คำพูดของหลี่เฉินไพเราะมาก ไม่เพียงแต่จะแสดงสถานะของต้าฉิน แต่ยังให้หน้าเสียนเฉาอีกด้วย ช่วยให้เสียนเฉาไม่ต้องกระอักกระอ่วนจนเกินไป ส่วนการเปรียบเทียบทะเลกับลำธาร อาทิตย์และจันทรา ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่แล้ว เสียนเฉาสถาปนาเป็นอาณาจักรได้ก็เพราะมีต้าฉินคอยหนุน ยิ่งไม่ต้องพูดระบบสังคม ทหาร และวัฒนธรรมในเสียนเฉา ที่แทบจะลอกระบบของต้าฉินมาทั้งหมด การที่ต้าฉินเป็นผู้นำและเป็นประเทศที่เหนือกว่านั้น นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วในสายตาของชาวเสียนเฉา เมื่อหลี่เฉินพูดจบ ก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มก่อน จากนั้นขุนนางต้าฉินและคณะทูต ก็พากันยกจอกสุราบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมา แล้วหันไปคารวะทางหลี่เฉิน พร้อมเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันว่า “กระหม่อม...จดจำคำสอนของฝ่าบาท” ตามมารยาททางการทูตของต้าฉิน จบคำกล่าวเปิดงาน ดื่มจอกแรกเสร็จ งานเลี้ยงก็เข้าสู่ช่วงถัดไปที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่า ตราบใดที่หลี่เฉินซึ่งอยู่ด้านบนไม่พูด คนด้านล่างก็สามารถดื่มคารวะกันเองได้อย่างผ่อนคลาย แน่นอนว่า สุราจอกแรกจำเป็นต้องดื่มคารวะหลี่เฉินก่อน หลี่เฉินจะดื่มหรือไม่ดื่มก็ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล
การแนะนำของจินเสวี่ยยวนเล่าออกมาอย่างไพเราะดุจเสียงธารใส “เพื่อรักษารากทั้งหมดของโสมนี้ให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่สร้างความเสียหายเลย เราจึงทำให้ยอดเขาทั้งลูกแบนราบลงหกชุ่น[footnoteRef:1] เนื่องจากภูเขาสูงเกินไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะขนส่งอุปกรณ์ด้วยล่อและม้า และเกือบทั้งหมดต้องยกอุปกรณ์ขึ้นไหล่ของคนงาน จากนั้นก็ใช้พลั่วแงะเปิดดินทีละน้อย จนในที่สุดก็สามารถเอาโสมหายากนี้ออกมาได้ จากการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และอาวุโสที่สุดในเสียนเฉา โสมนี้มีอายุมากกว่า 280 ปี และมีคุณสมบัติทางยามากกว่าโสมอายุร้อยปีทั่วไปถึงสามเท่า โสมอายุร้อยปีก็เป็นสมบัติที่หายากอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้ หายากยิ่งกว่านั้นอีก” [1: 1 ชุ่น = 1.312] จินเสวี่ยยวนประคองกล่องไม้ด้วยสองมือแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ “โสมนี้ ขอถวายแด่ต้าฉิน ขอให้ต้าฉินเจริญรุ่งเรืองตลอดไป” หลี่เฉินรู้สึกพอใจกับโสมหายากนี้เช่นกัน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ยอดเยี่ยม” “เวลานี้เสด็จพ่อยังทรงประชวรอยู่ โสมนี้สามารถให้หมอหลวงนำไปใช้รักษาเสด็จพ่อได้ องค์หญิงจินช่างใส่ใจ” กล่าวจบ หลี่เฉินก็โบกมือ จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามารับโสมไปอย่
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท!” ตอนนี้เองซูเจิ้นถิงก็ประสานมือขึ้นกล่าว หลี่เฉินมองซูเจิ้นถิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เหตุใดท่านแม่ทัพซูจึงมีความสุข?”ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไท่จูเป็นยอดบุรุษเมื่อสามร้อยปีก่อน สติปัญญาและความกล้าหาญของเขา ไม่มีใครในประวัติศาสตร์หัวเซี่ยกว่าพันปีสามารถเทียบเคียงได้ ตอนนี้กระบี่ของไท่จูได้ปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง และกลับมาอยู่ในมือขององค์รัชทายาท จะเห็นได้ว่าไท่จูทรงปกปักษ์คุ้มครององค์รัชทายาท นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เหล่าขุนนางจะเจริญรุ่งเรือง ความรุ่งโรจน์กำลังจะกลับมาอีกครั้ง และจะยิ่งใหญ่กว่าเดิม!” ฟังสิๆ อะไรที่เรียกว่าเยินยอ? นี่สิคือการเยินยอที่แท้จริงช่างเป็นทักษะประจบประแจงขั้นสูง จนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง แม้แต่หลี่เฉินก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุขหลังจากที่ได้ยินมัน ไม่มีข้าราชบริพารคนใดที่โง่เขลา พวกเขาไม่สามารถประจบได้ก่อนเป็นคนแรก อีกทั้งไม่มีใครกล้าแข่งกับซูเจิ้นถิง แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดพวกเขาจากการเติมดอกไม้ แต่ละคนต่างก็ยกมือขึ้น และพูดเสียงดังว่า “ขอแสดงความยินดีกั
ไห่ตงชิงตัวนี้ เมื่อเทียบกับโสมก่อนหน้านี้ หรือโดยเฉพาะต้าเหลียงหลงเชวี่ยแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแต่สำหรับหลี่เฉินแล้ว มันเหมาะกับเขาที่สุด ความสุขนั้นเกินคำบรรยาย หลี่เฉินยกมือขึ้น จากนั้นก็มีองค์รักษ์เดินเข้ามารับกรงจากในมือของจินเสวี่ยยวน แต่ทว่า เมื่อไห่ตงชิงเห็นคนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาของมันก็ระเบิดความดุร้ายออกมา กางปีกออกเล็กน้อย อยู่ในท่าเตรียมพร้อมจู่โจม จินเสวี่ยยวนกล่าวว่า “นกตัวนี้มีจิตวิญญาณ หากคนทั่วไปเดินเข้ามาใกล้ มันก็จะโจมตีทันที หม่อมฉันจำเป็นต้องถวายมันให้กับฝ่าบาทด้วยตัวเอง” ขุนนางบางคนขมวดคิ้วและพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น หากมันทำร้ายฝ่าบาทขึ้นมาจะทำเช่นไร?” จินเสวี่ยยวนส่ายหน้า “ในเมื่อมีจิตวิญญาณ มันย่อมรู้ว่าฝ่าบาทคือเจ้าของของมันในอนาคต เมื่อมันยอมรับเป็นเจ้าของ มันก็จะจำเจ้าของไปตลอดชีวิต” ในขณะที่พูด จินเสวี่ยยวนก็เดินมาที่หน้าโต๊ะของหลี่เฉิน หลี่เฉินลังเลเล็กน้อย เมื่อมองอย่างใกล้ชิดก็จะเห็นกรงเล็บและจงอยปากที่แหลมคมของไห่ตงชิง ซึ่งคมกว่าดาบหรือกระบี่ ดวงตาที่ดุร้ายของมันกำลังจ้องมองมาที่ตน ทำเป็นเล่นไปกรงเล็บนี่ส
ภายในพระที่นั่งคังไท่เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดถึงหัวข้อประเภทนี้ บางคนถึงกับกลั้นเสียงลมหายใจของตัวเอง เพราะเกรงว่าจะดึงดูดความสนใจขององค์รัชทายาท ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่หลี่เฉิน ประโยคต่อไปของหลี่เฉิน ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ มันก็จะส่งผลโดยตรงต่อการอยู่รอดของเสียนเฉา แต่หลี่เฉินกลับไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขาหันไปถามซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” นี่คือบทละครที่ทั้งสองคนได้เตรียมไว้ล่วงหน้าซูเจิ้นถิงไม่ได้ตื่นตระหนก เขากำหมัดแล้วพูดว่า “กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะที่จะเห็นด้วยกับคำขอของเสียนเฉา”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา คณะทูตเสียนเฉาแต่ละคนก็เงยหน้าขึ้นมองซูเจิ้นถิง สายตาของพวกเขาแทบจะพ่นไฟออกมา และอยากจะฆ่าซูเจิ้นถิงให้ตาย แต่ซูเจิ้นถิงกลับไม่สะทกสะท้าน เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “สถานการณ์ในประเทศตอนนี้ยังไม่ดีนัก ก่อนหน้านี้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ต่อมาพวกชาวซยงหนูก็พร้อมเคลื่อนทัพสู่ชายแดน สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะดูเหมือนสงบ แต่จริงๆ แล้ว การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็อาจส่งผลต่อทั้งร่างกาย!” “ความ
“ข้าคิดมาตลอดว่านั่นเป็นเพียงตำนาน ปีนั้นปู่ทวดของข้าได้เข้าร่วมกลุ่มค้นหาสมบัติของจักรพรรดิองค์ก่อน หลังจากเสียเวลาและเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ ก็ไม่พบอะไรเลย ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง?” “เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นเรื่องโกหก?” “เหลวไหล ต้าเหลียงหลงเชวี่ยเล่มนี้ ทั่วทั้งใต้หล้ามีอยู่แค่เล่มเดียว ใครสามารถปลอมแปลงมันได้บ้าง? ใครจะกล้าปลอมแปลงมันขึ้นมา?” “แน่นอนว่าต้าเหลียงหลงเชวี่ยเป็นกระบี่ของไท่จู ถ้าหากกล้าปลอมแปลงขึ้นมา ย่อมมีความผิดฐานก่อความไม่สงบ!” ความคิดเห็นต่างๆ นาๆ ได้แพร่กระจายไปทั่วกลุ่มข้าราชบริพารของต้าฉินอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน ทั้งแววตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “ฝ่าบาท!” สวีฉังชิงลุกขึ้นยืน ในฐานะคนกลุ่มแรกๆ ที่ติดตามหลี่เฉิน ไม่ว่าจะตำแหน่งหรือความสามารถ สวีฉังชิงล้วนมีคุณสมบัติที่จะพูดเป็นคนแรกตอนนี้ “เรื่องสมบัติไท่จูเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมคิดว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวัง หากเป็นเรื่องจริง ก็ไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเพื่อนำสมบัติกลับคืนมา แต่ถ้าหากมีใครจงใจใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างความสับสนให้กับสาธารณชนเพื่อบร
ตอนนี้อำนาจขององค์รัชทายาทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ไร้อำนาจที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสำนักราชเลขาอีกต่อไป พระราชโองการขององค์จักรพรรดิที่แต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำให้อำนาจในมือขององค์รัชทายาทยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนที่ปรากฏตัวที่นี่คืนนี้ มีไม่น้อยที่อยากจะเข้าร่วมกับองค์รัชทายาทล่วงหน้า เพื่อรับผลประโยชน์หลังจากมังกรทะยานฟ้า ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากที่พยายามอย่างหนักเพื่อคาดเดาความคิดขององค์รัชทายาท และปรับตัวให้เหมาะสมกับความชอบของเขา ถ้าเดาถูก ก็จะได้รับความชื่นชมจากองค์รัชทายาท แต่ถ้าหากเดาผิด ก็อาจจะประสบกับปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เป็นคนของท่านราชเลขา ที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือ พวกเขาจะทำอย่างไรให้ท่านราชเลขาได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากเหตุการณ์นี้ ในขณะเดียวกันก็สร้างความเสียหายให้กับอำนาจขององค์รัชทายาท ส่วนคณะทูตเสียนเฉายิ่งสนใจการกินดื่มน้อยลงด้วยซ้ำ พวกเขากำลังคาดเดาความคิดขององค์รัชทายาท แม้กระทั่งอธิษฐานขอให้ราชสำนักต้าฉินตกลงที่จะส่งกองทัพออกมา ซึ่งนี่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจสู
ในขณะนี้ รถม้าได้เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าแล้ว รถม้าที่โยกเล็กน้อย ทำให้หลี่เฉินและจินเสวี่ยยวนซึ่งนอนทับกันในรถม้ารู้สึกได้ถึงการกระตุ้นประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยม ในที่สุดหลี่เฉินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนจำนวนมากถึงได้ชอบสวมเครื่องแบบ การแต่งกายของจินเสวี่ยยวนในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกว่าปกติจริงๆ เมื่อเห็นว่ามือเท้าของหลี่เฉินเริ่มไม่ซื่อสัตย์ จินเสวี่ยยวนก็โกรธจัด นางจับมือของหลี่เฉินแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้!” ทั้งดวงตาและน้ำเสียงก็ดูหนักแน่น และการปฏิเสธครั้งนี้ก็เด็ดขาดกว่าครั้งก่อนๆ “ทำไม?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนโกรธจัด นางรู้สึกว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้ ชายผู้นี้จะเป็นคนธรรมดาหรือว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน คนๆ นี้ล้วนหน้าด้านไร้ยางอายอยู่ดี ยังจะกล้าถามอีกว่าทำไม? “เจ้าคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ส่วนข้าคือองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ไม่ก็คือไม่! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะเกิดปัญหาใหญ่เอาได้!” จินเสวี่ยยวนกล่าว หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และถามว่า “เรื่องนี้จะแพร่ออกไปได้อย่างไร?” จินเสวี่ยยวนตกตะลึง และรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย “ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่สายลมเข