เป้าหมายของจินเสวี่ยยวนและเสียนเฉาทั้งหมดมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการทำให้หลี่เฉินใช้อำนาจขององค์รัชทายาทผลักดันข้อสรุปเรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา แต่ปัญหาก็คือ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของต้าฉินในปัจจุบันแล้ว หลี่เฉินจะต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อบังคับส่งทหารออกไป แต่จินเสวี่ยยวนไม่ได้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ นางแค่ต้องการให้ทหารจากต้าฉินเข้าสู่ดินแดนของตัวเอง เพื่อต่อสู้กับตงอิ๋งและกอบกู้ประเทศของนางมันไม่เกี่ยวว่าดีหรือแย่ มันก็แค่สัญชาตญาณเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลังจากทะลุมิติมาแล้ว หลี่เฉินก็ไม่อยากทำตัวเป็นสุนัขเลีย[footnoteRef:1]ผู้หญิงคนไหนอีก [1: เลีย อุปมาว่าประจบสอพลอ ตามเอาอกเอาใจ] ไม่ว่าจะสวยแค่ไหนก็ตาม ถ้าจะเลีย เขาจะต้องเป็นคนที่ถูกเลียเอง คำพูดของหลี่เฉินสมจริงมากจนแทบจะไร้ความปรานี ทำให้จินเสวี่ยยวนที่ต้องการจะหักล้างคำพูด แต่เมื่อความจริงมาวางไว้ตรงหน้า นางก็รู้ตัวว่าไม่ได้คิดจริงๆ ว่าหลี่เฉินจะต้องจ่ายเท่าไรเพื่อสนองความปรารถนาของนาง ดังนั้นความมั่นใจของจินเสวี่ยยวนจึงลดลง “แต่เรื่องแบบนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อชายและหญ
“องค์หญิง...” ขุนนางเสียนเฉาที่มีเคราแพะกำลังจะพูด แต่จินเสวี่ยยวนก้มศีรษะลงและไม่มองฝูงชน นางพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเผลองีบหลับไป รบกวนทุกท่านรอนานแล้ว” พูดจบ จินเสวี่ยยวนก็เหยียบลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กแล้วลงจากรถม้า เพียงแต่ร่างกายของจินเสวี่ยยวนดูเหมือนจะอ่อนแอมาก จู่ๆ ขาของนางก็เกิดอ่อนแรงขึ้นมา จนเกือบจะล้มคว่ำ โชคดีที่สาวใช้ส่วนตัวของจินเสวี่ยยวนหูตาว่องไว จึงประคองนางได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสาวใช้สัมผัสตัวก็รู้สึกว่าพระวรกายขององค์หญิงร้อนผ่าว และใบหน้าอันสวยงามที่หลบเลี่ยงสายตาของทุกคน ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงระเรื่อและเหงื่อเล็กๆ นี่มันคนเพิ่งตื่นที่ไหนกัน มันเหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จมากกว่า แต่สาวใช้คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า องค์หญิงจะสามารถออกกำลังแบบไหนในรถม้าได้? “องค์หญิง พระองค์สบายดีหรือไม่?” สาวใช้ถามอย่างกังวล “สะ สบายดี” เพียงจินเสวี่ยยวนเปิดปากพูด สาวใช้ที่เติบโตมาข้างกายจินเสวี่ยยวนก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียงนี้นุ่มนิ่มเกินไป...นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่ได้ฟังก็ยังรู้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้าง “กลับไปกันเถอะ” จินเสวี่ยย
“ค่อนข้างน่าสนใจ” หลี่เฉินรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “พูดมา เจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าสังหารเจ้า และทำไมเจ้าถึงยอมเสี่ยงขนาดนี้?”ก่อนที่โจวผิงอันจะพูด หลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ามีโอกาสแค่สามประโยคเท่านั้น” โจวผิงอันหยุดชั่วคราว และกลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากลงไป หลังจากนั้นไม่นาน โจวผิงอันก็พูดว่า “ผิงอันมีพี่น้องอยู่สามคน และผิงอันเป็นคนเล็กสุด พี่ใหญ่ทำการค้าในต้าฉิน...ทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ” “ประโยคที่หนึ่ง” หลี่เฉินหรี่ตาลงขณะพูด การค้าเกี่ยวกับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน หากประชาชนแตะต้องสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องตาย ตามกฎหมายของต้าฉิน ผู้ที่ไม่สวมเครื่องแบบราชการ หากพกอาวุธเดินอยู่บนถนนจะถูกโบยสามสิบไม้ หากในบ้านซุกซ่อนชุดเกราะหรืออาวุธเกินสามชิ้น จะถูกลงโทษด้วยข้อหาอาชญากรรมร้ายแรง สถานเบาถูกส่งตัวไปยังชายแดน สถานหนักยึดของกลางและประหารทั้งตระกูล และโจวผิงอันก็เปิดเผยความจริงที่ว่าพี่ชายคนโตของเขาทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ เมื่อกลับไป หลี่เฉินจะส่งหน่วยบูรพาไปตรวจสอบ โจวผิงอันสูดหายใจเข้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “พี่รองทำงานเป็นที่ปรึกษาในจวนอ๋องห
“เจ้าอยากทำอะไร?” หลี่เฉินถาม “ผิงอันเคยกล่าวว่าสำเร็จวิชาบุ๋นบู๊ และขายตัวเองให้กับราชวงศ์ของจักรพรรดิ” โจวผิงอันตอบอีกครั้ง หลี่เฉินหัวเราะและถามว่า “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร” โจวผิงอันตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “สิ่งที่ผิงอันเพิ่งบอกฝ่าบาทไปนั้น คือความจริงใจของผิงอัน ส่วนความสามารถของผิงอันนั้น...ภายในหนึ่งเดือน ผิงอันสามารถปราบกบฏมณฑลซีซานลงได้ โดยไม่เสียเลือดใดๆ” หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค้อมกายคำนับ และไม่พูดอะไร คำสัญญาของโจวผิงอันนั้นยากยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงอาวุธของกลุ่มกบฏในมณฑลซีซาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ของเขาจัดหามาให้ และผู้บงการเบื้องหลังอย่างอ๋องหนิงหรือสายลับที่ซ่อนอยู่อย่างพี่รอง ดูเหมือนเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของหลี่เฉินนั้น การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของโจวผิงอัน ก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่น้อยไปกว่ากบฏในมณฑลซีซานเลย สามพี่น้องนี้ แต่ละคนต่างดำรงตำแหน่งสำคัญในสาขาอาชีพของตน และก้าวไปสู่ระดับที่สูงมาก พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หลี่เฉินไม่พูด ส่วนโจวผิงอันก็รักษาท่าทางโค้งคำนับไว้ไม่เคลื่อนไหว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ร
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ”ฟู่อวี้จือเป็นคนแรกที่พูด เขาลูบเคราแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “องค์รัชทายาทกำลังวางแผนการที่ลึกล้ำบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมบัติไท่จู เขาอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท ก็ต้องอยากนำสมบัติไท่จูกลับคืนมา...หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดเขาได้ และเมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ก็จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาจากการขึ้นครองบัลลังก์ได้ ถึงตอนนั้นแค่โยนคำพูดสองสามคำอย่างไท่จูปกปักษ์ออกไป ยังจะมีใครกล้าปฏิเสธอีก?” “ในความคิดของข้า องค์รัชทายาทจะทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อค้นหาสมบัติไท่จูโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ต้องจ่าย” ตอนนี้เอง จางปี้อู่ก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “และถ้าอยากไปค้นหาสมบัติไท่จูเพื่อนำกลับคืนมา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือส่งทหารไปที่เสียนเฉา เพื่อปราบปรามความโกลาหลในเสียนเฉา” “ดังนั้น เรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา พวกเราจะต้องหยุดมันเอาไว้” คำพูดของฟู่อวี้จือและจางปี้อู่ ทำให้จ้าวเสวียนจีพยักหน้าช้าๆ จากนั้นเขาก็หันไปมองต้วนจิ่นเจียงที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ เมื่อเห็นท่าทางฟุ้งซ่านของฝ่ายหลังจึงพูดว่า “ใต้เท้าต้วน ท่านยังกังวลเกี่ยวกับลูก
หลี่เฉินนั่งอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มองไปที่ซานเป่าแล้วยกจอกชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดว่า “การเดินทางในครั้งนี้ คงจะฆ่าคนไปไม่น้อย กลิ่นเลือดบนตัวเจ้าถึงได้แรงมาก” ซานเป่ารีบกล่าวว่า “ได้ฆ่าขุนนางทรยศไปบางส่วน บ่าวควรจะอาบน้ำชำระล้างกลิ่นสกปรกก่อนจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทำให้พระเนตรของฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน บ่าวสมควรตาย” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เล่ามา สถานการณ์ในมณฑลซีซานทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซานเป่ากล่าวด้วยสายตาที่เฉียบคมว่า “หลังจากที่บ่าวไปถึงมณฑลซีซาน พบว่าสถานการณ์จริงนั้นร้ายแรงกว่านี้มาก” “ไท่หยวน หยางชวี และเซียงติ้ง ทั้งสามอำเภอได้ล่มสลายลงแล้ว และขนาดของกลุ่มกบฏก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หลายคนจึงเข้าร่วมกับพวกเขาทุกวัน ในช่วงเวลานี้ ขนาดของกบฏได้เพิ่มขึ้นจากหลายหมื่นเป็นเกือบ 100,000 คน ตอนที่บ่าวจากมา พวกเขาก็โจมตีต้าถงฟู่ที่อยู่ห่างจากซีซานไปร้อยลี้” “ทุกที่ที่พวกกบฏผ่านไป ขุนนางและทหารต่างก็หวาดกลัวและแทบไม่สามารถต้านทานได้ พวกเขายังโจมตีและสังหารผู้มีอำนาจด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีคติขวัญว่า “แผ่นดินเป็นของประชาชน”
หลังจากส่งซานเป่าออกไปแล้ว หลี่เฉินก็ออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง และกลับไปที่พระที่นั่งร้อยบุปผา เวลานี้จ้าวหรุ่ยกำลังพักผ่อนอยู่ แต่หลังจากที่รู้ว่าองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว นางก็ลุกลงจากเตียงทันที เพื่อปรนนิบัติหลี่เฉินด้วยการถอดชุด “ได้ยินคนด้านล่างบอกว่า วันนี้เจ้าไปพบมารดาของเจ้าอีกแล้วหรือ?” หลี่เฉินถามอย่างสบายๆ จ้าวหรุ่ยพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่เพิ่งมาถึงที่นี่และไม่คุ้นเคยกับทุกอย่างในเมืองหลวง นอกจากนี้ บิดาก็ออกไปชานเมืองเพื่อดูแลผู้ประสบภัย จึงไม่มีคนรู้จักที่สามารถพูดคุยได้ หม่อมฉันจึงออกไปเยี่ยมสักรอบ” หลี่เฉินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในฐานะลูกสาว เจ้าควรมีความกตัญญู คราวหน้าถ้าเจ้าจะออกไปอีกครั้ง ก็ไปเลือกของขวัญในคลังเพื่อนำติดตัวไปด้วย ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากข้า” จ้าวหรุ่ยยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนมารดาเพคะ”“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บิดาของเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าได้รับข่าวสารทุกวันว่า การจัดการค่ายชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัยพิบัตินั้นเป็นไปอย่างมีระเบียบ แม้แต่สวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนก็ยังยกย่องพ่อของเจ้าสำหรับความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา จริงๆ
เกิดความโกลาหลในพระที่นั่งไท่เหอ พวกขุนนางตกใจมากจนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ในพระที่นั่งไท่เหอในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดเริ่มกระซิบกระซาบกัน ในดวงตาฉายแววตกใจและไม่เชื่อ ขุนนางส่วนใหญ่ไม่ทราบรายละเอียดของงานเลี้ยงในตำหนักบูรพาเมื่อคืนนี้ และพวกเขาไม่มีหูเป็นตาที่จะบอกข่าวนี้ ดังนั้น ยกเว้นขุนนางหลักที่แท้จริงบางคน เช่น มหาอำมาตย์สำนักราชเลขาและคนสนิทของหลี่เฉิน ข้าราชบริพารส่วนใหญ่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “กระหม่อมบังอาจถามฝ่าบาทสักประโยค ต้าเหลียงหลงเชวี่ยเป็นกระบี่ของไท่จูในปีนั้นหรือไม่? และมันหายไปพร้อมกับสมบัติของไท่จูมิใช่หรือ?” ในพระที่นั่งไท่เหอ ชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งประสานมือถามขึ้นมาหลี่เฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ชายผู้นี้อายุเจ็ดสิบปีแล้ว เขารับใช้ราชสำนัก และไม่มีอำนาจที่แท้จริงมากนัก แต่ชื่อเสียงของเขาสูงส่งมาก ปกติแล้วเขาจะไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง และอยู่ในกลุ่มที่เป็นกลางซึ่งไม่ได้รุกรานใคร และไม่มีใครกล้าเป็นฝ่ายเริ่มรุกรานเขา หลี่เฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “กระบี่เล่มนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง และไม่มีใครกล้าเลียนแบบมัน ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบ