“กระหม่อมน้อมรับบทลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”จางปี้อู่ประสานมือตอบหลี่เฉินกวาดสายตาไปทั่วพระที่นั่งไท่เหออันเงียบสงบ โดยเพ่งความสนใจไปที่จ้าวเสวียนจีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสียงเรียบว่า“ข้าได้พิจารณาขอเรียกร้องของเสียนเฉาที่ให้ส่งทหารออกไปอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งมันมีข้อเสียสองประการ”“ประการแรก ตอนนี้ต้าฉินมีภัยพิบัติทางธรรมชาติในประเทศติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะประชาชนหรือราชสำนัก ก็ไม่สามารถแบกรับการทำสงครามระยะไกลได้”“ประการที่สอง ท้องพระคลังของประเทศว่างเปล่า กองทหารม้าทุกแห่งแทบจะไม่สามารถรักษาการจ่ายค่าจ้างของทหารได้ เมื่อทหารเคลื่อนตัว เงินและทองคำนับไม่ถ้วนก็ไหลออกดุจสายน้ำ นอกจากนี้การทำสงครามย่อมมีคนตาย ซึ่งการใช้ลูกชายต้าฉินไปต่อสู้เพื่อประเทศอื่น ก็ดูจะไม่ฉลาดเท่าไหร่”เขาจ้องมองไปที่จางปี้อู่อีกครั้ง และหลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ที่ใต้เท้าจางคัดค้านความคิดนี้ คงเป็นเพราะสองประเด็นนี้สินะ?”จางปี้อู่พูดด้วยสีหน้าแข็งๆ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา คิดทุกอย่างได้ถี่ถ้วน เป็นกระหม่อมที่คิดมากเอง”โดยไม่สนใจคำพูดติดหอกพกกระบองของจางปี้อู่ หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็นว่า “แต่ทุกอย่างม
เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามโดยตรงจากหลี่เฉินผู้หยิ่งผยองและไร้เหตุผล ซึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางการเมืองขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ จางปี้อู่ก็อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเขาเคยจินตนาการถึงวิธีที่องค์รัชทายาทจะดำเนินการนับไม่ถ้วน เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อต้านที่รุนแรงจากสำนักราชเลขา แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะแข็งกร้าวเช่นนี้ในเมื่อไม่สามารถเล่นไปตามกฎของสำนักราชเลขาได้ เช่นนั้นก็ล้มกฎไปซะนี่เป็นวิธีการขององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? ในอดีต แม้องค์จักรพรรดิจะอยู่ในราชสำนัก แต่จางปี้อู่ก็ยังกล้าที่จะแข็งขืนเพราะเขารู้ว่าองค์จักรพรรดิชื่นชอบในการรักษาชื่อเสียงของตัวเอง และเกรงว่าราชสำนักจะไม่มั่นคง จึงเน้นไปที่การประนีประนอมกับสำนักราชเลขาทุกเรื่องสามารถประนีประนอมได้นี่เป็นความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างสำนักราชเลขาและอำนาจของจักรพรรดิแต่องค์รัชทายาทไม่ใช่องค์จักรพรรดิวิธีการของเขานั้นหยาบคายยิ่งกว่าจักรพรรดิไม่รู้กี่เท่า หากองค์จักรพรรดิเป็นปรมาจารย์ด้านการวางแผนและการวางอุบาย เช่นนั้นการกระทำขององค์รัชทายาทก็เหมือนกับเด็กอายุสามขวบแต่น่าเสียดายที่เด็กอายุ
ประโยคนี้เน้นไปที่ประเทศ เพราะเป็นหลี่เฉินที่ยืนกรานว่าจะส่งทหารไปยังเสียนเฉา ซึ่งจะนำความวุ่นวายมาสู่จักรวรรดิ หรือหลี่เฉินจะแสดงตัวเป็นคนหัวร้อน ซึ่งการฆ่าเขาโดยตรงจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อประเทศ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนนั้น ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจนการคุกคามโดยตรงและโหดร้ายเช่นนี้ ลอกเลียนสไตล์ของหลี่เฉินไม่มีเสียงระฆังหรือว่านกหวีด มีเพียงแค่การวางไพ่จะฆ่าหรือถอยไม่มีทางเลือกที่สามจ้าวเสวียนจีพูดเพียงประโยคเดียว ก็โยนทางเลือกที่ยากลำบากมาใส่มือของหลี่เฉิน หากสังหารจ้าวเสวียนจีก็ถือว่าเป็นการทำลายเสถียรภาพของประเทศแต่ถ้าหากถอย บารมีขององค์รัชทายาทก็จะลดลงอย่างมากสุนัขจิ้งจอกเฒ่าก็เป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ หลี่เฉินหรี่ตาและยิ้ม“การทำงานหนักของท่านราชเลขามีส่วนช่วยอย่างมากต่อประเทศ ตัวข้านั้นมองเห็น และเหล่าขุนนางตลอดจนประชาชนล้วนมองเห็น”ต้าเหลียงหลงเชวี่ยค่อยๆ ถอยออกจากบ่าของจ้าวเสวียนจีในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้คงจะจบลงด้วยการล่าถอยขององค์รัชทายาท แม้แต่จ้าวเสวียนจีเองก็คิดเช่นนั้น แต่จู่ๆ หลี่เฉินก็สะบัดข้อมือฝักกระบี่ร่วงลงมากระแทกพื
ตั้งแต่สมัยโบราณ แม่ทัพพิชิตใต้หล้า ส่วนข้าราชการก็ปกครองประเทศเส้นทางเลื่อนตำแหน่งระหว่างแม่ทัพและข้าราชการ ถูกกำหนดแล้วว่ามีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่จะรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่วุ่นวายจะสงบลงเสมอ เมื่อโลกสงบสุขมากขึ้น ก็เป็นเรื่องยากสำหรับท่านแม่ทัพที่จะสร้างคุณูปการและผลงานการรบได้ จุดนี้จะมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้าราชการ ไท่จูผู้ก่อตั้งประเทศมีอำนาจแข็งแกร่งเกินไป หลังจากที่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา กองทัพก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น สามารถสังหารประเทศศัตรูอย่างซยงหนู อาณาจักรเหลียว อาณาจักรจินและประเทศอื่นๆ จนพวกมันกลัวจนตัวสั่น และไม่กล้ารุกรานต้าฉินเป็นเวลากว่าร้อยปี ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมาการคุกคามเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เวลานี้ สายเลือดทหารอันเร่าร้อนขององค์จักรพรรดิรุ่นแรกได้เหี่ยวเฉาลงไปแล้ว และมีแม่ทัพเพียงไม่กี่คนในจักรวรรดิที่สามารถยืนหยัดได้ ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองของเสียงเรียกร้องแห่งสันติภาพ พวกแม่ทัพก็ไม่สามารถบรรลุผลการรบใดๆ ได้ ข้าราชการค่อยๆ ระงับสถานะของพวกเขา ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี แต่ตอนนี้ คำพูดของหลี่เฉินนั้นย่อมโดนใจเหล่าแม่ทัพท
ประชุมราชการเช้าวันนี้ บรรดาขุนนางต่างก็คิดว่าคุ้มค่าแก่การมา มีทั้งข่าวด่วน และละครปลุกใจอันเร่าร้อนเกิดขึ้นทีละอย่าง แต่สถานการณ์นี้รุนแรงมากเสียจน เหล่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่ใช้ชีวิตด้วยการเล่นกลอุบายและวางแผนการต่างๆ ก็ทนไม่ไหว กบฏ! ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ใดก็ตาม เมื่อได้ยินคำคำนี้ก็ต้องพากันขนหัวลุก ยุคแห่งความทุกข์ยากได้สิ้นสุดลงเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว และหลังจากที่ต้าฉินได้สถาปนาอาณาจักรขึ้นมา คำคำนี้ก็ไม่ปรากฏในหูของผู้คนมาหลายปีแล้ว แต่ในพระที่นั่งไท่เหอ พวกเขากลับได้ยินข่าวเรื่องกบฏ และกบฏครั้งนี้ยังมีจำนวนนับหมื่นอีกด้วย ซึ่งสามารถทำลายล้างได้ทั้งมณฑล! เมื่อข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ ทุกคนในราชสำนักไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือนายพลต่างพากันโกรธเคือง สำหรับพวกเขา ศัตรูทางการเมืองก็คือศัตรูทางการเมือง และการต่อสู้ทางการเมืองก็ถือเป็นความขัดแย้งภายใน แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการกบฏเกิดขึ้น นั่นก็หมายความว่ามีบุคคลภายนอกต้องการล้มโต๊ะที่พวกเขากินอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทนไม่ได้อย่างแน่นอน “ยกโทษให้ไม่ได้ พวกโจรชั้นต่ำกล้าที่จะกบฏ!” “ถูกต้อง คนไร้ศีลธรรมเหล่านี้ ข้าพูดมานา
“ท่านราชเลขาเก่งกว่าจริงๆ”หลี่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพื่อเก็บซ่อนไพ่ในมือใบนี้ มณฑลซีซานมีทหารกบฏมากขึ้นเพียงใด ราษฎรผู้บริสุทธิ์ตายไปเท่าไหร่ ขุนนางทหารตายไปเท่าไหร่? ความสำเร็จของผู้หนึ่งมักแลกมาด้วยความเสียสละของผู้คนจำนวนมาก ท่านราชเลขายังไม่ทันทำสำเร็จ ทว่าผู้เสียสละที่มีอยู่บัดนี้ก็มากแล้ว”จ้าวเสวียนจีกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เทียบกับองค์ชายแล้ว น้อยกว่าเล็กน้อย”เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจีใช้คำพูดมาเยาะเย้นตนแล้ว หลี่เฉินพลันหัวเราะแห้ง แล้วไม่สนใจเขาอีกขณะนี้ เถารุ่ยในชุดนักโทษเดินทางมาถึงพระที่นั่งไท่เหอด้วยลักษณะผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าสกปรกมอมแมมภายใต้การคุมตัวขององครักษ์องครักษ์สองคนใช้มือกดบังคับที่หัวไหล่ของเถารุ่ย จากนั้นออกแรง ทำให้เถารุ่ยที่ถูกมัดมือมัดเท้าด้วยล่ามโซ่คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบแม้ว่าพระที่นั่งไท่เหอจะปูด้วยพรมอ่อนนุ่ม แต่ก็ไม่วายที่เถารุ่ยจะเจ็บจนร้องเสียงหลงออกมาขณะนี้ ทุกคนในพระที่นั่งไท่เหอ รวมถึงหลี่เฉินเพิ่งจะได้เห็นหน้าค่าตาของเถารุ่ยอย่างชัดเจนหน้าตาของเขาธรรมดา รูปร่างปานกลาง ดูเห็นได้ทั่วไปมากบางทีห
บางทีเมื่อรู้ว่าจุดจบของตัวเองคือความตายอย่างแน่นอน เถารุ่ยก็ไม่เอาอะไรเลยเขาหันไปมองเจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งหลายในพระที่นั่งไท่เหอ กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ "พวกเจ้าแต่ละคนที่ยังดูดีมีมาด นั่นเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของพวกเจ้า ข้าแค่นำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง พวกเจ้าถามใจตัวเอง ก้มหน้าล้วงกระเป๋าออกดู มีกระเป๋าของใครสะอาดบ้าง”“ราชสำนักแจกจ่ายเงินและอาหารเพื่อบรรเทาสาธารณภัยให้พวกเจ้าไปมากมายแค่ไหนแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็มีข้าราชการกลางกินส่วนใหญ่ ส่วนท้องถิ่นกินส่วนน้อย เมื่อแจกจ่ายถึงมือประชาชน ถ้าได้รับเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเจ้าเมืองมีจิตสำนึกที่ดีมากแล้ว”“บังอาจ! บังอาจยิ่งนัก!”รองผู้ตรวจการฝ่ายขวาถานปิ่งจือที่เคยถูกต่อว่ามาก่อนโกรธจัดจนเคราสั่น พูดกับหลี่เฉินว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คนวิกลจริตผู้นี้เสียสติไปแล้ว ได้โปรดประหารเขาทันที เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น!"“เจ้าร้อนตัวอะไร” หลี่เฉินถามอย่างเฉยเมยถานปิ่งจือมือชาทันที“องค์รัชทายาท กระหม่อม กระหม่อมมิได้ร้อนตัว องค์รัชทายาทต้องไม่ฟังคำพูดข้างเดียวของคนบ้าคนนี้!” ถานปิ่งจือแก้ตัวเสียงดัง“คำพูดเพียงฝ่ายเดียว ข้าย่อมไม่เชื่ออยู่แ
“ท่านราชเลขาจ้าว เถารุ่ยบอกว่ารายงานของเขา ส่งมอบให้สำนักราชเลขาเมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องนี้ ท่านราชเลขาไม่รู้เรื่องเลยหรือ”หลี่เฉินมองไปที่จ้าวเสวียนจี และถามอย่างสงบจ้าวเสวียนจียังมีสีหน้านิ่งๆในขณะนี้ เขายังคงผมเผ้ายุ่งเหยิงดูสะบักสะบอม แต่หลังจากประสบกับความตื่นตระหนกชั่วครู่ในใจ ตอนนี้เขากลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด“เรื่องนี้ ทางสำนักราชเลขาไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเสวียนจีกล่าวปฏิเสธเหมือนเป็นเรื่องปกติไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามยอมรับเรื่องนี้โดยเด็ดขาดมีความเกี่ยวข้องมากเกินไปมากจนจ้าวเสวียนจีไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบในเวลานี้ฟู่อวี้จือประกบมือคำนับ แล้วพูดว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้เถารุ่ยก็เหมือนกับสุนัขบ้า เมื่อคว้าโอกาสได้ก็จะกัดคน ได้รายงานจริงหรือไม่นั้น มีเพียงคำพูดเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีรายงานจริง ทว่าสถานการณ์ในมณฑลซีซานนั้นวุ่นวาย อาจมีข้อผิดพลาดระหว่างการขนส่ง ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายและการหลงลืม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จึงไม่น่าแปลกใจ"“เหตุใดรายงานทั้งหมดจากทั่วหล้า จึงถูกส่งมายังเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้ แต่รายงานที่ส
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ
มือปืนทั้งสามแถวพอยิงพร้อมกันเสร็จสิ้นรอบหนึ่ง ก็รีบควานเอาสิ่งของกลมดำสนิทสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่คล้องอยู่ข้างกายเจ้าสิ่งนั้นดูแล้วไร้ค่าเสียยิ่งกว่าท่อนไม้ในมือของพวกเขา เป็นของที่ต่อให้ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแลแต่เมื่อมีตัวอย่างของท่อนไม้ที่กลับกลายเป็นปืนปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนของสิ่งนี้“นั่นคือสิ่งใดกัน?”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกไม่สู้ดีถาโถมเข้ามาในใจทันทีก่อนหน้านี้ที่เห็นปืนดินปืน แม้จะทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียขวัญก่อนอื่น ปืนดินปืนนั้นมิใช่ของแปลกใหม่เสียทีเดียว จักรวรรดิต้าฉินในอดีตก็เคยคิดค้นของเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเล็งได้ไม่แม่น แถมยังต้องเสียเวลายัดดินปืนใส่เข้าไป จึงมิได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายหรือพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้คนล้วนเห็นว่าอย่างไรก็ยังสู้ฝึกมือธนูที่มีกำลังแขนมากหน่อยไม่ได้และการที่หลี่เฉินนำปืนดินปืนกลับมาพัฒนาใหม่นั้นก็หาใช่ความลับไม่ ขุนนางมากมายต่างตำหนิเจ้าชายรัชทายาทว่าเอาแต่เล่นจนเสียงาน ริหลงใหลในกลไกแปลกประหลาดซึ่งถือเป็นศาสตร์นอกลู่นอกทางหลี่อิ๋นห
“ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห