โจวไท่พูหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “จะเชื่อหรือไม่ มันสำคัญด้วยหรือ?” “จักรวรรดิต้าฉินในตอนนี้ องค์รัชทายาททรงครอบครองความชอบธรรม แต่ในด้านอำนาจทางการเมือง พระองค์เป็นฝ่ายอ่อนแอ บวกภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาภัยพิบัติหรือเพื่อบรรเทาความขัดแย้งทางการเมือง องค์รัชทายาทจำเป็นต้องมีเหตุผลที่เพียงพอในการเบี่ยงเบนความสนใจของคนในประเทศและฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยก็สามารถตอบสนองความต้องการขององค์รัชทายาทได้อย่างแน่นอน” “ดังนั้น...” โจวไท่พูประสานมือไปทางจินเสวี่ยยวนแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือหาคนที่สามารถทำให้องค์รัชทายาทตกลงมาพบกับพวกเรา เขาในฐานะคนกลางจะเกริ่นนำให้กับองค์รัชทายาทก่อน เพราะถ้าหากองค์หญิงเสนอเรื่องนี้ในงานเลี้ยงโดยตรง มันจะเสี่ยงมาก และจะเป็นการทดสอบความหลักแหลมทางการเมืองขององค์รัชทายาท...และไหวพริบขององค์หญิงอีกด้วย” “หากความหลักแหลมทางการเมืองขององค์รัชทายาทซับซ้อนเพียงพอ เช่นนั้นองค์หญิงก็สามารถเสนอเรื่องนี้ในงานเลี้ยงอาหารค่ำโดยตรงได้ แต่ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และสน
คำพูดของโจวไท่พู ทำให้สีหน้าของจินเสวี่ยยวนยิ่งมืดมน เมื่อเห็นว่าจินเสวี่ยยวนไม่พูดอะไร โจวไท่พูจึงโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ส่วนตัวก็เข้ามาหาจินเสวี่ยยวน และพูดเบาๆ “องค์หญิง ทำไมไม่เสวยอาหารก่อนล่ะเพคะ ไม่ว่าพระองค์มีเรื่องหลายสิ่งที่ต้องทำ แต่ต้องทานให้อิ่มก่อนถึงจะแก้ปัญหาได้” จินเสวี่ยยวนถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันไปมองเกล็ดหิมะที่ตกลงมาทางนอกหน้าต่าง แล้วพึมพำว่า “ข้ากินไม่ลง เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”สาวใช้มองท่าทางเศร้าๆ ของจินเสวี่ยยวน จึงทนไม่ไหวต้องคุกเข่ากล่าวเสียงสั่นว่า “องค์หญิง ช่วงนี้พระองค์ทรงทำงานหนักเพื่อแก้ไขวิกฤติในประเทศ และไม่เคยยิ้มเลย ทุกคนต่างรู้ดีถึงความกังวลขององค์หญิง แต่กังวลตอนนี้ไป ก็ไม่มีทางแก้ไขได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันขอให้องค์หญิงทรงเมตตาต่อพระองค์เองด้วยเถอะเพคะ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เรื่องยังไม่ทันจะแก้ไข แต่พระวรกายก็พังทลายเสียก่อน” จินเสวี่ยยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ข้าไม่มีความอยากอาหารเลยจริงๆ...แต่ยังไงก็ช่วยทำโจ๊กให้ข้าสักชามด้วย”สาวใช้ดีใจมากจึงลุกขึ้นยืน และจับชายก
“คณะทูตเสียนเฉา มาถึงตำหนักบูรพาแล้ว!” วินาทีที่จินเสวี่ยยวนพาสมาชิกของคณะทูตเข้าสู่ตำหนักบูรพา เจ้าหน้าที่หงลู่ซื่อผู้รับผิดชอบในการประกาศการมาก็ตะโกนเสียงดัง หน้าที่พิเศษได้รับการจัดการโดยมืออาชีพ เสียงประกาศนี้ทั้งชัดเจนและแหลมสูง เสียงใสกังวานนั้นแทบจะทะลุท้องฟ้า และดังสะท้อนไปทั่วตำหนักบูรพา เครื่องดนตรีประเภทสายและปี่บรรเลงขึ้นพร้อมกัน เคียงคู่กับระฆังชุดที่ส่งเสียงดังก้องกังวาน ราวกับว่าความน่าเกรงขาม น่าเคารพและความเคร่งขรึมของตำหนักบูรพาถูกปลุกให้ตื่น เมื่อเดินบนพรมที่นุ่มและหนาเป็นพิเศษ จินเสวี่ยยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางคิดว่าพลังของเสือยังคงอยู่ แม้ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะแสดงสัญญาณเสื่อมถอย เฉกเช่นเดียวกับชายชราที่ใกล้ตาย และมีปัญหาอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งยังเป็นปัญหาที่ไม่เล็กเลย แต่ทว่าอูฐที่ผอมก็ยังใหญ่กว่าม้า แม้จะมีเพียงโครงกระดูกก็ตาม ไม่ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะเสื่อมถอยลงเพียงใด แต่เสียนเฉาของตัวเองนั้นก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้เสียนเฉาจะเชิญช่างฝีมือกับบัณฑิตจากต้าฉินมา และขนส่งวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างเมืองหลวงที่มีเค้าโครงและขนาดเหมือนเมืองหลวงอย่าง
ด้านในพระที่นั่งคังไท่ ตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสัน แม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่ด้านในพระที่นั่งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ มีคณะดนตรีบรรเลงเพลง และนางกำนัลที่เดินไปมา นำสมาชิกของทูตเสียนเฉาแต่ละคนไปยังตำแหน่งของตนตามลำดับ บนโต๊ะมีเครื่องเคียงหลายอย่าง แม้ว่าจะไม่หรูหรามากนัก แต่แต่ละจานก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิเสทปรุงอย่างพิถีพิถัน ทั้งรูป รส กลิ่น ล้วนสมบูรณ์แบบ...แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครไร้มารยาทพอที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อน จินเสวี่ยยวนในฐานะองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะทูต ดังนั้นที่นั่งของนางจึงอยู่ด้านล่างทางขวามือของที่นั่งองค์รัชทายาท ซึ่งอยู่ตรงกลางด้านบนสุด ส่วนที่นั่งฝั่งซ้ายมือเป็นของขุนนางต้าฉิน และเนื่องจากเป็นงานเลี้ยงตำหนักบูรพา ดังนั้นขุนนางที่มาจึงมีตำแหน่งไม่ค่อยสูง ด้วยเหตุนี้จึงไม่เห็นขุนนางสำนักราชเลขาเลยสักคน เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่นั่งทางซ้ายมือระดับเดียวกับจินเสวี่ยยวนนั้นว่างเปล่า หลังจากที่คณะทูตเสียนเฉาเข้ามาในพระที่นั่งคังไท่ เหล่าทูตคนอื่นๆ ก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับเหล่าขุนนางในงานเลี้ยงทันที เห็นได้ชัดว่าไม่รู้
“เจ้าอยากตายรึ!” จินเสวี่ยยวนตกใจมาก ขนในกายถึงกับลุกพึ่บ ก่อนหน้านี้แม้หลี่เฉินจะแสดงความกล้าที่บ้าระห่ำออกมา แต่ก็ยังรู้จักหลบเลี่ยงคน แต่ที่นี่คือที่ไหน? ตำหนักบูรพา!พระที่นั่งคังไท่! เป็นสถานที่ที่องค์รัชทายาทให้การต้อนรับคณะทูตของเสียนเฉา! ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกคณะทูตเสียนเฉาของตัวเองเลย มีขุนนางขั้นที่ 5 ขึ้นไปประมาณ 5-6 คนอยู่ที่นี้ และยังมีนางกำนัลกับองค์รักษ์ที่กระจายตัวอยู่รอบๆ อย่างแน่นขนัด แต่หลี่เฉินก็ยังกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูนางอีก ท่าทางดังกล่าวได้ทำลายการป้องกันระหว่างชายหญิงสมัยโบราณแม้แต่ในหมู่ประชาชน ถ้าชายหรือหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จินเสวี่ยยวนจึงตกใจกลัวมาก นางผลักหลี่เฉินออกไปราวกับโดนไฟฟ้าช็อต และพูดอย่างตกใจปนกลัวว่า “จริงจังหน่อยสิ! หากถูกคนอื่นเห็นเข้า พวกเราจะมีปัญหา!” หลี่เฉินมองท่าทางเหมือนกระต่ายตื่นตูมของจินเสวี่ยยวนอย่างขำๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ข้าจริงจังก็ได้ แต่เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย เจ้ากำลังคิดถึงข้าอยู่หรือไม่?” จินเสว
คำพูดของจินเสวี่ยยวน ทำให้หลี่เฉินประหลาดใจ“ร่วมมือ?” หลี่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างสนใจว่า “เจ้าลองพูดมาสิ?” จินเสวี่ยยวนได้ยินบรรยากาศในพระที่นั่งคังไท่ที่ค่อยๆ คึกคักขึ้นเมื่อซูเจิ้นถิงมาถึง นางก็รู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จึงกัดฟันพูดไปว่า “สมบัติ! สมบัติของไท่จู!” “ตราบใดที่องค์รัชทายาทยินยอมส่งกองทัพไปยังเสียนเฉา ราชวงศ์เสียนเฉาก็เต็มใจที่จะบอกองค์รัชทายาทเกี่ยวกับสมบัติของไท่จู” หลี่เฉินตาเป็นประกาย เขาจ้องมองจินเสวี่ยยวนด้วยดวงตาดุจเหยี่ยว ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ หลี่เฉินก็พูดว่า “มันเป็นสมบัติจริงหรือปลอม?” “พวกเจ้าวางแผนที่จะใช้สมบัติปลอมเพื่อหลอกให้ต้าฉินส่งทหารออกไป แล้วค่อยคิดถึงแผนการและการชดใช้เพื่อระงับความพิโรธของต้าฉินในภายหลังใช่หรือไม่?”นี่เป็นครั้งแรกที่จินเสวี่ยยวนเพิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าบ้ากามตรงหน้านั้นช่างน่ากลัวมาก ประกายในดวงตาของเขาราวกับดาบที่สามารถทิ่มแทงจิตวิญญาณของนางได้โดยตรง จินเสวี่ยยวนรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ต่อมา นางก็รวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “จริงหรือปลอม ข้าก็มีวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาท
หัวใจทุกคนพลันเต้นแรง ทุกคนต่างแสดงท่าทางที่เคร่งขรึมโดยสัญชาตญาณ จิตสำนึกของพวกเขาสั่งให้ก้มหน้าลงและจัดท่าทางให้เรียบร้อย เพราะการเสียมารยาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทนั้น ถือเป็นโทษหนักไม่น้อย คนหลายสิบคนในพระที่นั่งคังไท่ต่างพากันเงียบกริบ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและมั่นคง ก่อนที่เงาร่างหนึ่ง จะเดินไปยังที่นั่งสูงตรงกลางจากทางด้านข้างของพระที่นั่ง จินเสวี่ยยวนก้มหัวต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่เดินไปยังที่นั่งสูงสุดอย่างองอาจ นางรู้ว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านี้ คือกุญแจสำคัญของการเดินทางมาที่นี่ของตัวเอง องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน จากสภาพร่างกายในปัจจุบันขององค์จักรพรรดิ คงอีกไม่นานที่เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของต้าฉิน รับผิดชอบขุนเขาธาราที่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้ และปกครองปวงประชานับหมื่นนับแสนคน กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า และเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในโลก ถึงแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิง แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างทั้งสอง ไม่ต้องพูดถึงตัวเองเลย แม้แต่เสด็จพ่อของนาง ราชาอาณาจักรเสียนเฉาหากมาอยู่ต่อหน้าเขา ก็ทำได้แค่ถ
คำพูดของหลี่เฉินไพเราะมาก ไม่เพียงแต่จะแสดงสถานะของต้าฉิน แต่ยังให้หน้าเสียนเฉาอีกด้วย ช่วยให้เสียนเฉาไม่ต้องกระอักกระอ่วนจนเกินไป ส่วนการเปรียบเทียบทะเลกับลำธาร อาทิตย์และจันทรา ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่แล้ว เสียนเฉาสถาปนาเป็นอาณาจักรได้ก็เพราะมีต้าฉินคอยหนุน ยิ่งไม่ต้องพูดระบบสังคม ทหาร และวัฒนธรรมในเสียนเฉา ที่แทบจะลอกระบบของต้าฉินมาทั้งหมด การที่ต้าฉินเป็นผู้นำและเป็นประเทศที่เหนือกว่านั้น นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วในสายตาของชาวเสียนเฉา เมื่อหลี่เฉินพูดจบ ก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มก่อน จากนั้นขุนนางต้าฉินและคณะทูต ก็พากันยกจอกสุราบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมา แล้วหันไปคารวะทางหลี่เฉิน พร้อมเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันว่า “กระหม่อม...จดจำคำสอนของฝ่าบาท” ตามมารยาททางการทูตของต้าฉิน จบคำกล่าวเปิดงาน ดื่มจอกแรกเสร็จ งานเลี้ยงก็เข้าสู่ช่วงถัดไปที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่า ตราบใดที่หลี่เฉินซึ่งอยู่ด้านบนไม่พูด คนด้านล่างก็สามารถดื่มคารวะกันเองได้อย่างผ่อนคลาย แน่นอนว่า สุราจอกแรกจำเป็นต้องดื่มคารวะหลี่เฉินก่อน หลี่เฉินจะดื่มหรือไม่ดื่มก็ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล