“กระหม่อมน้อมรับบทลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”จางปี้อู่ประสานมือตอบหลี่เฉินกวาดสายตาไปทั่วพระที่นั่งไท่เหออันเงียบสงบ โดยเพ่งความสนใจไปที่จ้าวเสวียนจีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสียงเรียบว่า“ข้าได้พิจารณาขอเรียกร้องของเสียนเฉาที่ให้ส่งทหารออกไปอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งมันมีข้อเสียสองประการ”“ประการแรก ตอนนี้ต้าฉินมีภัยพิบัติทางธรรมชาติในประเทศติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะประชาชนหรือราชสำนัก ก็ไม่สามารถแบกรับการทำสงครามระยะไกลได้”“ประการที่สอง ท้องพระคลังของประเทศว่างเปล่า กองทหารม้าทุกแห่งแทบจะไม่สามารถรักษาการจ่ายค่าจ้างของทหารได้ เมื่อทหารเคลื่อนตัว เงินและทองคำนับไม่ถ้วนก็ไหลออกดุจสายน้ำ นอกจากนี้การทำสงครามย่อมมีคนตาย ซึ่งการใช้ลูกชายต้าฉินไปต่อสู้เพื่อประเทศอื่น ก็ดูจะไม่ฉลาดเท่าไหร่”เขาจ้องมองไปที่จางปี้อู่อีกครั้ง และหลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ที่ใต้เท้าจางคัดค้านความคิดนี้ คงเป็นเพราะสองประเด็นนี้สินะ?”จางปี้อู่พูดด้วยสีหน้าแข็งๆ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา คิดทุกอย่างได้ถี่ถ้วน เป็นกระหม่อมที่คิดมากเอง”โดยไม่สนใจคำพูดติดหอกพกกระบองของจางปี้อู่ หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็นว่า “แต่ทุกอย่างม
เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามโดยตรงจากหลี่เฉินผู้หยิ่งผยองและไร้เหตุผล ซึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางการเมืองขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ จางปี้อู่ก็อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเขาเคยจินตนาการถึงวิธีที่องค์รัชทายาทจะดำเนินการนับไม่ถ้วน เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อต้านที่รุนแรงจากสำนักราชเลขา แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะแข็งกร้าวเช่นนี้ในเมื่อไม่สามารถเล่นไปตามกฎของสำนักราชเลขาได้ เช่นนั้นก็ล้มกฎไปซะนี่เป็นวิธีการขององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? ในอดีต แม้องค์จักรพรรดิจะอยู่ในราชสำนัก แต่จางปี้อู่ก็ยังกล้าที่จะแข็งขืนเพราะเขารู้ว่าองค์จักรพรรดิชื่นชอบในการรักษาชื่อเสียงของตัวเอง และเกรงว่าราชสำนักจะไม่มั่นคง จึงเน้นไปที่การประนีประนอมกับสำนักราชเลขาทุกเรื่องสามารถประนีประนอมได้นี่เป็นความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างสำนักราชเลขาและอำนาจของจักรพรรดิแต่องค์รัชทายาทไม่ใช่องค์จักรพรรดิวิธีการของเขานั้นหยาบคายยิ่งกว่าจักรพรรดิไม่รู้กี่เท่า หากองค์จักรพรรดิเป็นปรมาจารย์ด้านการวางแผนและการวางอุบาย เช่นนั้นการกระทำขององค์รัชทายาทก็เหมือนกับเด็กอายุสามขวบแต่น่าเสียดายที่เด็กอายุ
ประโยคนี้เน้นไปที่ประเทศ เพราะเป็นหลี่เฉินที่ยืนกรานว่าจะส่งทหารไปยังเสียนเฉา ซึ่งจะนำความวุ่นวายมาสู่จักรวรรดิ หรือหลี่เฉินจะแสดงตัวเป็นคนหัวร้อน ซึ่งการฆ่าเขาโดยตรงจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อประเทศ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนนั้น ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจนการคุกคามโดยตรงและโหดร้ายเช่นนี้ ลอกเลียนสไตล์ของหลี่เฉินไม่มีเสียงระฆังหรือว่านกหวีด มีเพียงแค่การวางไพ่จะฆ่าหรือถอยไม่มีทางเลือกที่สามจ้าวเสวียนจีพูดเพียงประโยคเดียว ก็โยนทางเลือกที่ยากลำบากมาใส่มือของหลี่เฉิน หากสังหารจ้าวเสวียนจีก็ถือว่าเป็นการทำลายเสถียรภาพของประเทศแต่ถ้าหากถอย บารมีขององค์รัชทายาทก็จะลดลงอย่างมากสุนัขจิ้งจอกเฒ่าก็เป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ หลี่เฉินหรี่ตาและยิ้ม“การทำงานหนักของท่านราชเลขามีส่วนช่วยอย่างมากต่อประเทศ ตัวข้านั้นมองเห็น และเหล่าขุนนางตลอดจนประชาชนล้วนมองเห็น”ต้าเหลียงหลงเชวี่ยค่อยๆ ถอยออกจากบ่าของจ้าวเสวียนจีในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้คงจะจบลงด้วยการล่าถอยขององค์รัชทายาท แม้แต่จ้าวเสวียนจีเองก็คิดเช่นนั้น แต่จู่ๆ หลี่เฉินก็สะบัดข้อมือฝักกระบี่ร่วงลงมากระแทกพื
ตั้งแต่สมัยโบราณ แม่ทัพพิชิตใต้หล้า ส่วนข้าราชการก็ปกครองประเทศเส้นทางเลื่อนตำแหน่งระหว่างแม่ทัพและข้าราชการ ถูกกำหนดแล้วว่ามีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่จะรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่วุ่นวายจะสงบลงเสมอ เมื่อโลกสงบสุขมากขึ้น ก็เป็นเรื่องยากสำหรับท่านแม่ทัพที่จะสร้างคุณูปการและผลงานการรบได้ จุดนี้จะมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้าราชการ ไท่จูผู้ก่อตั้งประเทศมีอำนาจแข็งแกร่งเกินไป หลังจากที่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา กองทัพก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น สามารถสังหารประเทศศัตรูอย่างซยงหนู อาณาจักรเหลียว อาณาจักรจินและประเทศอื่นๆ จนพวกมันกลัวจนตัวสั่น และไม่กล้ารุกรานต้าฉินเป็นเวลากว่าร้อยปี ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมาการคุกคามเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เวลานี้ สายเลือดทหารอันเร่าร้อนขององค์จักรพรรดิรุ่นแรกได้เหี่ยวเฉาลงไปแล้ว และมีแม่ทัพเพียงไม่กี่คนในจักรวรรดิที่สามารถยืนหยัดได้ ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองของเสียงเรียกร้องแห่งสันติภาพ พวกแม่ทัพก็ไม่สามารถบรรลุผลการรบใดๆ ได้ ข้าราชการค่อยๆ ระงับสถานะของพวกเขา ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี แต่ตอนนี้ คำพูดของหลี่เฉินนั้นย่อมโดนใจเหล่าแม่ทัพท
ประชุมราชการเช้าวันนี้ บรรดาขุนนางต่างก็คิดว่าคุ้มค่าแก่การมา มีทั้งข่าวด่วน และละครปลุกใจอันเร่าร้อนเกิดขึ้นทีละอย่าง แต่สถานการณ์นี้รุนแรงมากเสียจน เหล่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่ใช้ชีวิตด้วยการเล่นกลอุบายและวางแผนการต่างๆ ก็ทนไม่ไหว กบฏ! ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ใดก็ตาม เมื่อได้ยินคำคำนี้ก็ต้องพากันขนหัวลุก ยุคแห่งความทุกข์ยากได้สิ้นสุดลงเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว และหลังจากที่ต้าฉินได้สถาปนาอาณาจักรขึ้นมา คำคำนี้ก็ไม่ปรากฏในหูของผู้คนมาหลายปีแล้ว แต่ในพระที่นั่งไท่เหอ พวกเขากลับได้ยินข่าวเรื่องกบฏ และกบฏครั้งนี้ยังมีจำนวนนับหมื่นอีกด้วย ซึ่งสามารถทำลายล้างได้ทั้งมณฑล! เมื่อข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ ทุกคนในราชสำนักไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือนายพลต่างพากันโกรธเคือง สำหรับพวกเขา ศัตรูทางการเมืองก็คือศัตรูทางการเมือง และการต่อสู้ทางการเมืองก็ถือเป็นความขัดแย้งภายใน แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการกบฏเกิดขึ้น นั่นก็หมายความว่ามีบุคคลภายนอกต้องการล้มโต๊ะที่พวกเขากินอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทนไม่ได้อย่างแน่นอน “ยกโทษให้ไม่ได้ พวกโจรชั้นต่ำกล้าที่จะกบฏ!” “ถูกต้อง คนไร้ศีลธรรมเหล่านี้ ข้าพูดมานา
“ท่านราชเลขาเก่งกว่าจริงๆ”หลี่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพื่อเก็บซ่อนไพ่ในมือใบนี้ มณฑลซีซานมีทหารกบฏมากขึ้นเพียงใด ราษฎรผู้บริสุทธิ์ตายไปเท่าไหร่ ขุนนางทหารตายไปเท่าไหร่? ความสำเร็จของผู้หนึ่งมักแลกมาด้วยความเสียสละของผู้คนจำนวนมาก ท่านราชเลขายังไม่ทันทำสำเร็จ ทว่าผู้เสียสละที่มีอยู่บัดนี้ก็มากแล้ว”จ้าวเสวียนจีกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เทียบกับองค์ชายแล้ว น้อยกว่าเล็กน้อย”เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจีใช้คำพูดมาเยาะเย้นตนแล้ว หลี่เฉินพลันหัวเราะแห้ง แล้วไม่สนใจเขาอีกขณะนี้ เถารุ่ยในชุดนักโทษเดินทางมาถึงพระที่นั่งไท่เหอด้วยลักษณะผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าสกปรกมอมแมมภายใต้การคุมตัวขององครักษ์องครักษ์สองคนใช้มือกดบังคับที่หัวไหล่ของเถารุ่ย จากนั้นออกแรง ทำให้เถารุ่ยที่ถูกมัดมือมัดเท้าด้วยล่ามโซ่คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบแม้ว่าพระที่นั่งไท่เหอจะปูด้วยพรมอ่อนนุ่ม แต่ก็ไม่วายที่เถารุ่ยจะเจ็บจนร้องเสียงหลงออกมาขณะนี้ ทุกคนในพระที่นั่งไท่เหอ รวมถึงหลี่เฉินเพิ่งจะได้เห็นหน้าค่าตาของเถารุ่ยอย่างชัดเจนหน้าตาของเขาธรรมดา รูปร่างปานกลาง ดูเห็นได้ทั่วไปมากบางทีห
บางทีเมื่อรู้ว่าจุดจบของตัวเองคือความตายอย่างแน่นอน เถารุ่ยก็ไม่เอาอะไรเลยเขาหันไปมองเจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งหลายในพระที่นั่งไท่เหอ กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ "พวกเจ้าแต่ละคนที่ยังดูดีมีมาด นั่นเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของพวกเจ้า ข้าแค่นำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง พวกเจ้าถามใจตัวเอง ก้มหน้าล้วงกระเป๋าออกดู มีกระเป๋าของใครสะอาดบ้าง”“ราชสำนักแจกจ่ายเงินและอาหารเพื่อบรรเทาสาธารณภัยให้พวกเจ้าไปมากมายแค่ไหนแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็มีข้าราชการกลางกินส่วนใหญ่ ส่วนท้องถิ่นกินส่วนน้อย เมื่อแจกจ่ายถึงมือประชาชน ถ้าได้รับเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเจ้าเมืองมีจิตสำนึกที่ดีมากแล้ว”“บังอาจ! บังอาจยิ่งนัก!”รองผู้ตรวจการฝ่ายขวาถานปิ่งจือที่เคยถูกต่อว่ามาก่อนโกรธจัดจนเคราสั่น พูดกับหลี่เฉินว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คนวิกลจริตผู้นี้เสียสติไปแล้ว ได้โปรดประหารเขาทันที เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น!"“เจ้าร้อนตัวอะไร” หลี่เฉินถามอย่างเฉยเมยถานปิ่งจือมือชาทันที“องค์รัชทายาท กระหม่อม กระหม่อมมิได้ร้อนตัว องค์รัชทายาทต้องไม่ฟังคำพูดข้างเดียวของคนบ้าคนนี้!” ถานปิ่งจือแก้ตัวเสียงดัง“คำพูดเพียงฝ่ายเดียว ข้าย่อมไม่เชื่ออยู่แ
“ท่านราชเลขาจ้าว เถารุ่ยบอกว่ารายงานของเขา ส่งมอบให้สำนักราชเลขาเมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องนี้ ท่านราชเลขาไม่รู้เรื่องเลยหรือ”หลี่เฉินมองไปที่จ้าวเสวียนจี และถามอย่างสงบจ้าวเสวียนจียังมีสีหน้านิ่งๆในขณะนี้ เขายังคงผมเผ้ายุ่งเหยิงดูสะบักสะบอม แต่หลังจากประสบกับความตื่นตระหนกชั่วครู่ในใจ ตอนนี้เขากลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด“เรื่องนี้ ทางสำนักราชเลขาไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเสวียนจีกล่าวปฏิเสธเหมือนเป็นเรื่องปกติไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามยอมรับเรื่องนี้โดยเด็ดขาดมีความเกี่ยวข้องมากเกินไปมากจนจ้าวเสวียนจีไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบในเวลานี้ฟู่อวี้จือประกบมือคำนับ แล้วพูดว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้เถารุ่ยก็เหมือนกับสุนัขบ้า เมื่อคว้าโอกาสได้ก็จะกัดคน ได้รายงานจริงหรือไม่นั้น มีเพียงคำพูดเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีรายงานจริง ทว่าสถานการณ์ในมณฑลซีซานนั้นวุ่นวาย อาจมีข้อผิดพลาดระหว่างการขนส่ง ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายและการหลงลืม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จึงไม่น่าแปลกใจ"“เหตุใดรายงานทั้งหมดจากทั่วหล้า จึงถูกส่งมายังเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้ แต่รายงานที่ส
คำกล่าวของฟู่อวี้จือราวกับเป็นเข็มกระตุ้นหัวใจให้กับบรรยากาศอันตึงเครียดในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางทุกคนต่างสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองฟู่อวี้จือ“เงินเดือนขุนนาง ค่าใช้จ่ายของราชสำนัก ค่าจ้างทหาร ตลอดจนการบรรเทาภัยพิบัติ ล้วนมีระเบียบและกฎเกณฑ์ คลังหลวงเก็บภาษีได้ในแต่ละปี แม้ไม่เพียงพอสำหรับทุกค่าใช้จ่าย แต่ก็สามารถจ่ายได้บางส่วน องค์รัชทายาทจะมาใช้เล่ห์กลปั่นหัวผู้คนและบิดเบือนความจริงได้อย่างไร?”คำพูดเพิ่งจบลง ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมากลางคัน“ใต้เท้าฟู่ คำกล่าวนี้ผิดถนัดแล้ว”ประโยคเปิดหัวคล้ายกัน แต่เปลี่ยนผู้พูดไปเป็นสวีฉังชิงเขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนกล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างนั้นแน่นอนว่าต้องใช้เงินจากคลังหลวง แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธคือคลังหลวงขาดแคลนมาหลายปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ปีที่แล้วเกิดภัยพิบัติ ฝ่าบาททรงเมตตาต่อราษฎร จึงยกเว้นภาษีในหลายพื้นที่ นั่นจึงทำให้ไม่เพียงแต่รายได้จากภาษีลดลง แต่คลังหลวงยังต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ รายรับกับรายจ่ายที่สวนทางกันเช่นนี้ ใต้เท้าฟู่คิดว่าช่องว่างมันมากเพียงใดกัน?”“ปีที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะองค์รัชท
"ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ทำสิ่งใด จะใช้ส่วนตัวหรือเติมเต็มคลังหลวงก็ตาม แต่ความจริงก็คือองค์รัชทายาทได้เป็นตัวอย่างที่เลวร้ายไปแล้ว หากในอนาคตขุนนางคนอื่นมีงานมงคลหรือไว้ทุกข์ พวกเขาก็สามารถรับของขวัญเป็นจำนวนมากเช่นนี้ได้กระนั้นหรือ? เช่นนี้ไม่ใช่การส่งเสริมลมร้ายและอธรรมดอกหรือ?"คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ดังก้องไปทั่วพระที่นั่งในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม เป็นแบบอย่างของขุนนางที่ซื่อสัตย์และสุจริตจนกระทั่งหลี่เฉินจ้องมองเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า "ดีมาก จ้าวอ๋อง ในที่สุดก็กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา""ในราชสำนัก คงมีอีกหลายคนที่คิดเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่?"สายตาของหลี่เฉินกวาดไปทั่วหมู่ขุนนางในพระที่นั่งไท่เหอก่อนเอ่ยอย่างเยือกเย็น "ผู้ใดคิดเช่นเดียวกับจ้าวอ๋อง ก้าวออกมาให้ข้าเห็นหน่อยสิ"ทั่วทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบงันจ้าวอ๋อง เป็นผู้ที่ออกตัวขัดแย้งกับองค์รัชทายาทโดยตรง แต่ผู้ใดที่มีสมองย่อมไม่กล้าออกมาสนับสนุนเขา โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่เช่นนี้ การเลือกข้างผิดพลาด อาจหมายถึงชีวิตขุนนางที่สามารถก้าวเข้ามาในพระที่นั่งไท่เหอ และมีสิทธิ์ร่วมต
ราชโองการสำนึกผิด!ราชโองการสำนึกผิด หมายถึงราชโองการที่ใช้แถลงถึงความผิดและบาปกรรมของตนเองพูดให้ชัดเจนก็คือ หนังสือสารภาพผิดหรือคำสารภาพผิดระดับสูงสุดแต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อเป็นราชโองการ ก็ต้องเป็นฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งนี้ได้และฮ่องเต้ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของราชสำนักในยุคศักดินา ครองแผ่นดินเป็นของตระกูล เป็นเจ้าเหนือหัวของไพร่ฟ้าทั้งปวง เขาจะทำผิดได้อย่างไร?ฮ่องเต้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนให้เป็นผู้ถูกต้องตลอดเวลา ไม่มีวันทำผิด และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาลหากภาพลักษณ์นี้พังทลาย ฮ่องเต้ก็จะมีอีกสมญานามหนึ่งว่า ฮ่องเต้โง่เขลาและหากมีการออกราชโองการสำนึกผิด นั่นหมายถึง ฮ่องเต้ได้ยอมรับด้วยตนเองว่าเป็น ฮ่องเต้โง่เขลาดังนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหวาเซี่ย ฮ่องเต้ที่เคยออกราชโองการสำนึกผิด มีอยู่เพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นและพวกเขาแทบทั้งหมดออกคำสั่งนี้ในสถานการณ์เดียวกันเมื่อแคว้นของตนกำลังเผชิญปัญหาภายในและภายนอกจนใกล้ล่มสลายในช่วงเวลานี้ เพื่อเรียกความศรัทธาจากไพร่ฟ้า และเพื่อรวมพลังจากเหล่าขุนนางและแม่ทัพ ฮ่องเต้ จะออกราชโองการสำนึกผิดเน
คำพูดนี้ ต้าสิงฮ่องเต้ที่อยู่ในอาการหนัก ราวกับได้ยินพระองคทรงขยับปลายนิ้วเบาๆ ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้หากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครเห็นหลี่เฉินนั่งตัวตรง มองต้าสิงฮ่องเต้ลึกซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกจากตำหนักเฉียนชิงวันรุ่งขึ้น ราชสำนักเปิดประชุมเช้าตามปกติหลี่เฉินยืนอยู่บนแท่นพระที่นั่ง เคียงข้างบัลลังก์มังกร สายตากวาดมองหมู่ขุนนางที่ยืนเรียงรายด้านล่าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เหล่าขุนนาง หากมีเรื่องให้กราบทูล ก็กล่าวมา หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุม"แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องสายตาของหลี่เฉินแวบมองไปยัง หลี่อิ๋นหู่ โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น เขารู้ว่า นี่คือการโจมตีระลอกแรกของจ้าวเสวียนจีที่ผ่านมาในการประชุมเช้า หากเขาไม่อนุญาต หลี่อิ๋นหู่จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแต่วันนี้ เขาไม่ได้เรียกหลี่อิ๋นหู่มา ทว่าหลี่อิ๋นหู่กลับมาเองณ จุดเวลาอันอ่อนไหวเช่นนี้ ความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจมองข้ามเป็นไปตามคาด หลังจากที่หลี่เฉินกล่าวจบ หลี่อิ๋นหู่ก็ก้าวออกมาทันที "กราบทูลองค์รัชทายาท ข้ามีเรื่องจะทูล"มันเริ่มขึ้นแล้วและผู้เปิดฉาก คือหลี่อิ๋นหู่เองหลี่เฉินหรี่ตา
"องค์รัชทายาทช่างเฉลียวฉลาด"ระหว่างทางกลับไป ซูเจิ้นถิงอธิบายเรื่องราวให้หลี่เฉินฟัง"ฝ่าบาททรงวางแผนเรื่องพี่น้องตระกูลอู๋ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าเองก็เพิ่งจะได้รับรู้หลังจากที่ฝ่าบาทประชวรหนัก""ตามคำพูดของฝ่าบาท หากองค์รัชทายาทสามารถใช้ประโยชน์จากสองพี่น้องนี้ได้ ข้าจะต้องนำท่านมาที่ศาลบูรพกษัตริย์ แต่หากไม่สามารถใช้ได้ ก็ให้พวกเขาหายไปตลอดกาล"แม้ซูเจิ้นถิงจะพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่ในถ้อยคำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของการสังหารอันเยือกเย็นหลี่เฉินหน้าถมึงทึง "เจ้ายังปิดบังอะไรข้าอีก?"ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้น แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย "ไม่มีอีกแล้ว เพราะแผนการที่ฝ่าบาททรงวางไว้ จบลงเพียงแค่ตรงนี้ ที่เหลือจากนี้ องค์รัชทายาทต้องเดินต่อไปด้วยตนเอง"หลี่เฉินถอนหายใจเบาๆ "บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเสด็จพ่อของข้า ช่างลึกล้ำเสียจนข้าเหมือนถูกควบคุมทุกย่างก้าว""ไม่ใช่เช่นนั้น"ซูเจิ้นถิงส่ายหน้า สีหน้าจริงจัง "ที่จริงแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทและข้าเคยคาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้น ฝ่าบาทก็ยังไม่มั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นได้ถึงเพียงนี้""ฝ่าบาทถึงกับเตรียมใจไว้สำ
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันใช้โอกาสที่ควบคุมราชสำนัก มีสิทธิ์จัดสรรเสบียงและเงินเดือนของด่านเย่ว์หยา ทำให้สามารถดึงคนบางกลุ่มเข้ามาอยู่ใต้อำนาจของมันได้""แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกตัวเล็กตัวน้อย พวกที่ไม่อาจอยู่รอดในศึกแย่งชิงระหว่างน้องชายข้ากับหนิงอ๋อง จึงเลือกไปพึ่งพาจ้าวเสวียนจี พวกมันไม่น่ากังวล"เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินจ้องมองอู๋ชิงชางก่อนจะถามว่า "หากจ้าวเสวียนจีคิดจะยึดด่านเย่ว์หยา...""มันต้องผ่านน้องชายข้าก่อน"หลี่เฉินพยักหน้า "แล้วเจ้ามั่นใจในตัวน้องชายเจ้าสักกี่ส่วน?"อู๋ชิงชางตอบอย่างสงบนิ่ง "พี่น้องร่วมสายเลือด ย่อมพร้อมตายแทนกันได้"หลี่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย "ข้าเกิดในราชวงศ์ เจ้าย่อมรู้ว่าพี่น้องในราชวงศ์ไม่มีวันเชื่อใจกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเป็นสิบปี ใจคนย่อมเปลี่ยน เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าน้องชายเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ?""แต่เราสองพี่น้องไม่ใช่เชื้อพระวงศ์"อู๋ชิงชางค้อมตัวประสานมือ "เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กต่างรู้ดีถึงความหมายของแผ่นดิน ขอให้องค์รัชทายาทวางพระทัย ด่านเย่ว์หยาจะเป็นของราชสำนัก และจะเป็นขององค์รัชทายาทตลอดไป""ดี"หลี่เฉินกล่าว "ถ้าเช่นนั้
"หากข้าเป็นเพียงคนไร้ความสามารถเล่า?" หลี่เฉินเผลอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว"นั่นก็หมายความว่าราชวงศ์หลี่ควรสิ้นสุด และจักรวรรดิต้าฉินถึงคราวล่มสลาย"คำพูดของอู๋ชิงชางดุจค้อนหนักทุบลงบนหัวใจของหลี่เฉิน ทำให้รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ"ทุกสิ่งทุกอย่าง ฝ่าบาททรงพิจารณาไว้หมดแล้ว""แต่เช่นเดียวกับที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ฟ้าดินและผู้คนล้วนไม่เข้าข้างฝ่าบาท สิ่งที่ฝ่าบาททำได้ ก็คือใช้สิบปีวางหมากเพื่อให้องค์รัชทายาทมีเวลา เพื่อหาหนทางให้จักรวรรดิต้าฉินและราชวงศ์หลี่อยู่รอดต่อไป และองค์รัชทายาทก็คือความหวังเพียงหนึ่งเดียว"หลี่เฉินสูดลมหายใจลึกหากไม่ใช่เพราะตนทะลุไม่ติมาอยู่ร่างนี้ ด้วยพฤติกรรมของเจ้าของร่างเดิม คงเป็นได้แค่เสือลูกสุนัข ความหวังของต้าสิงฮ่องเต้คงมลายหายไป และราชวงศ์หลี่คงถึงคราวสิ้นสุดแต่เมื่อตนมาอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ อาจเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้แล้วจริงๆ หรือ?หากไม่ใช่ เช่นนั้นจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการทะลุไม่ติของตนได้อย่างไร?หัวใจของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายชั่วขณะ"เช่นนั้นพวกเจ้าเอง ก็เป็นคนที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ให้ข้าหรือ?" หลี่เฉินเอ่
"แน่นอน ตอนนี้ยังต้องเพิ่มอีกคน นั่นคือองค์รัชทายาทท่านด้วย"คำพูดของอู๋ชิงชางทำให้สมองของหลี่เฉินหมุนไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันมากมาย และเส้นใยความเกี่ยวข้องเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็เหมือนปลายด้ายที่กระจัดกระจาย แต่จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดเริ่มต้นของเส้นด้ายเหล่านั้น ก็อยู่ในพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้ ที่กำลังบรรทมอยู่ในตำหนักเฉียนชิงใบหน้าของหลี่เฉินไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาแฝงแววสงบนิ่งไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอู๋ชิงชางดูเหมือนไม่สนใจว่าเขาคิดอะไร เขากล่าวต่อไปว่า "เมื่อหลายปีก่อน จ้าวเสวียนจีได้วางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมา กระดานนี้ก็คือให้น้องชายของข้าได้รับพระคุณจากเขา วันหนึ่งในอนาคตต้องตอบแทนบุญคุณนี้ และต้องลบล้างหลักฐานนี้ให้สิ้น""แต่ก่อนหน้านั้น ฝ่าบาทก็ทรงวางหมากกระดานหนึ่งขึ้นมาเช่นกัน กระดานนี้ก็คือให้จ้าวเสวียนจีเป็นผู้วางหมาก"หลี่เฉินมองอู๋ชิงชางก่อนจะกล่าวว่า "ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงบอกว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นคนที่อยู่ลำดับที่สาม"อู๋ชิงชางหัวเราะ "กลอุบายของจักรพรรดิ ฝ่าบาททรงเล่นได้ถึงขีดสุด คนระดับต่ำย่อมเ
ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ