คำพูดของโจวไท่พู ทำให้สีหน้าของจินเสวี่ยยวนยิ่งมืดมน เมื่อเห็นว่าจินเสวี่ยยวนไม่พูดอะไร โจวไท่พูจึงโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ส่วนตัวก็เข้ามาหาจินเสวี่ยยวน และพูดเบาๆ “องค์หญิง ทำไมไม่เสวยอาหารก่อนล่ะเพคะ ไม่ว่าพระองค์มีเรื่องหลายสิ่งที่ต้องทำ แต่ต้องทานให้อิ่มก่อนถึงจะแก้ปัญหาได้” จินเสวี่ยยวนถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันไปมองเกล็ดหิมะที่ตกลงมาทางนอกหน้าต่าง แล้วพึมพำว่า “ข้ากินไม่ลง เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”สาวใช้มองท่าทางเศร้าๆ ของจินเสวี่ยยวน จึงทนไม่ไหวต้องคุกเข่ากล่าวเสียงสั่นว่า “องค์หญิง ช่วงนี้พระองค์ทรงทำงานหนักเพื่อแก้ไขวิกฤติในประเทศ และไม่เคยยิ้มเลย ทุกคนต่างรู้ดีถึงความกังวลขององค์หญิง แต่กังวลตอนนี้ไป ก็ไม่มีทางแก้ไขได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันขอให้องค์หญิงทรงเมตตาต่อพระองค์เองด้วยเถอะเพคะ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เรื่องยังไม่ทันจะแก้ไข แต่พระวรกายก็พังทลายเสียก่อน” จินเสวี่ยยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ข้าไม่มีความอยากอาหารเลยจริงๆ...แต่ยังไงก็ช่วยทำโจ๊กให้ข้าสักชามด้วย”สาวใช้ดีใจมากจึงลุกขึ้นยืน และจับชายก
“คณะทูตเสียนเฉา มาถึงตำหนักบูรพาแล้ว!” วินาทีที่จินเสวี่ยยวนพาสมาชิกของคณะทูตเข้าสู่ตำหนักบูรพา เจ้าหน้าที่หงลู่ซื่อผู้รับผิดชอบในการประกาศการมาก็ตะโกนเสียงดัง หน้าที่พิเศษได้รับการจัดการโดยมืออาชีพ เสียงประกาศนี้ทั้งชัดเจนและแหลมสูง เสียงใสกังวานนั้นแทบจะทะลุท้องฟ้า และดังสะท้อนไปทั่วตำหนักบูรพา เครื่องดนตรีประเภทสายและปี่บรรเลงขึ้นพร้อมกัน เคียงคู่กับระฆังชุดที่ส่งเสียงดังก้องกังวาน ราวกับว่าความน่าเกรงขาม น่าเคารพและความเคร่งขรึมของตำหนักบูรพาถูกปลุกให้ตื่น เมื่อเดินบนพรมที่นุ่มและหนาเป็นพิเศษ จินเสวี่ยยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางคิดว่าพลังของเสือยังคงอยู่ แม้ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะแสดงสัญญาณเสื่อมถอย เฉกเช่นเดียวกับชายชราที่ใกล้ตาย และมีปัญหาอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งยังเป็นปัญหาที่ไม่เล็กเลย แต่ทว่าอูฐที่ผอมก็ยังใหญ่กว่าม้า แม้จะมีเพียงโครงกระดูกก็ตาม ไม่ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะเสื่อมถอยลงเพียงใด แต่เสียนเฉาของตัวเองนั้นก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้เสียนเฉาจะเชิญช่างฝีมือกับบัณฑิตจากต้าฉินมา และขนส่งวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างเมืองหลวงที่มีเค้าโครงและขนาดเหมือนเมืองหลวงอย่าง
ด้านในพระที่นั่งคังไท่ ตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสัน แม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่ด้านในพระที่นั่งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ มีคณะดนตรีบรรเลงเพลง และนางกำนัลที่เดินไปมา นำสมาชิกของทูตเสียนเฉาแต่ละคนไปยังตำแหน่งของตนตามลำดับ บนโต๊ะมีเครื่องเคียงหลายอย่าง แม้ว่าจะไม่หรูหรามากนัก แต่แต่ละจานก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิเสทปรุงอย่างพิถีพิถัน ทั้งรูป รส กลิ่น ล้วนสมบูรณ์แบบ...แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครไร้มารยาทพอที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อน จินเสวี่ยยวนในฐานะองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะทูต ดังนั้นที่นั่งของนางจึงอยู่ด้านล่างทางขวามือของที่นั่งองค์รัชทายาท ซึ่งอยู่ตรงกลางด้านบนสุด ส่วนที่นั่งฝั่งซ้ายมือเป็นของขุนนางต้าฉิน และเนื่องจากเป็นงานเลี้ยงตำหนักบูรพา ดังนั้นขุนนางที่มาจึงมีตำแหน่งไม่ค่อยสูง ด้วยเหตุนี้จึงไม่เห็นขุนนางสำนักราชเลขาเลยสักคน เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่นั่งทางซ้ายมือระดับเดียวกับจินเสวี่ยยวนนั้นว่างเปล่า หลังจากที่คณะทูตเสียนเฉาเข้ามาในพระที่นั่งคังไท่ เหล่าทูตคนอื่นๆ ก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับเหล่าขุนนางในงานเลี้ยงทันที เห็นได้ชัดว่าไม่รู้
“เจ้าอยากตายรึ!” จินเสวี่ยยวนตกใจมาก ขนในกายถึงกับลุกพึ่บ ก่อนหน้านี้แม้หลี่เฉินจะแสดงความกล้าที่บ้าระห่ำออกมา แต่ก็ยังรู้จักหลบเลี่ยงคน แต่ที่นี่คือที่ไหน? ตำหนักบูรพา!พระที่นั่งคังไท่! เป็นสถานที่ที่องค์รัชทายาทให้การต้อนรับคณะทูตของเสียนเฉา! ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกคณะทูตเสียนเฉาของตัวเองเลย มีขุนนางขั้นที่ 5 ขึ้นไปประมาณ 5-6 คนอยู่ที่นี้ และยังมีนางกำนัลกับองค์รักษ์ที่กระจายตัวอยู่รอบๆ อย่างแน่นขนัด แต่หลี่เฉินก็ยังกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูนางอีก ท่าทางดังกล่าวได้ทำลายการป้องกันระหว่างชายหญิงสมัยโบราณแม้แต่ในหมู่ประชาชน ถ้าชายหรือหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จินเสวี่ยยวนจึงตกใจกลัวมาก นางผลักหลี่เฉินออกไปราวกับโดนไฟฟ้าช็อต และพูดอย่างตกใจปนกลัวว่า “จริงจังหน่อยสิ! หากถูกคนอื่นเห็นเข้า พวกเราจะมีปัญหา!” หลี่เฉินมองท่าทางเหมือนกระต่ายตื่นตูมของจินเสวี่ยยวนอย่างขำๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ข้าจริงจังก็ได้ แต่เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย เจ้ากำลังคิดถึงข้าอยู่หรือไม่?” จินเสว
คำพูดของจินเสวี่ยยวน ทำให้หลี่เฉินประหลาดใจ“ร่วมมือ?” หลี่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างสนใจว่า “เจ้าลองพูดมาสิ?” จินเสวี่ยยวนได้ยินบรรยากาศในพระที่นั่งคังไท่ที่ค่อยๆ คึกคักขึ้นเมื่อซูเจิ้นถิงมาถึง นางก็รู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จึงกัดฟันพูดไปว่า “สมบัติ! สมบัติของไท่จู!” “ตราบใดที่องค์รัชทายาทยินยอมส่งกองทัพไปยังเสียนเฉา ราชวงศ์เสียนเฉาก็เต็มใจที่จะบอกองค์รัชทายาทเกี่ยวกับสมบัติของไท่จู” หลี่เฉินตาเป็นประกาย เขาจ้องมองจินเสวี่ยยวนด้วยดวงตาดุจเหยี่ยว ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ หลี่เฉินก็พูดว่า “มันเป็นสมบัติจริงหรือปลอม?” “พวกเจ้าวางแผนที่จะใช้สมบัติปลอมเพื่อหลอกให้ต้าฉินส่งทหารออกไป แล้วค่อยคิดถึงแผนการและการชดใช้เพื่อระงับความพิโรธของต้าฉินในภายหลังใช่หรือไม่?”นี่เป็นครั้งแรกที่จินเสวี่ยยวนเพิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าบ้ากามตรงหน้านั้นช่างน่ากลัวมาก ประกายในดวงตาของเขาราวกับดาบที่สามารถทิ่มแทงจิตวิญญาณของนางได้โดยตรง จินเสวี่ยยวนรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ต่อมา นางก็รวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “จริงหรือปลอม ข้าก็มีวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาท
หัวใจทุกคนพลันเต้นแรง ทุกคนต่างแสดงท่าทางที่เคร่งขรึมโดยสัญชาตญาณ จิตสำนึกของพวกเขาสั่งให้ก้มหน้าลงและจัดท่าทางให้เรียบร้อย เพราะการเสียมารยาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทนั้น ถือเป็นโทษหนักไม่น้อย คนหลายสิบคนในพระที่นั่งคังไท่ต่างพากันเงียบกริบ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและมั่นคง ก่อนที่เงาร่างหนึ่ง จะเดินไปยังที่นั่งสูงตรงกลางจากทางด้านข้างของพระที่นั่ง จินเสวี่ยยวนก้มหัวต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่เดินไปยังที่นั่งสูงสุดอย่างองอาจ นางรู้ว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านี้ คือกุญแจสำคัญของการเดินทางมาที่นี่ของตัวเอง องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน จากสภาพร่างกายในปัจจุบันขององค์จักรพรรดิ คงอีกไม่นานที่เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของต้าฉิน รับผิดชอบขุนเขาธาราที่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้ และปกครองปวงประชานับหมื่นนับแสนคน กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า และเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในโลก ถึงแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิง แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างทั้งสอง ไม่ต้องพูดถึงตัวเองเลย แม้แต่เสด็จพ่อของนาง ราชาอาณาจักรเสียนเฉาหากมาอยู่ต่อหน้าเขา ก็ทำได้แค่ถ
คำพูดของหลี่เฉินไพเราะมาก ไม่เพียงแต่จะแสดงสถานะของต้าฉิน แต่ยังให้หน้าเสียนเฉาอีกด้วย ช่วยให้เสียนเฉาไม่ต้องกระอักกระอ่วนจนเกินไป ส่วนการเปรียบเทียบทะเลกับลำธาร อาทิตย์และจันทรา ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่แล้ว เสียนเฉาสถาปนาเป็นอาณาจักรได้ก็เพราะมีต้าฉินคอยหนุน ยิ่งไม่ต้องพูดระบบสังคม ทหาร และวัฒนธรรมในเสียนเฉา ที่แทบจะลอกระบบของต้าฉินมาทั้งหมด การที่ต้าฉินเป็นผู้นำและเป็นประเทศที่เหนือกว่านั้น นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วในสายตาของชาวเสียนเฉา เมื่อหลี่เฉินพูดจบ ก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มก่อน จากนั้นขุนนางต้าฉินและคณะทูต ก็พากันยกจอกสุราบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมา แล้วหันไปคารวะทางหลี่เฉิน พร้อมเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันว่า “กระหม่อม...จดจำคำสอนของฝ่าบาท” ตามมารยาททางการทูตของต้าฉิน จบคำกล่าวเปิดงาน ดื่มจอกแรกเสร็จ งานเลี้ยงก็เข้าสู่ช่วงถัดไปที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่า ตราบใดที่หลี่เฉินซึ่งอยู่ด้านบนไม่พูด คนด้านล่างก็สามารถดื่มคารวะกันเองได้อย่างผ่อนคลาย แน่นอนว่า สุราจอกแรกจำเป็นต้องดื่มคารวะหลี่เฉินก่อน หลี่เฉินจะดื่มหรือไม่ดื่มก็ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล
การแนะนำของจินเสวี่ยยวนเล่าออกมาอย่างไพเราะดุจเสียงธารใส “เพื่อรักษารากทั้งหมดของโสมนี้ให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่สร้างความเสียหายเลย เราจึงทำให้ยอดเขาทั้งลูกแบนราบลงหกชุ่น[footnoteRef:1] เนื่องจากภูเขาสูงเกินไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะขนส่งอุปกรณ์ด้วยล่อและม้า และเกือบทั้งหมดต้องยกอุปกรณ์ขึ้นไหล่ของคนงาน จากนั้นก็ใช้พลั่วแงะเปิดดินทีละน้อย จนในที่สุดก็สามารถเอาโสมหายากนี้ออกมาได้ จากการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และอาวุโสที่สุดในเสียนเฉา โสมนี้มีอายุมากกว่า 280 ปี และมีคุณสมบัติทางยามากกว่าโสมอายุร้อยปีทั่วไปถึงสามเท่า โสมอายุร้อยปีก็เป็นสมบัติที่หายากอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้ หายากยิ่งกว่านั้นอีก” [1: 1 ชุ่น = 1.312] จินเสวี่ยยวนประคองกล่องไม้ด้วยสองมือแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ “โสมนี้ ขอถวายแด่ต้าฉิน ขอให้ต้าฉินเจริญรุ่งเรืองตลอดไป” หลี่เฉินรู้สึกพอใจกับโสมหายากนี้เช่นกัน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ยอดเยี่ยม” “เวลานี้เสด็จพ่อยังทรงประชวรอยู่ โสมนี้สามารถให้หมอหลวงนำไปใช้รักษาเสด็จพ่อได้ องค์หญิงจินช่างใส่ใจ” กล่าวจบ หลี่เฉินก็โบกมือ จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามารับโสมไปอย่
คำกล่าวของฟู่อวี้จือราวกับเป็นเข็มกระตุ้นหัวใจให้กับบรรยากาศอันตึงเครียดในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางทุกคนต่างสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองฟู่อวี้จือ“เงินเดือนขุนนาง ค่าใช้จ่ายของราชสำนัก ค่าจ้างทหาร ตลอดจนการบรรเทาภัยพิบัติ ล้วนมีระเบียบและกฎเกณฑ์ คลังหลวงเก็บภาษีได้ในแต่ละปี แม้ไม่เพียงพอสำหรับทุกค่าใช้จ่าย แต่ก็สามารถจ่ายได้บางส่วน องค์รัชทายาทจะมาใช้เล่ห์กลปั่นหัวผู้คนและบิดเบือนความจริงได้อย่างไร?”คำพูดเพิ่งจบลง ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมากลางคัน“ใต้เท้าฟู่ คำกล่าวนี้ผิดถนัดแล้ว”ประโยคเปิดหัวคล้ายกัน แต่เปลี่ยนผู้พูดไปเป็นสวีฉังชิงเขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนกล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างนั้นแน่นอนว่าต้องใช้เงินจากคลังหลวง แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธคือคลังหลวงขาดแคลนมาหลายปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ปีที่แล้วเกิดภัยพิบัติ ฝ่าบาททรงเมตตาต่อราษฎร จึงยกเว้นภาษีในหลายพื้นที่ นั่นจึงทำให้ไม่เพียงแต่รายได้จากภาษีลดลง แต่คลังหลวงยังต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ รายรับกับรายจ่ายที่สวนทางกันเช่นนี้ ใต้เท้าฟู่คิดว่าช่องว่างมันมากเพียงใดกัน?”“ปีที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะองค์รัชท
"ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ทำสิ่งใด จะใช้ส่วนตัวหรือเติมเต็มคลังหลวงก็ตาม แต่ความจริงก็คือองค์รัชทายาทได้เป็นตัวอย่างที่เลวร้ายไปแล้ว หากในอนาคตขุนนางคนอื่นมีงานมงคลหรือไว้ทุกข์ พวกเขาก็สามารถรับของขวัญเป็นจำนวนมากเช่นนี้ได้กระนั้นหรือ? เช่นนี้ไม่ใช่การส่งเสริมลมร้ายและอธรรมดอกหรือ?"คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ดังก้องไปทั่วพระที่นั่งในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม เป็นแบบอย่างของขุนนางที่ซื่อสัตย์และสุจริตจนกระทั่งหลี่เฉินจ้องมองเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า "ดีมาก จ้าวอ๋อง ในที่สุดก็กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา""ในราชสำนัก คงมีอีกหลายคนที่คิดเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่?"สายตาของหลี่เฉินกวาดไปทั่วหมู่ขุนนางในพระที่นั่งไท่เหอก่อนเอ่ยอย่างเยือกเย็น "ผู้ใดคิดเช่นเดียวกับจ้าวอ๋อง ก้าวออกมาให้ข้าเห็นหน่อยสิ"ทั่วทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบงันจ้าวอ๋อง เป็นผู้ที่ออกตัวขัดแย้งกับองค์รัชทายาทโดยตรง แต่ผู้ใดที่มีสมองย่อมไม่กล้าออกมาสนับสนุนเขา โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่เช่นนี้ การเลือกข้างผิดพลาด อาจหมายถึงชีวิตขุนนางที่สามารถก้าวเข้ามาในพระที่นั่งไท่เหอ และมีสิทธิ์ร่วมต
ราชโองการสำนึกผิด!ราชโองการสำนึกผิด หมายถึงราชโองการที่ใช้แถลงถึงความผิดและบาปกรรมของตนเองพูดให้ชัดเจนก็คือ หนังสือสารภาพผิดหรือคำสารภาพผิดระดับสูงสุดแต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อเป็นราชโองการ ก็ต้องเป็นฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งนี้ได้และฮ่องเต้ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของราชสำนักในยุคศักดินา ครองแผ่นดินเป็นของตระกูล เป็นเจ้าเหนือหัวของไพร่ฟ้าทั้งปวง เขาจะทำผิดได้อย่างไร?ฮ่องเต้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนให้เป็นผู้ถูกต้องตลอดเวลา ไม่มีวันทำผิด และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาลหากภาพลักษณ์นี้พังทลาย ฮ่องเต้ก็จะมีอีกสมญานามหนึ่งว่า ฮ่องเต้โง่เขลาและหากมีการออกราชโองการสำนึกผิด นั่นหมายถึง ฮ่องเต้ได้ยอมรับด้วยตนเองว่าเป็น ฮ่องเต้โง่เขลาดังนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหวาเซี่ย ฮ่องเต้ที่เคยออกราชโองการสำนึกผิด มีอยู่เพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นและพวกเขาแทบทั้งหมดออกคำสั่งนี้ในสถานการณ์เดียวกันเมื่อแคว้นของตนกำลังเผชิญปัญหาภายในและภายนอกจนใกล้ล่มสลายในช่วงเวลานี้ เพื่อเรียกความศรัทธาจากไพร่ฟ้า และเพื่อรวมพลังจากเหล่าขุนนางและแม่ทัพ ฮ่องเต้ จะออกราชโองการสำนึกผิดเน
คำพูดนี้ ต้าสิงฮ่องเต้ที่อยู่ในอาการหนัก ราวกับได้ยินพระองคทรงขยับปลายนิ้วเบาๆ ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้หากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครเห็นหลี่เฉินนั่งตัวตรง มองต้าสิงฮ่องเต้ลึกซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกจากตำหนักเฉียนชิงวันรุ่งขึ้น ราชสำนักเปิดประชุมเช้าตามปกติหลี่เฉินยืนอยู่บนแท่นพระที่นั่ง เคียงข้างบัลลังก์มังกร สายตากวาดมองหมู่ขุนนางที่ยืนเรียงรายด้านล่าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เหล่าขุนนาง หากมีเรื่องให้กราบทูล ก็กล่าวมา หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุม"แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องสายตาของหลี่เฉินแวบมองไปยัง หลี่อิ๋นหู่ โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น เขารู้ว่า นี่คือการโจมตีระลอกแรกของจ้าวเสวียนจีที่ผ่านมาในการประชุมเช้า หากเขาไม่อนุญาต หลี่อิ๋นหู่จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแต่วันนี้ เขาไม่ได้เรียกหลี่อิ๋นหู่มา ทว่าหลี่อิ๋นหู่กลับมาเองณ จุดเวลาอันอ่อนไหวเช่นนี้ ความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจมองข้ามเป็นไปตามคาด หลังจากที่หลี่เฉินกล่าวจบ หลี่อิ๋นหู่ก็ก้าวออกมาทันที "กราบทูลองค์รัชทายาท ข้ามีเรื่องจะทูล"มันเริ่มขึ้นแล้วและผู้เปิดฉาก คือหลี่อิ๋นหู่เองหลี่เฉินหรี่ตา
"องค์รัชทายาทช่างเฉลียวฉลาด"ระหว่างทางกลับไป ซูเจิ้นถิงอธิบายเรื่องราวให้หลี่เฉินฟัง"ฝ่าบาททรงวางแผนเรื่องพี่น้องตระกูลอู๋ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าเองก็เพิ่งจะได้รับรู้หลังจากที่ฝ่าบาทประชวรหนัก""ตามคำพูดของฝ่าบาท หากองค์รัชทายาทสามารถใช้ประโยชน์จากสองพี่น้องนี้ได้ ข้าจะต้องนำท่านมาที่ศาลบูรพกษัตริย์ แต่หากไม่สามารถใช้ได้ ก็ให้พวกเขาหายไปตลอดกาล"แม้ซูเจิ้นถิงจะพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่ในถ้อยคำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของการสังหารอันเยือกเย็นหลี่เฉินหน้าถมึงทึง "เจ้ายังปิดบังอะไรข้าอีก?"ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้น แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย "ไม่มีอีกแล้ว เพราะแผนการที่ฝ่าบาททรงวางไว้ จบลงเพียงแค่ตรงนี้ ที่เหลือจากนี้ องค์รัชทายาทต้องเดินต่อไปด้วยตนเอง"หลี่เฉินถอนหายใจเบาๆ "บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเสด็จพ่อของข้า ช่างลึกล้ำเสียจนข้าเหมือนถูกควบคุมทุกย่างก้าว""ไม่ใช่เช่นนั้น"ซูเจิ้นถิงส่ายหน้า สีหน้าจริงจัง "ที่จริงแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทและข้าเคยคาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้น ฝ่าบาทก็ยังไม่มั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นได้ถึงเพียงนี้""ฝ่าบาทถึงกับเตรียมใจไว้สำ
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันใช้โอกาสที่ควบคุมราชสำนัก มีสิทธิ์จัดสรรเสบียงและเงินเดือนของด่านเย่ว์หยา ทำให้สามารถดึงคนบางกลุ่มเข้ามาอยู่ใต้อำนาจของมันได้""แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกตัวเล็กตัวน้อย พวกที่ไม่อาจอยู่รอดในศึกแย่งชิงระหว่างน้องชายข้ากับหนิงอ๋อง จึงเลือกไปพึ่งพาจ้าวเสวียนจี พวกมันไม่น่ากังวล"เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินจ้องมองอู๋ชิงชางก่อนจะถามว่า "หากจ้าวเสวียนจีคิดจะยึดด่านเย่ว์หยา...""มันต้องผ่านน้องชายข้าก่อน"หลี่เฉินพยักหน้า "แล้วเจ้ามั่นใจในตัวน้องชายเจ้าสักกี่ส่วน?"อู๋ชิงชางตอบอย่างสงบนิ่ง "พี่น้องร่วมสายเลือด ย่อมพร้อมตายแทนกันได้"หลี่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย "ข้าเกิดในราชวงศ์ เจ้าย่อมรู้ว่าพี่น้องในราชวงศ์ไม่มีวันเชื่อใจกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเป็นสิบปี ใจคนย่อมเปลี่ยน เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าน้องชายเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ?""แต่เราสองพี่น้องไม่ใช่เชื้อพระวงศ์"อู๋ชิงชางค้อมตัวประสานมือ "เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กต่างรู้ดีถึงความหมายของแผ่นดิน ขอให้องค์รัชทายาทวางพระทัย ด่านเย่ว์หยาจะเป็นของราชสำนัก และจะเป็นขององค์รัชทายาทตลอดไป""ดี"หลี่เฉินกล่าว "ถ้าเช่นนั้
"หากข้าเป็นเพียงคนไร้ความสามารถเล่า?" หลี่เฉินเผลอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว"นั่นก็หมายความว่าราชวงศ์หลี่ควรสิ้นสุด และจักรวรรดิต้าฉินถึงคราวล่มสลาย"คำพูดของอู๋ชิงชางดุจค้อนหนักทุบลงบนหัวใจของหลี่เฉิน ทำให้รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ"ทุกสิ่งทุกอย่าง ฝ่าบาททรงพิจารณาไว้หมดแล้ว""แต่เช่นเดียวกับที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ฟ้าดินและผู้คนล้วนไม่เข้าข้างฝ่าบาท สิ่งที่ฝ่าบาททำได้ ก็คือใช้สิบปีวางหมากเพื่อให้องค์รัชทายาทมีเวลา เพื่อหาหนทางให้จักรวรรดิต้าฉินและราชวงศ์หลี่อยู่รอดต่อไป และองค์รัชทายาทก็คือความหวังเพียงหนึ่งเดียว"หลี่เฉินสูดลมหายใจลึกหากไม่ใช่เพราะตนทะลุไม่ติมาอยู่ร่างนี้ ด้วยพฤติกรรมของเจ้าของร่างเดิม คงเป็นได้แค่เสือลูกสุนัข ความหวังของต้าสิงฮ่องเต้คงมลายหายไป และราชวงศ์หลี่คงถึงคราวสิ้นสุดแต่เมื่อตนมาอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ อาจเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้แล้วจริงๆ หรือ?หากไม่ใช่ เช่นนั้นจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการทะลุไม่ติของตนได้อย่างไร?หัวใจของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายชั่วขณะ"เช่นนั้นพวกเจ้าเอง ก็เป็นคนที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ให้ข้าหรือ?" หลี่เฉินเอ่
"แน่นอน ตอนนี้ยังต้องเพิ่มอีกคน นั่นคือองค์รัชทายาทท่านด้วย"คำพูดของอู๋ชิงชางทำให้สมองของหลี่เฉินหมุนไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันมากมาย และเส้นใยความเกี่ยวข้องเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็เหมือนปลายด้ายที่กระจัดกระจาย แต่จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดเริ่มต้นของเส้นด้ายเหล่านั้น ก็อยู่ในพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้ ที่กำลังบรรทมอยู่ในตำหนักเฉียนชิงใบหน้าของหลี่เฉินไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาแฝงแววสงบนิ่งไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอู๋ชิงชางดูเหมือนไม่สนใจว่าเขาคิดอะไร เขากล่าวต่อไปว่า "เมื่อหลายปีก่อน จ้าวเสวียนจีได้วางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมา กระดานนี้ก็คือให้น้องชายของข้าได้รับพระคุณจากเขา วันหนึ่งในอนาคตต้องตอบแทนบุญคุณนี้ และต้องลบล้างหลักฐานนี้ให้สิ้น""แต่ก่อนหน้านั้น ฝ่าบาทก็ทรงวางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมาเช่นกัน กระดานนี้ก็คือให้จ้าวเสวียนจีเป็นผู้วางหมาก"หลี่เฉินมองอู๋ชิงชางก่อนจะกล่าวว่า "ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงบอกว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นคนที่อยู่ลำดับที่สาม"อู๋ชิงชางหัวเราะ "กลอุบายของจักรพรรดิ ฝ่าบาททรงเล่นได้ถึงขีดสุด คนระดับต่ำย่อมเ
ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ