“องค์หญิง...” ขุนนางเสียนเฉาที่มีเคราแพะกำลังจะพูด แต่จินเสวี่ยยวนก้มศีรษะลงและไม่มองฝูงชน นางพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเผลองีบหลับไป รบกวนทุกท่านรอนานแล้ว” พูดจบ จินเสวี่ยยวนก็เหยียบลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กแล้วลงจากรถม้า เพียงแต่ร่างกายของจินเสวี่ยยวนดูเหมือนจะอ่อนแอมาก จู่ๆ ขาของนางก็เกิดอ่อนแรงขึ้นมา จนเกือบจะล้มคว่ำ โชคดีที่สาวใช้ส่วนตัวของจินเสวี่ยยวนหูตาว่องไว จึงประคองนางได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสาวใช้สัมผัสตัวก็รู้สึกว่าพระวรกายขององค์หญิงร้อนผ่าว และใบหน้าอันสวยงามที่หลบเลี่ยงสายตาของทุกคน ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงระเรื่อและเหงื่อเล็กๆ นี่มันคนเพิ่งตื่นที่ไหนกัน มันเหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จมากกว่า แต่สาวใช้คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า องค์หญิงจะสามารถออกกำลังแบบไหนในรถม้าได้? “องค์หญิง พระองค์สบายดีหรือไม่?” สาวใช้ถามอย่างกังวล “สะ สบายดี” เพียงจินเสวี่ยยวนเปิดปากพูด สาวใช้ที่เติบโตมาข้างกายจินเสวี่ยยวนก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียงนี้นุ่มนิ่มเกินไป...นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่ได้ฟังก็ยังรู้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้าง “กลับไปกันเถอะ” จินเสวี่ยย
“ค่อนข้างน่าสนใจ” หลี่เฉินรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “พูดมา เจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าสังหารเจ้า และทำไมเจ้าถึงยอมเสี่ยงขนาดนี้?”ก่อนที่โจวผิงอันจะพูด หลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ามีโอกาสแค่สามประโยคเท่านั้น” โจวผิงอันหยุดชั่วคราว และกลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากลงไป หลังจากนั้นไม่นาน โจวผิงอันก็พูดว่า “ผิงอันมีพี่น้องอยู่สามคน และผิงอันเป็นคนเล็กสุด พี่ใหญ่ทำการค้าในต้าฉิน...ทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ” “ประโยคที่หนึ่ง” หลี่เฉินหรี่ตาลงขณะพูด การค้าเกี่ยวกับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน หากประชาชนแตะต้องสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องตาย ตามกฎหมายของต้าฉิน ผู้ที่ไม่สวมเครื่องแบบราชการ หากพกอาวุธเดินอยู่บนถนนจะถูกโบยสามสิบไม้ หากในบ้านซุกซ่อนชุดเกราะหรืออาวุธเกินสามชิ้น จะถูกลงโทษด้วยข้อหาอาชญากรรมร้ายแรง สถานเบาถูกส่งตัวไปยังชายแดน สถานหนักยึดของกลางและประหารทั้งตระกูล และโจวผิงอันก็เปิดเผยความจริงที่ว่าพี่ชายคนโตของเขาทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ เมื่อกลับไป หลี่เฉินจะส่งหน่วยบูรพาไปตรวจสอบ โจวผิงอันสูดหายใจเข้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “พี่รองทำงานเป็นที่ปรึกษาในจวนอ๋องห
“เจ้าอยากทำอะไร?” หลี่เฉินถาม “ผิงอันเคยกล่าวว่าสำเร็จวิชาบุ๋นบู๊ และขายตัวเองให้กับราชวงศ์ของจักรพรรดิ” โจวผิงอันตอบอีกครั้ง หลี่เฉินหัวเราะและถามว่า “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร” โจวผิงอันตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “สิ่งที่ผิงอันเพิ่งบอกฝ่าบาทไปนั้น คือความจริงใจของผิงอัน ส่วนความสามารถของผิงอันนั้น...ภายในหนึ่งเดือน ผิงอันสามารถปราบกบฏมณฑลซีซานลงได้ โดยไม่เสียเลือดใดๆ” หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค้อมกายคำนับ และไม่พูดอะไร คำสัญญาของโจวผิงอันนั้นยากยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงอาวุธของกลุ่มกบฏในมณฑลซีซาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ของเขาจัดหามาให้ และผู้บงการเบื้องหลังอย่างอ๋องหนิงหรือสายลับที่ซ่อนอยู่อย่างพี่รอง ดูเหมือนเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของหลี่เฉินนั้น การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของโจวผิงอัน ก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่น้อยไปกว่ากบฏในมณฑลซีซานเลย สามพี่น้องนี้ แต่ละคนต่างดำรงตำแหน่งสำคัญในสาขาอาชีพของตน และก้าวไปสู่ระดับที่สูงมาก พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หลี่เฉินไม่พูด ส่วนโจวผิงอันก็รักษาท่าทางโค้งคำนับไว้ไม่เคลื่อนไหว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ร
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ”ฟู่อวี้จือเป็นคนแรกที่พูด เขาลูบเคราแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “องค์รัชทายาทกำลังวางแผนการที่ลึกล้ำบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมบัติไท่จู เขาอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท ก็ต้องอยากนำสมบัติไท่จูกลับคืนมา...หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดเขาได้ และเมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ก็จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาจากการขึ้นครองบัลลังก์ได้ ถึงตอนนั้นแค่โยนคำพูดสองสามคำอย่างไท่จูปกปักษ์ออกไป ยังจะมีใครกล้าปฏิเสธอีก?” “ในความคิดของข้า องค์รัชทายาทจะทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อค้นหาสมบัติไท่จูโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ต้องจ่าย” ตอนนี้เอง จางปี้อู่ก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “และถ้าอยากไปค้นหาสมบัติไท่จูเพื่อนำกลับคืนมา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือส่งทหารไปที่เสียนเฉา เพื่อปราบปรามความโกลาหลในเสียนเฉา” “ดังนั้น เรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา พวกเราจะต้องหยุดมันเอาไว้” คำพูดของฟู่อวี้จือและจางปี้อู่ ทำให้จ้าวเสวียนจีพยักหน้าช้าๆ จากนั้นเขาก็หันไปมองต้วนจิ่นเจียงที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ เมื่อเห็นท่าทางฟุ้งซ่านของฝ่ายหลังจึงพูดว่า “ใต้เท้าต้วน ท่านยังกังวลเกี่ยวกับลูก
หลี่เฉินนั่งอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มองไปที่ซานเป่าแล้วยกจอกชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดว่า “การเดินทางในครั้งนี้ คงจะฆ่าคนไปไม่น้อย กลิ่นเลือดบนตัวเจ้าถึงได้แรงมาก” ซานเป่ารีบกล่าวว่า “ได้ฆ่าขุนนางทรยศไปบางส่วน บ่าวควรจะอาบน้ำชำระล้างกลิ่นสกปรกก่อนจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทำให้พระเนตรของฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน บ่าวสมควรตาย” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เล่ามา สถานการณ์ในมณฑลซีซานทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซานเป่ากล่าวด้วยสายตาที่เฉียบคมว่า “หลังจากที่บ่าวไปถึงมณฑลซีซาน พบว่าสถานการณ์จริงนั้นร้ายแรงกว่านี้มาก” “ไท่หยวน หยางชวี และเซียงติ้ง ทั้งสามอำเภอได้ล่มสลายลงแล้ว และขนาดของกลุ่มกบฏก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หลายคนจึงเข้าร่วมกับพวกเขาทุกวัน ในช่วงเวลานี้ ขนาดของกบฏได้เพิ่มขึ้นจากหลายหมื่นเป็นเกือบ 100,000 คน ตอนที่บ่าวจากมา พวกเขาก็โจมตีต้าถงฟู่ที่อยู่ห่างจากซีซานไปร้อยลี้” “ทุกที่ที่พวกกบฏผ่านไป ขุนนางและทหารต่างก็หวาดกลัวและแทบไม่สามารถต้านทานได้ พวกเขายังโจมตีและสังหารผู้มีอำนาจด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีคติขวัญว่า “แผ่นดินเป็นของประชาชน”
หลังจากส่งซานเป่าออกไปแล้ว หลี่เฉินก็ออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง และกลับไปที่พระที่นั่งร้อยบุปผา เวลานี้จ้าวหรุ่ยกำลังพักผ่อนอยู่ แต่หลังจากที่รู้ว่าองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว นางก็ลุกลงจากเตียงทันที เพื่อปรนนิบัติหลี่เฉินด้วยการถอดชุด “ได้ยินคนด้านล่างบอกว่า วันนี้เจ้าไปพบมารดาของเจ้าอีกแล้วหรือ?” หลี่เฉินถามอย่างสบายๆ จ้าวหรุ่ยพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่เพิ่งมาถึงที่นี่และไม่คุ้นเคยกับทุกอย่างในเมืองหลวง นอกจากนี้ บิดาก็ออกไปชานเมืองเพื่อดูแลผู้ประสบภัย จึงไม่มีคนรู้จักที่สามารถพูดคุยได้ หม่อมฉันจึงออกไปเยี่ยมสักรอบ” หลี่เฉินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในฐานะลูกสาว เจ้าควรมีความกตัญญู คราวหน้าถ้าเจ้าจะออกไปอีกครั้ง ก็ไปเลือกของขวัญในคลังเพื่อนำติดตัวไปด้วย ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากข้า” จ้าวหรุ่ยยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนมารดาเพคะ”“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บิดาของเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าได้รับข่าวสารทุกวันว่า การจัดการค่ายชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัยพิบัตินั้นเป็นไปอย่างมีระเบียบ แม้แต่สวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนก็ยังยกย่องพ่อของเจ้าสำหรับความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา จริงๆ
เกิดความโกลาหลในพระที่นั่งไท่เหอ พวกขุนนางตกใจมากจนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ในพระที่นั่งไท่เหอในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดเริ่มกระซิบกระซาบกัน ในดวงตาฉายแววตกใจและไม่เชื่อ ขุนนางส่วนใหญ่ไม่ทราบรายละเอียดของงานเลี้ยงในตำหนักบูรพาเมื่อคืนนี้ และพวกเขาไม่มีหูเป็นตาที่จะบอกข่าวนี้ ดังนั้น ยกเว้นขุนนางหลักที่แท้จริงบางคน เช่น มหาอำมาตย์สำนักราชเลขาและคนสนิทของหลี่เฉิน ข้าราชบริพารส่วนใหญ่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “กระหม่อมบังอาจถามฝ่าบาทสักประโยค ต้าเหลียงหลงเชวี่ยเป็นกระบี่ของไท่จูในปีนั้นหรือไม่? และมันหายไปพร้อมกับสมบัติของไท่จูมิใช่หรือ?” ในพระที่นั่งไท่เหอ ชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งประสานมือถามขึ้นมาหลี่เฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ชายผู้นี้อายุเจ็ดสิบปีแล้ว เขารับใช้ราชสำนัก และไม่มีอำนาจที่แท้จริงมากนัก แต่ชื่อเสียงของเขาสูงส่งมาก ปกติแล้วเขาจะไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง และอยู่ในกลุ่มที่เป็นกลางซึ่งไม่ได้รุกรานใคร และไม่มีใครกล้าเป็นฝ่ายเริ่มรุกรานเขา หลี่เฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “กระบี่เล่มนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง และไม่มีใครกล้าเลียนแบบมัน ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบ
สามคำที่เรียบง่ายและเกือบจะหยาบคาย ทำให้พระที่นั่งไท่เหอตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจและก้มศีรษะลง แต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดกลับไปรวมกันที่หูเริ่มแล้ว!ความขัดแย้งระหว่างสำนักราชเลขาและองค์รัชทายาทเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ผลลัพธ์ของความขัดแย้งในครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญ และเกี่ยวข้องกับฝ่ายที่เป็นกลางในราชสำนักที่ยังคงเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ว่าจะวางชิปของตัวเองที่ฝ่ายไหนพวกเขาไม่อาจเป็นแบบหัวหน้าผู้อาวุโสกั๋วจื่อเจี้ยนซึ่งเป็นผู้อาวุโสสามรัชกาลได้ เพราะไม่ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายชนะ หรือสำนักราชเลขาจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้าย ก็ไม่มีใครจะโต้เถียงกับชายชราคนนี้ เพราะมันเสียไม่คุ้มได้ และยังเป็นการล่วงเกินบัณฑิตเป็นจำนวนมากอีกด้วย เนื่องจากพวกเขาอยู่ในราชสำนัก เมื่อลมพายุซัดเข้ามา พวกเขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้หลี่เฉินสบตากับจางปี้อู่และพูดเสียงราบเรียบว่า “ข้าให้เจ้าพูดหรือ?”จู่ๆ หลี่เฉินก็ตวาดเสียงดังว่า “ช่างอวดดีจริงๆ!”“นี่คือพระที่นั่งไท่เหอ เมื่อข้ายืนอยู่ที่นี่ ข้าคือตัวแทนเสด็จพ่อ ใช้อำนาจของจักรพรรดิและอำนาจของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อข้ายังพูดไม่จบ มันถึงตาเจ
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ
มือปืนทั้งสามแถวพอยิงพร้อมกันเสร็จสิ้นรอบหนึ่ง ก็รีบควานเอาสิ่งของกลมดำสนิทสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่คล้องอยู่ข้างกายเจ้าสิ่งนั้นดูแล้วไร้ค่าเสียยิ่งกว่าท่อนไม้ในมือของพวกเขา เป็นของที่ต่อให้ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแลแต่เมื่อมีตัวอย่างของท่อนไม้ที่กลับกลายเป็นปืนปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนของสิ่งนี้“นั่นคือสิ่งใดกัน?”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกไม่สู้ดีถาโถมเข้ามาในใจทันทีก่อนหน้านี้ที่เห็นปืนดินปืน แม้จะทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียขวัญก่อนอื่น ปืนดินปืนนั้นมิใช่ของแปลกใหม่เสียทีเดียว จักรวรรดิต้าฉินในอดีตก็เคยคิดค้นของเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเล็งได้ไม่แม่น แถมยังต้องเสียเวลายัดดินปืนใส่เข้าไป จึงมิได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายหรือพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้คนล้วนเห็นว่าอย่างไรก็ยังสู้ฝึกมือธนูที่มีกำลังแขนมากหน่อยไม่ได้และการที่หลี่เฉินนำปืนดินปืนกลับมาพัฒนาใหม่นั้นก็หาใช่ความลับไม่ ขุนนางมากมายต่างตำหนิเจ้าชายรัชทายาทว่าเอาแต่เล่นจนเสียงาน ริหลงใหลในกลไกแปลกประหลาดซึ่งถือเป็นศาสตร์นอกลู่นอกทางหลี่อิ๋นห
“ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห