“ท่านราชเลขาเก่งกว่าจริงๆ”หลี่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพื่อเก็บซ่อนไพ่ในมือใบนี้ มณฑลซีซานมีทหารกบฏมากขึ้นเพียงใด ราษฎรผู้บริสุทธิ์ตายไปเท่าไหร่ ขุนนางทหารตายไปเท่าไหร่? ความสำเร็จของผู้หนึ่งมักแลกมาด้วยความเสียสละของผู้คนจำนวนมาก ท่านราชเลขายังไม่ทันทำสำเร็จ ทว่าผู้เสียสละที่มีอยู่บัดนี้ก็มากแล้ว”จ้าวเสวียนจีกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เทียบกับองค์ชายแล้ว น้อยกว่าเล็กน้อย”เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจีใช้คำพูดมาเยาะเย้นตนแล้ว หลี่เฉินพลันหัวเราะแห้ง แล้วไม่สนใจเขาอีกขณะนี้ เถารุ่ยในชุดนักโทษเดินทางมาถึงพระที่นั่งไท่เหอด้วยลักษณะผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าสกปรกมอมแมมภายใต้การคุมตัวขององครักษ์องครักษ์สองคนใช้มือกดบังคับที่หัวไหล่ของเถารุ่ย จากนั้นออกแรง ทำให้เถารุ่ยที่ถูกมัดมือมัดเท้าด้วยล่ามโซ่คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบแม้ว่าพระที่นั่งไท่เหอจะปูด้วยพรมอ่อนนุ่ม แต่ก็ไม่วายที่เถารุ่ยจะเจ็บจนร้องเสียงหลงออกมาขณะนี้ ทุกคนในพระที่นั่งไท่เหอ รวมถึงหลี่เฉินเพิ่งจะได้เห็นหน้าค่าตาของเถารุ่ยอย่างชัดเจนหน้าตาของเขาธรรมดา รูปร่างปานกลาง ดูเห็นได้ทั่วไปมากบางทีห
บางทีเมื่อรู้ว่าจุดจบของตัวเองคือความตายอย่างแน่นอน เถารุ่ยก็ไม่เอาอะไรเลยเขาหันไปมองเจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งหลายในพระที่นั่งไท่เหอ กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ "พวกเจ้าแต่ละคนที่ยังดูดีมีมาด นั่นเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของพวกเจ้า ข้าแค่นำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง พวกเจ้าถามใจตัวเอง ก้มหน้าล้วงกระเป๋าออกดู มีกระเป๋าของใครสะอาดบ้าง”“ราชสำนักแจกจ่ายเงินและอาหารเพื่อบรรเทาสาธารณภัยให้พวกเจ้าไปมากมายแค่ไหนแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็มีข้าราชการกลางกินส่วนใหญ่ ส่วนท้องถิ่นกินส่วนน้อย เมื่อแจกจ่ายถึงมือประชาชน ถ้าได้รับเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเจ้าเมืองมีจิตสำนึกที่ดีมากแล้ว”“บังอาจ! บังอาจยิ่งนัก!”รองผู้ตรวจการฝ่ายขวาถานปิ่งจือที่เคยถูกต่อว่ามาก่อนโกรธจัดจนเคราสั่น พูดกับหลี่เฉินว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คนวิกลจริตผู้นี้เสียสติไปแล้ว ได้โปรดประหารเขาทันที เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น!"“เจ้าร้อนตัวอะไร” หลี่เฉินถามอย่างเฉยเมยถานปิ่งจือมือชาทันที“องค์รัชทายาท กระหม่อม กระหม่อมมิได้ร้อนตัว องค์รัชทายาทต้องไม่ฟังคำพูดข้างเดียวของคนบ้าคนนี้!” ถานปิ่งจือแก้ตัวเสียงดัง“คำพูดเพียงฝ่ายเดียว ข้าย่อมไม่เชื่ออยู่แ
“ท่านราชเลขาจ้าว เถารุ่ยบอกว่ารายงานของเขา ส่งมอบให้สำนักราชเลขาเมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องนี้ ท่านราชเลขาไม่รู้เรื่องเลยหรือ”หลี่เฉินมองไปที่จ้าวเสวียนจี และถามอย่างสงบจ้าวเสวียนจียังมีสีหน้านิ่งๆในขณะนี้ เขายังคงผมเผ้ายุ่งเหยิงดูสะบักสะบอม แต่หลังจากประสบกับความตื่นตระหนกชั่วครู่ในใจ ตอนนี้เขากลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด“เรื่องนี้ ทางสำนักราชเลขาไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเสวียนจีกล่าวปฏิเสธเหมือนเป็นเรื่องปกติไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามยอมรับเรื่องนี้โดยเด็ดขาดมีความเกี่ยวข้องมากเกินไปมากจนจ้าวเสวียนจีไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบในเวลานี้ฟู่อวี้จือประกบมือคำนับ แล้วพูดว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้เถารุ่ยก็เหมือนกับสุนัขบ้า เมื่อคว้าโอกาสได้ก็จะกัดคน ได้รายงานจริงหรือไม่นั้น มีเพียงคำพูดเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีรายงานจริง ทว่าสถานการณ์ในมณฑลซีซานนั้นวุ่นวาย อาจมีข้อผิดพลาดระหว่างการขนส่ง ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายและการหลงลืม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จึงไม่น่าแปลกใจ"“เหตุใดรายงานทั้งหมดจากทั่วหล้า จึงถูกส่งมายังเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้ แต่รายงานที่ส
ซูเจิ้นถิงประสานมือกล่าวว่า “ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่รับประกันได้ว่าข้อผิดพลาดที่คล้ายกันนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต แต่ยังสามารถรับประกันได้ว่าทุกสาส์นกราบทูลจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทั้งตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขาก่อนตัดสินใจ นี่เป็นผลดีต่อทั้งสำนักราชเลขาและตำหนักบูรพา” แผนของซูเจิ้นถิงนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่ฝืนรับยอมรับได้สำหรับหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจี หลักฐานคือพวกเขาไม่ต้องการให้มีการต่อสู้ชี้ขาดในราชสำนักตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา “กระหม่อมไม่มีความเห็น” จ้าวเสวียนจีพูดเสียงแข็ง เขารู้สึกแค้นใจเล็กน้อย เดิมทีเขาวางแผนที่จะใช้การกบฏในมณฑลซีซานเพื่อทำให้หลี่เฉินวุ่นวาย และยกเลิกการส่งทหารไปยังเสียนเฉา แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่แผนการจะไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังทำให้อำนาจในการอ่านสาส์นกราบทูลที่สำคัญที่สุดของสำนักราชเลขา ซึ่งสามารถควบคุมตำหนักบูรพาได้ต้องสูญเสียไปอย่างไม่ทันตั้งตัว นี่เทียบได้กับขโมยไก่ไม่ได้ แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ หลี่เฉินและซูเจิ้นถิงสบตากัน แต่ละคนซ่อนความพึงพอใจไว้ในดวงตาของพวกเขาอย่างลึกๆ หลี่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อแล้วพูด
ตอนที่หลี่เฉินเอ่ยถึงนายอำเภอเหอเจี้ยน ขุนนางทุกคนต่างก็สงสัยว่าขุนนางตัวเล็กๆ คนนี้มาจากไหน ตามระบบราชการของต้าฉิน นายอำเภอเป็นเพียงขุนนางขั้นที่ 7 ระดับสูง ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางที่ตัวใหญ่เท่าเมล็ดงาแต่ปลัดมณฑลนั้นเป็นขุนนางใหญ่ขั้นที่ 3 ซึ่งถือได้ว่าเป็นขุนนางที่มีความสำคัญ อาจกล่าวได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนดิน ส่วนอีกคนอยู่บนฟ้า พวกเขาไม่เคยเห็นวิธีการส่งเสริมเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ยินคำว่าจ้าวเหอซาน หลายคนก็เข้าใจในทันที องค์รัชทายาทจงใจแทงใจดำจ้าวเสวียนจีหรือไม่?ใครก็ตามที่เป็นขุนนางในเมืองหลวงมานานกว่าสิบปี มีหรือจะไม่รู้ว่าจ้าวเหอซานเป็นญาติห่างๆ ของจ้าวเสวียนจี ในปีนั้นที่จ้าวเหอซานสามารถก้าวหน้าได้ทีละขั้นได้ ล้วนอาศัยจ้าวเสวียนจีคอยสนับสนุน และเลี้ยงดูอย่างแข็งขันในฐานะบทบาทของผู้สืบทอดที่มีศักยภาพ แต่จู่ๆ ทั้งสองก็แยกจากการโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จ้าวเหอซานถูกลดตำแหน่ง และเกือบจะจบเห่ จนกระทั่งตอนนี้ จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวบนเวทีหลักทางการเมืองของจักรวรรดิโดยปากของหลี่เฉินอีกครั้งจ้าวเสวียนจีจ้องหลี่เฉินตาเขม็ง แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดอะไรตื้นๆ เหมือนคนอื่นๆ เขา
“ก่อนหน้านี้พวกเราคุยกันเรื่องนี้มามากแล้ว ข้าได้บอกให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า ศึกที่เสียนเฉานั้นพวกเราต้องสู้ หากไม่สู้ จะยิ่งสู้ได้ยากกว่าเดิมในอนาคต” ดวงตาของหลี่เฉินทอประกายจริงจังกว่าเดิม ขณะหันไปถามจ้าวเสวียนจีว่า “ท่านราชเลขา ท่านคิดอย่างไร?” จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “กระหม่อมยังคงคัดค้าน” “ดี เจ้าสามารถคัดค้านได้” หลี่เฉินโบกมือแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพซู!” ซูเจิ้นถิงกำหมัดตอบ “กระหม่อมอยู่!”“ข้ามีพระราชดำรัสสั่งให้สำนักบัญชาการทหารสูงสุดมีอำนาจในการประสานงานส่งกองทัพไปเสียนเฉาอย่างเต็มที่ กำหนดกลยุทธ์ต่อสู้ นโยบาย และการเคลื่อนพลทหารให้เรียบร้อย จากนั้นก็ส่งรายงานมาที่ตำหนักบูรพา ข้าจะเป็นคนอนุมัติด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องผ่านสำนักราชเลขา”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา จางปี้อู่และฟู่อวี้จือแห่งสำนักราชเลขาก็อยากจะเปิดปากพูด แต่จ้าวเสวียนจีกลับส่ายหน้า ทำให้ทั้งสองต้องหยุดพูดสีหน้าของซูเจิ้นถิงดูตื่นเต้น เขากล่าวเสียงดังว่า “กระหม่อมรับพระราชดำรัสสั่ง!” “แต่ยังมีอีกเรื่อง ใครจะเป็นแม่ทัพหลักในศึกนี้? กองทหารมาหน่วยใดจะเป็นคนเคลื่อนทัพ?” หลี่เฉินกวา
การพูดอย่างกะทันหันของต้วนจิ่นเจียง ทำให้เหล่าขุนนางซึ่งเดิมทีคิดว่าประชุมราชการเช้าที่น่าตกใจจนวิญญาณหลุด และพลิกผันไปมาคงใกล้จะจบลงแล้ว กลับมาอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง จ้าวเสวียนจีมองไปที่ต้วนจิ่นเจียงเป็นคนแรกด้วยแววตาสับสน ในการปรึกษาหารือกันก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีข้อตกลงที่จะให้ต้วนจิ่นเจียงออกหน้าพูดอะไร หรือว่าต้วนจิ่นเจียงอยากจะขอพระราชทานอภัยโทษให้กับบุตรชายที่นี่? หากเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่จ้าวเสวียนจีจะพิจารณาเตะต้วนจิ่นเจียงออกจากสำนักราชเลขา เพราะสมองของเขามีปัญหา หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “พูดมา”ต้วนจิ่นเจียงหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ไม่สบสายตากับใครแล้วกล่าวว่า “กระหม่อม ขอให้เปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่” อากาศในพระที่นั่งไท่เหอราวกับจะแข็งตัวขึ้นมา จ้าวเสวียนจีเบิกตากว้าง และจ้องมองต้วนจิ่นเจียงอย่างไม่เชื่อสายตา ท่าทางสูญเสียสติของเขาคงอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม แต่สายตาของเขายังคงจ้องไปที่ต้วนจิ่นเจียงตาเขม็ง ดวงตาดุจมีดนั้น คล้ายอยากจะสับต้วนจิ่นเจียงเป็นออกเป็นชิ้นๆ ตอนนี้เอง ต้
ใบหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันซีดลงหากเปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่ เรื่องนี้จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเขา มากกว่าการที่สำนักราชเลขาสูญเสียอำนาจในการอ่านสาส์นกราบทูลเสียอีก!เพราะหากคดีได้รับการยืนยันจริงๆ เครือข่ายอำนาจที่เขาทำงานหนักมาหลายสิบปีเพื่อสร้างขึ้นมา ก็จะล่มสลายในพริบตาเวลานี้ความคิดของจ้าวเสวียนจีดุจดั่งทะเลคลั่ง จิตใจของเขากำลังนึกถึงวิธีการรับมือกับเรื่องนี้แต่ทุกวิธีที่เขาคิดออกก็จะถูกปฏิเสธในวินาทีต่อมา สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ไขได้จ้าวเสวียนจีกัดฟันเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงอยากเริ่มการสืบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่อย่างกระทันหัน?”หลี่เฉินกล่าวว่า “คดีนี้ไม่ใช่ข้าที่ต้องการเริ่มการสืบสวน แต่เป็นใต้เท้าต้วนที่เสนอ ข้าแค่รู้สึกว่าคดีนั้นยังไม่มีความจริงปรากฏ และตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาที่พวกเราจะนำความยุติธรรมกลับมาสู่ใต้หล้า สุดท้ายแล้วใครบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์ ใครมีความผิดก็มีความผิด แล้วเหตุใดท่านราชเลขาถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเล่า?”จ้าวเสวียนจียิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “กระหม่อมรู้สึกว่า