด่านเย่ว์หยาไม่อาจเกิดเรื่องได้ และยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ให้กองทัพเหลียวบุกเข้ามาได้"ซูเจิ้นถิงยิ้มขื่น กล่าวว่า "หลักการคือเช่นนั้น แต่ด่านเย่ว์หยาเป็นระบบปิดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ราชสำนักเลย แม้แต่หนิงอ๋องที่พยายามทุกวิถีทางมาตลอดหลายปีเพื่อเจาะเข้าไปในด่านเย่ว์หยาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ หากจ้าวเสวียนจีได้วางหมากเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เราอยากจะพลิกสถานการณ์ให้ได้ในเวลาอันสั้นก็เป็นเรื่องยากเยี่ยงขึ้นสวรรค์""ภายในด่านเย่ว์หยา มีทหารพร้อมรบหกหมื่นนาย ทั้งหมดล้วนเป็นทหารผ่านศึกและทหารชั้นยอด นอกจากนี้ยังมีทหารสำรองอีกไม่น้อยกว่าสิบหมื่นคน พวกเขาทำงานปกติในยามสงบ แต่ก็ฝึกซ้อมอยู่เสมอ หากแนวป้องกันของด่านเย่ว์หยาตกอยู่ในภาวะวิกฤติ คนเหล่านี้สามารถสวมเกราะ หยิบอาวุธ และเข้าร่วมรบได้ในทันที""นอกจากนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันด่านเย่ว์หยา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 916

    คำกล่าวของสวีฉังชิงในตอนนี้ ทำให้สวีจวินโหลวรู้แจ้งประหนึ่งเปิดประตูสู่ปัญญาเขารู้สึกราวกับตนได้เปิดมุมมองใหม่ในการทำงาน อีกทั้งยังได้เปิดประตูสู่หัวใจของผู้คน"ท่านลุง หลานได้รับคำสอนแล้ว"สวีจวินโหลวถอยหลังหนึ่งก้าว ค้อมกายคารวะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ "ก่อนหน้านี้ หลานเคยคิดว่าตนสอบผ่านเป็นทั่นฮวาในการสอบจอหงวน จึงมักมีความเย่อหยิ่งอยู่บ้าง และไม่ค่อยเห็นค่าของเหล่าขันทีและข้ารับใช้ในตำหนักบูรพา""แต่บัดนี้ หลานเข้าใจแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะมีฐานะหรือที่มาสูงต่ำเพียงใด หากสามารถเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพียงเช่นนี้ การทำงานจึงจะราบรื่น และสามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ความเย่อหยิ่งของบัณฑิต แท้จริงแล้วไร้ซึ่งประโยชน์โดยสิ้นเชิง"เมื่อเห็นว่าสวีจวินโหลวเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อ สวีฉังชิงก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนักเขาตบไหล่ของสวีจวินโหลวอย่างหนักแน่น พร้อมกล่าวว่า "ไปเถิด วันนี้ลุงหลานเราดื่มกันให้เต็มที่สักหน่อย!"ณ พระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินกำลังจิบชาร่วมกับซูเจิ้นถิง"องค์รัชทายาททรงวางแผนอย่างรอบคอบ คิดว่าใต้เท้าสวีคงเข้าใจได้" ซูเจิ้นถิงรับฟังเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 915

    เมื่อขันทีจากไป สีหน้าหม่นหมองของสวีฉังชิง ก็จางหายไปโดยสิ้นเชิง ในใจของเขาตอนนี้มีเพียง ความรู้สึกขอบคุณและความตื่นเต้นเขารู้สึกขอบคุณองค์รัชทายาทที่ทรงพระเมตตา และรู้สึกตื่นเต้นที่ตระกูลสวีกำลังมีโอกาสรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งการได้รับตำแหน่งภรรยาขุนนางขั้นห้า ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าองค์รัชทายาทยังให้ความสำคัญกับตระกูลของเขาเมื่อนึกถึงอนาคตที่อาจมีกลุ่มขุนนางที่นำโดยตระกูลสวีเกิดขึ้นในราชสำนัก สวีฉังชิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่างเขาโบกมืออย่างตื่นเต้นและกล่าวเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคน! วันนี้เบี้ยเลี้ยงของพวกเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกสองเดือน! และให้โรงครัวเตรียมอาหารอย่างดี ทุกคนในจวนสามารถกินดื่มได้เต็มที่!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ข้ารับใช้ในจวนต่างส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจสวีฉังชิงหัวเราะเสียงดัง แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็น สวีจวินโหลวทำท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ลังเล“เป็นอะไรไป?” สวีฉังชิงเอ่ยถามสวีจวินโหลวอึกอักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ท่านลุง...ขันทีที่มาส่งพระราชโองการนั้น ในตำหนักบูรพายังมีตำแหน่งต่ำกว่าข้าเสียอีก ถือว่าเป็นคนใต้บังคับบัญชาข้า ข้าควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่าง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 914

    ราชโองการหนึ่งฉบับ เนื้อหาไม่ยาวนักแต่ในคำไม่กี่ประโยคนั้น กลับเป็นสัญลักษณ์ของ พระมหากรุณาธิคุณและความไว้วางพระทัยอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลสวีในราชวงศ์นี้ภรรยาขุนนางชั้นห้า ได้รับการแต่งตั้งเพียงน้อยนิด ต้าสิงฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เฉพาะเชื้อพระวงศ์และขุนนางใกล้ชิดไม่กี่คนเท่านั้นในช่วงแรกที่ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ไม่มีการแต่งตั้งอีกเลยแต่ภายใต้การปกครองขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน มารดาของจ้าวหรุ่ยเป็นคนแรก นางหลิวแห่งตระกูลสวีเป็นคนที่สองนี่เป็นสัญญาณว่า สถานะของสองลุงหลานแห่งตระกูลสวีในตำหนักบูรพานั้นมั่นคงอย่างยิ่งสวีฉังชิงถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความตื้นตันต่างจากสวีจวินโหลวที่ยังเยาว์วัย คิดเพียงแต่ความปลาบปลื้ม เขากลับคิดไปไกลกว่านั้นเขาตระหนักได้ทันทีว่า นี่คือรางวัลและการปลอบโยนจากองค์รัชทายาทองค์รัชทายาทกำลังบอกเขาผ่านสวีจวินโหลวว่า ตำหนักบูรพายังคงไว้วางใจเขา ความพยายามของเขาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา องค์รัชทายาทล้วนมองเห็นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง เขาคุกเข่ากราบลงกับพื้น ศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างแรง สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "กระหม่อม ขอบพระทัยในพระมห

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status