คำพูดของจินเสวี่ยยวน ทำให้หลี่เฉินประหลาดใจ“ร่วมมือ?” หลี่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างสนใจว่า “เจ้าลองพูดมาสิ?” จินเสวี่ยยวนได้ยินบรรยากาศในพระที่นั่งคังไท่ที่ค่อยๆ คึกคักขึ้นเมื่อซูเจิ้นถิงมาถึง นางก็รู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จึงกัดฟันพูดไปว่า “สมบัติ! สมบัติของไท่จู!” “ตราบใดที่องค์รัชทายาทยินยอมส่งกองทัพไปยังเสียนเฉา ราชวงศ์เสียนเฉาก็เต็มใจที่จะบอกองค์รัชทายาทเกี่ยวกับสมบัติของไท่จู” หลี่เฉินตาเป็นประกาย เขาจ้องมองจินเสวี่ยยวนด้วยดวงตาดุจเหยี่ยว ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ หลี่เฉินก็พูดว่า “มันเป็นสมบัติจริงหรือปลอม?” “พวกเจ้าวางแผนที่จะใช้สมบัติปลอมเพื่อหลอกให้ต้าฉินส่งทหารออกไป แล้วค่อยคิดถึงแผนการและการชดใช้เพื่อระงับความพิโรธของต้าฉินในภายหลังใช่หรือไม่?”นี่เป็นครั้งแรกที่จินเสวี่ยยวนเพิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าบ้ากามตรงหน้านั้นช่างน่ากลัวมาก ประกายในดวงตาของเขาราวกับดาบที่สามารถทิ่มแทงจิตวิญญาณของนางได้โดยตรง จินเสวี่ยยวนรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ต่อมา นางก็รวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “จริงหรือปลอม ข้าก็มีวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาท
หัวใจทุกคนพลันเต้นแรง ทุกคนต่างแสดงท่าทางที่เคร่งขรึมโดยสัญชาตญาณ จิตสำนึกของพวกเขาสั่งให้ก้มหน้าลงและจัดท่าทางให้เรียบร้อย เพราะการเสียมารยาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทนั้น ถือเป็นโทษหนักไม่น้อย คนหลายสิบคนในพระที่นั่งคังไท่ต่างพากันเงียบกริบ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและมั่นคง ก่อนที่เงาร่างหนึ่ง จะเดินไปยังที่นั่งสูงตรงกลางจากทางด้านข้างของพระที่นั่ง จินเสวี่ยยวนก้มหัวต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่เดินไปยังที่นั่งสูงสุดอย่างองอาจ นางรู้ว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านี้ คือกุญแจสำคัญของการเดินทางมาที่นี่ของตัวเอง องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน จากสภาพร่างกายในปัจจุบันขององค์จักรพรรดิ คงอีกไม่นานที่เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของต้าฉิน รับผิดชอบขุนเขาธาราที่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้ และปกครองปวงประชานับหมื่นนับแสนคน กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า และเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในโลก ถึงแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิง แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างทั้งสอง ไม่ต้องพูดถึงตัวเองเลย แม้แต่เสด็จพ่อของนาง ราชาอาณาจักรเสียนเฉาหากมาอยู่ต่อหน้าเขา ก็ทำได้แค่ถ
คำพูดของหลี่เฉินไพเราะมาก ไม่เพียงแต่จะแสดงสถานะของต้าฉิน แต่ยังให้หน้าเสียนเฉาอีกด้วย ช่วยให้เสียนเฉาไม่ต้องกระอักกระอ่วนจนเกินไป ส่วนการเปรียบเทียบทะเลกับลำธาร อาทิตย์และจันทรา ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่แล้ว เสียนเฉาสถาปนาเป็นอาณาจักรได้ก็เพราะมีต้าฉินคอยหนุน ยิ่งไม่ต้องพูดระบบสังคม ทหาร และวัฒนธรรมในเสียนเฉา ที่แทบจะลอกระบบของต้าฉินมาทั้งหมด การที่ต้าฉินเป็นผู้นำและเป็นประเทศที่เหนือกว่านั้น นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วในสายตาของชาวเสียนเฉา เมื่อหลี่เฉินพูดจบ ก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มก่อน จากนั้นขุนนางต้าฉินและคณะทูต ก็พากันยกจอกสุราบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมา แล้วหันไปคารวะทางหลี่เฉิน พร้อมเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันว่า “กระหม่อม...จดจำคำสอนของฝ่าบาท” ตามมารยาททางการทูตของต้าฉิน จบคำกล่าวเปิดงาน ดื่มจอกแรกเสร็จ งานเลี้ยงก็เข้าสู่ช่วงถัดไปที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่า ตราบใดที่หลี่เฉินซึ่งอยู่ด้านบนไม่พูด คนด้านล่างก็สามารถดื่มคารวะกันเองได้อย่างผ่อนคลาย แน่นอนว่า สุราจอกแรกจำเป็นต้องดื่มคารวะหลี่เฉินก่อน หลี่เฉินจะดื่มหรือไม่ดื่มก็ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล
การแนะนำของจินเสวี่ยยวนเล่าออกมาอย่างไพเราะดุจเสียงธารใส “เพื่อรักษารากทั้งหมดของโสมนี้ให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่สร้างความเสียหายเลย เราจึงทำให้ยอดเขาทั้งลูกแบนราบลงหกชุ่น[footnoteRef:1] เนื่องจากภูเขาสูงเกินไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะขนส่งอุปกรณ์ด้วยล่อและม้า และเกือบทั้งหมดต้องยกอุปกรณ์ขึ้นไหล่ของคนงาน จากนั้นก็ใช้พลั่วแงะเปิดดินทีละน้อย จนในที่สุดก็สามารถเอาโสมหายากนี้ออกมาได้ จากการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และอาวุโสที่สุดในเสียนเฉา โสมนี้มีอายุมากกว่า 280 ปี และมีคุณสมบัติทางยามากกว่าโสมอายุร้อยปีทั่วไปถึงสามเท่า โสมอายุร้อยปีก็เป็นสมบัติที่หายากอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้ หายากยิ่งกว่านั้นอีก” [1: 1 ชุ่น = 1.312] จินเสวี่ยยวนประคองกล่องไม้ด้วยสองมือแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ “โสมนี้ ขอถวายแด่ต้าฉิน ขอให้ต้าฉินเจริญรุ่งเรืองตลอดไป” หลี่เฉินรู้สึกพอใจกับโสมหายากนี้เช่นกัน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ยอดเยี่ยม” “เวลานี้เสด็จพ่อยังทรงประชวรอยู่ โสมนี้สามารถให้หมอหลวงนำไปใช้รักษาเสด็จพ่อได้ องค์หญิงจินช่างใส่ใจ” กล่าวจบ หลี่เฉินก็โบกมือ จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามารับโสมไปอย่
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท!” ตอนนี้เองซูเจิ้นถิงก็ประสานมือขึ้นกล่าว หลี่เฉินมองซูเจิ้นถิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เหตุใดท่านแม่ทัพซูจึงมีความสุข?”ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไท่จูเป็นยอดบุรุษเมื่อสามร้อยปีก่อน สติปัญญาและความกล้าหาญของเขา ไม่มีใครในประวัติศาสตร์หัวเซี่ยกว่าพันปีสามารถเทียบเคียงได้ ตอนนี้กระบี่ของไท่จูได้ปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง และกลับมาอยู่ในมือขององค์รัชทายาท จะเห็นได้ว่าไท่จูทรงปกปักษ์คุ้มครององค์รัชทายาท นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เหล่าขุนนางจะเจริญรุ่งเรือง ความรุ่งโรจน์กำลังจะกลับมาอีกครั้ง และจะยิ่งใหญ่กว่าเดิม!” ฟังสิๆ อะไรที่เรียกว่าเยินยอ? นี่สิคือการเยินยอที่แท้จริงช่างเป็นทักษะประจบประแจงขั้นสูง จนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง แม้แต่หลี่เฉินก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุขหลังจากที่ได้ยินมัน ไม่มีข้าราชบริพารคนใดที่โง่เขลา พวกเขาไม่สามารถประจบได้ก่อนเป็นคนแรก อีกทั้งไม่มีใครกล้าแข่งกับซูเจิ้นถิง แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดพวกเขาจากการเติมดอกไม้ แต่ละคนต่างก็ยกมือขึ้น และพูดเสียงดังว่า “ขอแสดงความยินดีกั
ไห่ตงชิงตัวนี้ เมื่อเทียบกับโสมก่อนหน้านี้ หรือโดยเฉพาะต้าเหลียงหลงเชวี่ยแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแต่สำหรับหลี่เฉินแล้ว มันเหมาะกับเขาที่สุด ความสุขนั้นเกินคำบรรยาย หลี่เฉินยกมือขึ้น จากนั้นก็มีองค์รักษ์เดินเข้ามารับกรงจากในมือของจินเสวี่ยยวน แต่ทว่า เมื่อไห่ตงชิงเห็นคนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาของมันก็ระเบิดความดุร้ายออกมา กางปีกออกเล็กน้อย อยู่ในท่าเตรียมพร้อมจู่โจม จินเสวี่ยยวนกล่าวว่า “นกตัวนี้มีจิตวิญญาณ หากคนทั่วไปเดินเข้ามาใกล้ มันก็จะโจมตีทันที หม่อมฉันจำเป็นต้องถวายมันให้กับฝ่าบาทด้วยตัวเอง” ขุนนางบางคนขมวดคิ้วและพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น หากมันทำร้ายฝ่าบาทขึ้นมาจะทำเช่นไร?” จินเสวี่ยยวนส่ายหน้า “ในเมื่อมีจิตวิญญาณ มันย่อมรู้ว่าฝ่าบาทคือเจ้าของของมันในอนาคต เมื่อมันยอมรับเป็นเจ้าของ มันก็จะจำเจ้าของไปตลอดชีวิต” ในขณะที่พูด จินเสวี่ยยวนก็เดินมาที่หน้าโต๊ะของหลี่เฉิน หลี่เฉินลังเลเล็กน้อย เมื่อมองอย่างใกล้ชิดก็จะเห็นกรงเล็บและจงอยปากที่แหลมคมของไห่ตงชิง ซึ่งคมกว่าดาบหรือกระบี่ ดวงตาที่ดุร้ายของมันกำลังจ้องมองมาที่ตน ทำเป็นเล่นไปกรงเล็บนี่ส
ภายในพระที่นั่งคังไท่เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดถึงหัวข้อประเภทนี้ บางคนถึงกับกลั้นเสียงลมหายใจของตัวเอง เพราะเกรงว่าจะดึงดูดความสนใจขององค์รัชทายาท ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่หลี่เฉิน ประโยคต่อไปของหลี่เฉิน ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ มันก็จะส่งผลโดยตรงต่อการอยู่รอดของเสียนเฉา แต่หลี่เฉินกลับไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขาหันไปถามซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” นี่คือบทละครที่ทั้งสองคนได้เตรียมไว้ล่วงหน้าซูเจิ้นถิงไม่ได้ตื่นตระหนก เขากำหมัดแล้วพูดว่า “กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะที่จะเห็นด้วยกับคำขอของเสียนเฉา”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา คณะทูตเสียนเฉาแต่ละคนก็เงยหน้าขึ้นมองซูเจิ้นถิง สายตาของพวกเขาแทบจะพ่นไฟออกมา และอยากจะฆ่าซูเจิ้นถิงให้ตาย แต่ซูเจิ้นถิงกลับไม่สะทกสะท้าน เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “สถานการณ์ในประเทศตอนนี้ยังไม่ดีนัก ก่อนหน้านี้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ต่อมาพวกชาวซยงหนูก็พร้อมเคลื่อนทัพสู่ชายแดน สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะดูเหมือนสงบ แต่จริงๆ แล้ว การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็อาจส่งผลต่อทั้งร่างกาย!” “ความ
“ข้าคิดมาตลอดว่านั่นเป็นเพียงตำนาน ปีนั้นปู่ทวดของข้าได้เข้าร่วมกลุ่มค้นหาสมบัติของจักรพรรดิองค์ก่อน หลังจากเสียเวลาและเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ ก็ไม่พบอะไรเลย ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง?” “เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นเรื่องโกหก?” “เหลวไหล ต้าเหลียงหลงเชวี่ยเล่มนี้ ทั่วทั้งใต้หล้ามีอยู่แค่เล่มเดียว ใครสามารถปลอมแปลงมันได้บ้าง? ใครจะกล้าปลอมแปลงมันขึ้นมา?” “แน่นอนว่าต้าเหลียงหลงเชวี่ยเป็นกระบี่ของไท่จู ถ้าหากกล้าปลอมแปลงขึ้นมา ย่อมมีความผิดฐานก่อความไม่สงบ!” ความคิดเห็นต่างๆ นาๆ ได้แพร่กระจายไปทั่วกลุ่มข้าราชบริพารของต้าฉินอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน ทั้งแววตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “ฝ่าบาท!” สวีฉังชิงลุกขึ้นยืน ในฐานะคนกลุ่มแรกๆ ที่ติดตามหลี่เฉิน ไม่ว่าจะตำแหน่งหรือความสามารถ สวีฉังชิงล้วนมีคุณสมบัติที่จะพูดเป็นคนแรกตอนนี้ “เรื่องสมบัติไท่จูเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมคิดว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวัง หากเป็นเรื่องจริง ก็ไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเพื่อนำสมบัติกลับคืนมา แต่ถ้าหากมีใครจงใจใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างความสับสนให้กับสาธารณชนเพื่อบร
"องค์รัชทายาทช่างเฉลียวฉลาด"ระหว่างทางกลับไป ซูเจิ้นถิงอธิบายเรื่องราวให้หลี่เฉินฟัง"ฝ่าบาททรงวางแผนเรื่องพี่น้องตระกูลอู๋ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าเองก็เพิ่งจะได้รับรู้หลังจากที่ฝ่าบาทประชวรหนัก""ตามคำพูดของฝ่าบาท หากองค์รัชทายาทสามารถใช้ประโยชน์จากสองพี่น้องนี้ได้ ข้าจะต้องนำท่านมาที่ศาลบูรพกษัตริย์ แต่หากไม่สามารถใช้ได้ ก็ให้พวกเขาหายไปตลอดกาล"แม้ซูเจิ้นถิงจะพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่ในถ้อยคำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของการสังหารอันเยือกเย็นหลี่เฉินหน้าถมึงทึง "เจ้ายังปิดบังอะไรข้าอีก?"ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้น แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย "ไม่มีอีกแล้ว เพราะแผนการที่ฝ่าบาททรงวางไว้ จบลงเพียงแค่ตรงนี้ ที่เหลือจากนี้ องค์รัชทายาทต้องเดินต่อไปด้วยตนเอง"หลี่เฉินถอนหายใจเบาๆ "บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเสด็จพ่อของข้า ช่างลึกล้ำเสียจนข้าเหมือนถูกควบคุมทุกย่างก้าว""ไม่ใช่เช่นนั้น"ซูเจิ้นถิงส่ายหน้า สีหน้าจริงจัง "ที่จริงแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทและข้าเคยคาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้น ฝ่าบาทก็ยังไม่มั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นได้ถึงเพียงนี้""ฝ่าบาทถึงกับเตรียมใจไว้สำ
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันใช้โอกาสที่ควบคุมราชสำนัก มีสิทธิ์จัดสรรเสบียงและเงินเดือนของด่านเย่ว์หยา ทำให้สามารถดึงคนบางกลุ่มเข้ามาอยู่ใต้อำนาจของมันได้""แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกตัวเล็กตัวน้อย พวกที่ไม่อาจอยู่รอดในศึกแย่งชิงระหว่างน้องชายข้ากับหนิงอ๋อง จึงเลือกไปพึ่งพาจ้าวเสวียนจี พวกมันไม่น่ากังวล"เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินจ้องมองอู๋ชิงชางก่อนจะถามว่า "หากจ้าวเสวียนจีคิดจะยึดด่านเย่ว์หยา...""มันต้องผ่านน้องชายข้าก่อน"หลี่เฉินพยักหน้า "แล้วเจ้ามั่นใจในตัวน้องชายเจ้าสักกี่ส่วน?"อู๋ชิงชางตอบอย่างสงบนิ่ง "พี่น้องร่วมสายเลือด ย่อมพร้อมตายแทนกันได้"หลี่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย "ข้าเกิดในราชวงศ์ เจ้าย่อมรู้ว่าพี่น้องในราชวงศ์ไม่มีวันเชื่อใจกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเป็นสิบปี ใจคนย่อมเปลี่ยน เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าน้องชายเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ?""แต่เราสองพี่น้องไม่ใช่เชื้อพระวงศ์"อู๋ชิงชางค้อมตัวประสานมือ "เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กต่างรู้ดีถึงความหมายของแผ่นดิน ขอให้องค์รัชทายาทวางพระทัย ด่านเย่ว์หยาจะเป็นของราชสำนัก และจะเป็นขององค์รัชทายาทตลอดไป""ดี"หลี่เฉินกล่าว "ถ้าเช่นนั้
"หากข้าเป็นเพียงคนไร้ความสามารถเล่า?" หลี่เฉินเผลอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว"นั่นก็หมายความว่าราชวงศ์หลี่ควรสิ้นสุด และจักรวรรดิต้าฉินถึงคราวล่มสลาย"คำพูดของอู๋ชิงชางดุจค้อนหนักทุบลงบนหัวใจของหลี่เฉิน ทำให้รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ"ทุกสิ่งทุกอย่าง ฝ่าบาททรงพิจารณาไว้หมดแล้ว""แต่เช่นเดียวกับที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ฟ้าดินและผู้คนล้วนไม่เข้าข้างฝ่าบาท สิ่งที่ฝ่าบาททำได้ ก็คือใช้สิบปีวางหมากเพื่อให้องค์รัชทายาทมีเวลา เพื่อหาหนทางให้จักรวรรดิต้าฉินและราชวงศ์หลี่อยู่รอดต่อไป และองค์รัชทายาทก็คือความหวังเพียงหนึ่งเดียว"หลี่เฉินสูดลมหายใจลึกหากไม่ใช่เพราะตนทะลุไม่ติมาอยู่ร่างนี้ ด้วยพฤติกรรมของเจ้าของร่างเดิม คงเป็นได้แค่เสือลูกสุนัข ความหวังของต้าสิงฮ่องเต้คงมลายหายไป และราชวงศ์หลี่คงถึงคราวสิ้นสุดแต่เมื่อตนมาอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ อาจเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้แล้วจริงๆ หรือ?หากไม่ใช่ เช่นนั้นจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการทะลุไม่ติของตนได้อย่างไร?หัวใจของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายชั่วขณะ"เช่นนั้นพวกเจ้าเอง ก็เป็นคนที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ให้ข้าหรือ?" หลี่เฉินเอ่
"แน่นอน ตอนนี้ยังต้องเพิ่มอีกคน นั่นคือองค์รัชทายาทท่านด้วย"คำพูดของอู๋ชิงชางทำให้สมองของหลี่เฉินหมุนไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันมากมาย และเส้นใยความเกี่ยวข้องเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็เหมือนปลายด้ายที่กระจัดกระจาย แต่จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดเริ่มต้นของเส้นด้ายเหล่านั้น ก็อยู่ในพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้ ที่กำลังบรรทมอยู่ในตำหนักเฉียนชิงใบหน้าของหลี่เฉินไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาแฝงแววสงบนิ่งไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอู๋ชิงชางดูเหมือนไม่สนใจว่าเขาคิดอะไร เขากล่าวต่อไปว่า "เมื่อหลายปีก่อน จ้าวเสวียนจีได้วางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมา กระดานนี้ก็คือให้น้องชายของข้าได้รับพระคุณจากเขา วันหนึ่งในอนาคตต้องตอบแทนบุญคุณนี้ และต้องลบล้างหลักฐานนี้ให้สิ้น""แต่ก่อนหน้านั้น ฝ่าบาทก็ทรงวางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมาเช่นกัน กระดานนี้ก็คือให้จ้าวเสวียนจีเป็นผู้วางหมาก"หลี่เฉินมองอู๋ชิงชางก่อนจะกล่าวว่า "ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงบอกว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นคนที่อยู่ลำดับที่สาม"อู๋ชิงชางหัวเราะ "กลอุบายของจักรพรรดิ ฝ่าบาททรงเล่นได้ถึงขีดสุด คนระดับต่ำย่อมเ
ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ
หลี่เฉินถึงกับตกตะลึงเขาไม่คาดคิดว่าชายตรงหน้าจะกล่าวถึง ต้าสิงฮ่องเต้ ว่าเป็นจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เสด็จพ่อของเขาครองราชย์มาหลายปี แต่กลับไม่มีผลงานใดโดดเด่นนักคลังหลวงก็ยังคงขัดสนด้านการบริหารบ้านเมืองก็ไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ส่วนทางด้านการทหาร ขนาดค่าจ้างทหารยังแทบจะหาไม่ได้ แค่สามารถรักษาสถานะปัจจุบันของจักรวรรดิไว้ได้ ก็นับว่าดีแล้ว เช่นนี้แล้ว ไฉนจึงจัดอยู่ในอันดับสามของจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพได้?ชายผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินต้องเกิดความฉงน เขาจึงกล่าวว่า "สิ่งที่ผู้คนเห็น มักเป็นเพียงสิ่งที่มีคนอยากให้เห็น สำหรับราชวงศ์นี้ มีหลายเรื่องที่ฝ่าบาทไม่ประสงค์ให้คนภายนอกรับรู้ ดังนั้น คนที่เข้าใจความจริงจึงมีน้อยยิ่งนัก"คำพูดนี้เหมือนพูดไปเปล่าๆหลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจคำกล่าวนั้นแม้แต่น้อยในสายตาของเขา ต้าสิงฮ่องเต้แม้จะมีวิธีการที่น่าสะพรึงบ้าง แต่หากพูดถึงการบริหารบ้านเมืองแล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทำให้ต้าฉินรุ่งเรืองขึ้นแม้แต่น้อยชายผู้นั้นสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ดูไม่แยแส จึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ความจริงแล้ว เมื่อฝ่าบา
"ผู้คนต่างสรรเสริญ จักรพรรดิอู่จง ว่าเป็นผู้สร้างเกียรติภูไม่อันยิ่งใหญ่ให้ต้าฉินนับแต่สมัยไท่จู่พวกเขายังสรรเสริญ จักรพรรดิเหวินจง ว่าเป็นผู้สร้างยุคทองแห่งวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองยาวนานถึงสามสิบปีแต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ระหว่างอู่จงกับเหวินจง ยังมีจักรพรรดิ จิ่งเหรินจง ซึ่งในปีแรกที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ต้องเผชิญกับคลังหลวงที่ว่างเปล่าเพราะสงครามยาวนาน และราษฎรที่ยากจนถึงขีดสุดประเทศที่เต็มไปด้วยทหาร ผู้คนชินชากับการรบพุ่ง และราชสำนักที่ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งสงครามจนเกินพอดี""จิ่งเหรินจง ครองราชย์ได้สิบห้าปี ตลอดเวลานี้ พระองค์ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูชีวิตราษฎร และสะสางปัญหาที่ อู่จงฮ่องเต้ ทิ้งไว้ให้ แต่ยังทำให้คลังหลวงมีเงินสะสมกว่า สามหมื่นล้านตำลึงเงิน ก่อนส่งราชบัลลังก์ต่อให้เหวินจงฮ่องเต้ ด้วยรากฐานที่มั่นคงเช่นนี้ การสร้างยุคทองทางวัฒนธรรมของเหวินจงจึงไม่ใช่เรื่องยาก""กล่าวได้ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของความสำเร็จแห่งยุค ต้องยกให้แก่ จิ่งเหรินจง"หลี่เฉินฟังจบก็เห็นพ้องต้องกันแท้จริงแล้ว ฮ่องเต้ที่ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลัง หลายพระองค์ไม่ได้สร้างความสำเร็จด้วยพระองค์เองทั้งหมดตั
ภายในศาลบูรพกษัตริย์ พื้นที่กว้างขวางโอ่อ่าทอดยาวขึ้นสู่เพดานสูงลิ่ว ด้านหน้ามุขหลักคือกำแพงทั้งผืนที่เรียงรายด้วยพระบรมสาทิสลักษณ์ของเหล่าฮ่องเต้แห่งต้าฉินในอดีตตรงกลางส่วนบนสุด โดดเด่นที่สุด คือภาพวาดและป้ายวิญญาณของปฐมจักรพรรดิต้าฉิน—ไท่จู่ถัดลงมา คือฮ่องเต้รุ่นต่อมา เช่น ไท่จง ซื่อจง เกาจง ไล่เรียงลงมาเป็นลำดับตามสายโลหิตแล้ว คนเหล่านี้ก็คือบรรพชนของร่างกายที่หลี่เฉินสวมอยู่ในตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ภายในศาลบูรพกษัตริย์ กลับยังมีชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ปลายผมเริ่มแซมขาว แต่ร่างกายยังดูแข็งแกร่งกำยำ กำลังปัดกวาดพื้นอยู่เมื่อสายตาหลี่เฉินสบกับเขา อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาเช่นกันทั้งสองไม่รู้จักกันมาก่อนแต่การที่พบกันในสถานที่แห่งนี้ ย่อมทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในตัวตนของอีกฝ่าย“ท่านเป็นใคร?” หลี่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนชายคนนั้นวางไม้กวาดลง ก่อนตอบเรียบๆ “เพียงราษฎรแห่งต้าฉินเท่านั้น”หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “ต้าฉินมีราษฎรเป็นล้านๆ คน แต่ผู้ที่เข้ามาที่นี่ได้ มีเพียงหยิบมือเดียว”“ก็จริง”ชายคนนั้นพยักหน้า ก่อนแ
เหล่าแม่ทัพทำงานให้ราชสำนักจนสุดกำลัง แต่สุดท้ายกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือ ครอบครัวของพวกเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เช่นนี้แล้วใครเล่าจะยอมรับได้?ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งแม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านเย่ว์หยานั้นมีหน้าที่และอำนาจสำคัญยิ่ง หากข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกไป และตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือปั่นป่วนเบื้องหลัง ย่อมอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงดังนั้น เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในความลับที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิต้าฉิน ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรทว่า ความลับเช่นนี้ ไฉนต้าสิงฮ่องเต้จึงบอกกับซูเจิ้นถิงไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน?พระองค์ทรงคาดการณ์แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน พระองค์ก็ได้ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างของจ้าวเสวียนจีแล้ว?ข่าวที่มาถึงอย่างกะทันหัน ทำให้ความคิดของหลี่เฉินสับสนในทันทีเขารู้สึกอย่างประหลาด ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ล้วนดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การเตรียมการของเสด็จพ่อผู้ที่นอนอ่อนแรงอยู่บนพระแท่นบรรทมอำนาจของหน่วยบูรพา พันธไมตรีทางการเมืองของตระกูลซู แม้กระทั่งความลับท