“ท่านราชเลขาจ้าว เถารุ่ยบอกว่ารายงานของเขา ส่งมอบให้สำนักราชเลขาเมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องนี้ ท่านราชเลขาไม่รู้เรื่องเลยหรือ”หลี่เฉินมองไปที่จ้าวเสวียนจี และถามอย่างสงบจ้าวเสวียนจียังมีสีหน้านิ่งๆในขณะนี้ เขายังคงผมเผ้ายุ่งเหยิงดูสะบักสะบอม แต่หลังจากประสบกับความตื่นตระหนกชั่วครู่ในใจ ตอนนี้เขากลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด“เรื่องนี้ ทางสำนักราชเลขาไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเสวียนจีกล่าวปฏิเสธเหมือนเป็นเรื่องปกติไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามยอมรับเรื่องนี้โดยเด็ดขาดมีความเกี่ยวข้องมากเกินไปมากจนจ้าวเสวียนจีไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบในเวลานี้ฟู่อวี้จือประกบมือคำนับ แล้วพูดว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้เถารุ่ยก็เหมือนกับสุนัขบ้า เมื่อคว้าโอกาสได้ก็จะกัดคน ได้รายงานจริงหรือไม่นั้น มีเพียงคำพูดเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีรายงานจริง ทว่าสถานการณ์ในมณฑลซีซานนั้นวุ่นวาย อาจมีข้อผิดพลาดระหว่างการขนส่ง ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายและการหลงลืม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จึงไม่น่าแปลกใจ"“เหตุใดรายงานทั้งหมดจากทั่วหล้า จึงถูกส่งมายังเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้ แต่รายงานที่ส
ซูเจิ้นถิงประสานมือกล่าวว่า “ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่รับประกันได้ว่าข้อผิดพลาดที่คล้ายกันนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต แต่ยังสามารถรับประกันได้ว่าทุกสาส์นกราบทูลจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทั้งตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขาก่อนตัดสินใจ นี่เป็นผลดีต่อทั้งสำนักราชเลขาและตำหนักบูรพา” แผนของซูเจิ้นถิงนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่ฝืนรับยอมรับได้สำหรับหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจี หลักฐานคือพวกเขาไม่ต้องการให้มีการต่อสู้ชี้ขาดในราชสำนักตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา “กระหม่อมไม่มีความเห็น” จ้าวเสวียนจีพูดเสียงแข็ง เขารู้สึกแค้นใจเล็กน้อย เดิมทีเขาวางแผนที่จะใช้การกบฏในมณฑลซีซานเพื่อทำให้หลี่เฉินวุ่นวาย และยกเลิกการส่งทหารไปยังเสียนเฉา แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่แผนการจะไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังทำให้อำนาจในการอ่านสาส์นกราบทูลที่สำคัญที่สุดของสำนักราชเลขา ซึ่งสามารถควบคุมตำหนักบูรพาได้ต้องสูญเสียไปอย่างไม่ทันตั้งตัว นี่เทียบได้กับขโมยไก่ไม่ได้ แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ หลี่เฉินและซูเจิ้นถิงสบตากัน แต่ละคนซ่อนความพึงพอใจไว้ในดวงตาของพวกเขาอย่างลึกๆ หลี่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อแล้วพูด
ตอนที่หลี่เฉินเอ่ยถึงนายอำเภอเหอเจี้ยน ขุนนางทุกคนต่างก็สงสัยว่าขุนนางตัวเล็กๆ คนนี้มาจากไหน ตามระบบราชการของต้าฉิน นายอำเภอเป็นเพียงขุนนางขั้นที่ 7 ระดับสูง ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางที่ตัวใหญ่เท่าเมล็ดงาแต่ปลัดมณฑลนั้นเป็นขุนนางใหญ่ขั้นที่ 3 ซึ่งถือได้ว่าเป็นขุนนางที่มีความสำคัญ อาจกล่าวได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนดิน ส่วนอีกคนอยู่บนฟ้า พวกเขาไม่เคยเห็นวิธีการส่งเสริมเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ยินคำว่าจ้าวเหอซาน หลายคนก็เข้าใจในทันที องค์รัชทายาทจงใจแทงใจดำจ้าวเสวียนจีหรือไม่?ใครก็ตามที่เป็นขุนนางในเมืองหลวงมานานกว่าสิบปี มีหรือจะไม่รู้ว่าจ้าวเหอซานเป็นญาติห่างๆ ของจ้าวเสวียนจี ในปีนั้นที่จ้าวเหอซานสามารถก้าวหน้าได้ทีละขั้นได้ ล้วนอาศัยจ้าวเสวียนจีคอยสนับสนุน และเลี้ยงดูอย่างแข็งขันในฐานะบทบาทของผู้สืบทอดที่มีศักยภาพ แต่จู่ๆ ทั้งสองก็แยกจากการโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จ้าวเหอซานถูกลดตำแหน่ง และเกือบจะจบเห่ จนกระทั่งตอนนี้ จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวบนเวทีหลักทางการเมืองของจักรวรรดิโดยปากของหลี่เฉินอีกครั้งจ้าวเสวียนจีจ้องหลี่เฉินตาเขม็ง แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดอะไรตื้นๆ เหมือนคนอื่นๆ เขา
“ก่อนหน้านี้พวกเราคุยกันเรื่องนี้มามากแล้ว ข้าได้บอกให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า ศึกที่เสียนเฉานั้นพวกเราต้องสู้ หากไม่สู้ จะยิ่งสู้ได้ยากกว่าเดิมในอนาคต” ดวงตาของหลี่เฉินทอประกายจริงจังกว่าเดิม ขณะหันไปถามจ้าวเสวียนจีว่า “ท่านราชเลขา ท่านคิดอย่างไร?” จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “กระหม่อมยังคงคัดค้าน” “ดี เจ้าสามารถคัดค้านได้” หลี่เฉินโบกมือแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพซู!” ซูเจิ้นถิงกำหมัดตอบ “กระหม่อมอยู่!”“ข้ามีพระราชดำรัสสั่งให้สำนักบัญชาการทหารสูงสุดมีอำนาจในการประสานงานส่งกองทัพไปเสียนเฉาอย่างเต็มที่ กำหนดกลยุทธ์ต่อสู้ นโยบาย และการเคลื่อนพลทหารให้เรียบร้อย จากนั้นก็ส่งรายงานมาที่ตำหนักบูรพา ข้าจะเป็นคนอนุมัติด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องผ่านสำนักราชเลขา”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา จางปี้อู่และฟู่อวี้จือแห่งสำนักราชเลขาก็อยากจะเปิดปากพูด แต่จ้าวเสวียนจีกลับส่ายหน้า ทำให้ทั้งสองต้องหยุดพูดสีหน้าของซูเจิ้นถิงดูตื่นเต้น เขากล่าวเสียงดังว่า “กระหม่อมรับพระราชดำรัสสั่ง!” “แต่ยังมีอีกเรื่อง ใครจะเป็นแม่ทัพหลักในศึกนี้? กองทหารมาหน่วยใดจะเป็นคนเคลื่อนทัพ?” หลี่เฉินกวา
การพูดอย่างกะทันหันของต้วนจิ่นเจียง ทำให้เหล่าขุนนางซึ่งเดิมทีคิดว่าประชุมราชการเช้าที่น่าตกใจจนวิญญาณหลุด และพลิกผันไปมาคงใกล้จะจบลงแล้ว กลับมาอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง จ้าวเสวียนจีมองไปที่ต้วนจิ่นเจียงเป็นคนแรกด้วยแววตาสับสน ในการปรึกษาหารือกันก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีข้อตกลงที่จะให้ต้วนจิ่นเจียงออกหน้าพูดอะไร หรือว่าต้วนจิ่นเจียงอยากจะขอพระราชทานอภัยโทษให้กับบุตรชายที่นี่? หากเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่จ้าวเสวียนจีจะพิจารณาเตะต้วนจิ่นเจียงออกจากสำนักราชเลขา เพราะสมองของเขามีปัญหา หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “พูดมา”ต้วนจิ่นเจียงหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ไม่สบสายตากับใครแล้วกล่าวว่า “กระหม่อม ขอให้เปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่” อากาศในพระที่นั่งไท่เหอราวกับจะแข็งตัวขึ้นมา จ้าวเสวียนจีเบิกตากว้าง และจ้องมองต้วนจิ่นเจียงอย่างไม่เชื่อสายตา ท่าทางสูญเสียสติของเขาคงอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม แต่สายตาของเขายังคงจ้องไปที่ต้วนจิ่นเจียงตาเขม็ง ดวงตาดุจมีดนั้น คล้ายอยากจะสับต้วนจิ่นเจียงเป็นออกเป็นชิ้นๆ ตอนนี้เอง ต้
ใบหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันซีดลงหากเปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่ เรื่องนี้จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเขา มากกว่าการที่สำนักราชเลขาสูญเสียอำนาจในการอ่านสาส์นกราบทูลเสียอีก!เพราะหากคดีได้รับการยืนยันจริงๆ เครือข่ายอำนาจที่เขาทำงานหนักมาหลายสิบปีเพื่อสร้างขึ้นมา ก็จะล่มสลายในพริบตาเวลานี้ความคิดของจ้าวเสวียนจีดุจดั่งทะเลคลั่ง จิตใจของเขากำลังนึกถึงวิธีการรับมือกับเรื่องนี้แต่ทุกวิธีที่เขาคิดออกก็จะถูกปฏิเสธในวินาทีต่อมา สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ไขได้จ้าวเสวียนจีกัดฟันเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงอยากเริ่มการสืบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่อย่างกระทันหัน?”หลี่เฉินกล่าวว่า “คดีนี้ไม่ใช่ข้าที่ต้องการเริ่มการสืบสวน แต่เป็นใต้เท้าต้วนที่เสนอ ข้าแค่รู้สึกว่าคดีนั้นยังไม่มีความจริงปรากฏ และตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาที่พวกเราจะนำความยุติธรรมกลับมาสู่ใต้หล้า สุดท้ายแล้วใครบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์ ใครมีความผิดก็มีความผิด แล้วเหตุใดท่านราชเลขาถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเล่า?”จ้าวเสวียนจียิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “กระหม่อมรู้สึกว่า
หลังจากที่หลี่เฉินเดินออกไปก่อน เหล่าขุนนางที่เหลือในพระที่นั่งไท่เหอต่างก็มองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองจ้าวเสวียนจีที ซูเจิ้นถิงที ไม่มีใครกล้าออกไปก่อน ซูเจิ้นถิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวเสวียนจี เขายิ้มและประสานมือกล่าวว่า “โชคดีที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย ในอนาคต เมื่อเจ้าลูกหมาจะออกไปทำสงครามที่เสียนเฉา คงต้องขอความร่วมมือท่านราชเลขาด้านงานราชการแล้ว” จ้าวเสวียนจียิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เกรงใจไปแล้ว เพื่อจักรวรรดิ เพื่อราชสำนัก นี่เป็นสิ่งที่ควรทำ” เมื่อมองไปที่ต้าเหลียงหลงเชวี่ยในมือของซูเจิ้นถิง จ้าวเสวียนจีก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนนี้ท่านแม่ทัพซูมีกระบี่จักรพรรดิแล้ว แต่กระบี่นี้คมนัก ท่านแม่ทัพโปรดออมมือ” ซูเจิ้นถิงยิ้มจนตาหยีแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทรงไว้วางพระทัย ข้าย่อมไม่กล้าละเลย” จ้าวเสวียนจีส่งเสียงหึอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “แม่ทัพซูโปรดเดินดีๆ ข้าไม่ส่ง!” ซูเจิ้นถิงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า หันหน้าแล้วเดินจากไป ด้านหลังของเขา มีกลุ่มแม่ทัพเดินตามไปด้วย หลังจากพวกซูเจิ้นถิงจากไปแล้ว จ้าวเสวียนจีก็หันไปมองต้วนจิ่นเจียงและฟู่อวี้จืออย่างเย็นชา ก่อนกล่าวว่า “ข้าวางแผนจ
คำพูดของจางปี้อู่ ทำให้สีหน้าของจ้าวเสวียนจีผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเปิดปากพูดว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกลอุบายที่ใช้ไม่ได้ผลเสมอไป สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้จริงๆ ก็คือ...” เมื่อนึกถึงการทรยศของต้วนจิ่นเจียงกับฟู่อวี้จือ จิตสังหารอันเย็นเยือกก็แวบขึ้นมาในดวงตาของจ้าวเสวียนจี จากนั้นก็พูดว่า “เราต้องกำจัดคนทรยศ มิฉะนั้น ใจคนในราชสำนักอาจจะเปลี่ยนแปลงได้” จางปี้อู่เข้าใจความหมายของจ้าวเสวียนจีในทันที สีหน้าของเขาแข็งทื่อ ก่อนประสานมือกล่าวว่า “ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านราชเลขา” ในขณะเดียวกัน หลี่เฉินก็กลับมายังพระที่นั่งสีเจิ้ง เพิ่งจะนั่งลงได้ครู่เดียว จ้าวหรุ่ยก็พรวดพราดเข้ามา “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท!” เสียงของจ้าวหรุ่ยฟังดูสะอื้น ดวงตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ขณะคุกเข่าตรงหน้าหลี่เฉิน หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ “เจ้าทราบข่าวไวขนาดนี้เชียวหรือ ข้าเพิ่งเลิกการประชุมเมื่อครู่ เรื่องที่บิดาของเจ้าได้รับการแต่งตั้ง เจ้าก็ทราบแล้ว?”จ้าวหรุ่ยพูดว่า “เมื่อฝ่าบาททรงตรัสว่าจะแต่งตั้ง ก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดี นอกจากนี้ข่าวก็ยังถูกส่งไปทางบิดาด้วย หม่อมฉันใคร่ครวญอย่างถี
คำพูดของจ้าวไท่ไหลทำให้จ้าวชิงหลานถึงกับนิ่งอึ้งนางมองดูจ้าวไท่ไหลที่กำลังหมดหนทาง เบื้องหน้านางคือน้องชายที่ไร้ความหวัง จ้าวชิงหลานกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะโทษใครได้? หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เอาถ่าน ใช้ชีวิตก่อปัญหาไปวันๆ”“ถ้าเจ้าทำให้เขาเห็นความหวังบ้าง เขาจะทำเช่นนี้หรือ?”“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”จ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกลัวและความกดดันมาทั้งวัน ทนฟังคำตำหนิของจ้าวชิงหลานไม่ไหว ความโกรธของเขาพุ่งพล่านเขาเอ่ยด้วยความโกรธ “ต่อให้ข้าไร้ค่าเพียงใด ข้าก็ยังเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา! ข้าเป็นสายเลือดตระกูลจ้าว เป็นคนสืบทอดวงศ์ตระกูลของเขา แล้วนี่เขาตอบแทนข้าด้วยการทำเช่นนี้หรือ?”“ที่ผ่านมา ต่อให้เขาตีข้าหรือด่าข้า ข้าก็ยังเคารพและชื่นชมเขาอยู่ในใจ แต่ตอนนี้เล่า? เขาคิดจะส่งข้าไปให้เหวินอ๋องระบายความโกรธ นี่เขาเสียสติไปแล้ว ท่านพี่มองไม่ออกหรือ?”“ตั้งแต่ตำหนักบูรพาเรืองอำนาจ องค์รัชทายาทแย่งอำนาจไปจากมือเขาแทบทั้งหมด เขาก็กลัวมาตลอด กลัวว่าตัวเองจะหมดสิ้นทุกสิ่ง เขาเคยเสวยสุขกับอำนาจมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับคลุ้มคลั่งเพื่อปกป้องมัน!”“เขาส่งพี่ไปให้ฮ่องเต้ก่อน แต่แล้วฮ่อง
แม้หลี่เฉินจะไม่ได้รับสั่งใดๆ หรืออธิบายเพิ่มเติม แต่เฉินทงก็รู้ดีว่างานที่องค์รัชทายาททรงมอบหมายให้เขาดูแลด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นเรื่องลับแน่นอนยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและจ้าวไท่ไหลเพื่อความปลอดภัย เฉินทงจึงไม่ได้พาจ้าวไท่ไหลเข้าประตูใหญ่ แต่ใช้เส้นทางลับที่พวกขันที นางกำนัล และผู้ดูแลวังใช้เข้าออก โดยอ้อมเข้าประตูด้านข้างของพระราชวังหลวงระหว่างทาง เฉินทงไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงนำทางจ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกังวลเดินไปอย่างเงียบๆส่วนจ้าวไท่ไหลนั้น ใจยังคงสับสนวุ่นวาย ไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องที่บิดาของเขาต้องการฆ่าเขาได้เต็มที่ เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรเช่นกันทั้งสองเดินกันอย่างเงียบงันเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งมาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งสี่ทหารรักษาการณ์ นางกำนัล และขันทีในตำหนักเฟิ่งสี่ล้วนถูกเปลี่ยนให้เป็นคนของตำหนักบูรพา เฉินทงจึงสามารถพาจ้าวไท่ไหลเข้าไปได้โดยไม่มีอุปสรรคเมื่อเข้ามาในตำหนักเฟิ่งสี่แล้ว จ้าวชิงหลานที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเห็นจ้าวไท่ไหลในชุดปลอมตัวก็ถึงกับประหลาดใจ“ท่านพี่!”เมื่อเห็นจ้าวชิงหลาน จ้าวไท่ไหลก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อซูผิงเป่ยได้ยินคำพูดนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนว่า “กระหม่อม…น้อมรับพระบัญชา”“นี่ไม่ใช่คำสั่งทหาร”หลี่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “การตกหลุมรักเป็นเรื่องของเจ้าเอง งานสมรสนี้ข้าจัดหาให้ แต่ความรู้สึกเป็นของเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้ ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าต้องสมรส”แม้ว่าหลี่เฉินจะได้ประโยชน์จากการสมรส แต่เขายังคงมีจิตวิญญาณอย่างคนสมัยใหม่ จึงให้ความสำคัญกับความรู้สึกส่วนตัวในเรื่องการสมรสเขาคิดในใจว่าหากซูจิ่นพ่าเป็นคนที่หน้าตาน่าเกลียดมาก ต่อให้ผลประโยชน์ทางการเมืองจะมากเพียงใด เขาก็อาจจะยอมสมรสเพื่อผูกมิตรกับซูเจิ้นถิง แต่ซูจิ่นพ่าคงได้เป็นเพียงเครื่องหมายประดับในตำหนักหลังเท่านั้น คงไม่มีทางได้ขึ้นเป็นชายาองค์รัชทายาทเพราะการสมรสคือเรื่องสำคัญตลอดชีวิต เมื่อสมรสแล้ว หากไม่มีเหตุผลอันใหญ่หลวง จะต้องอยู่ร่วมกับคนๆ นั้นไปตลอด หลี่เฉินจึงเปิดโอกาสไว้เล็กน้อยสำหรับซูผิงเป่ยและหลี่เพ่ยเพ่ยถ้าหากไม่ชอบจริงๆ การบังคับสมรสก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่ดูเหมือนว่าซูผิงเป่ยจะเข้าใจความหมายของหลี่เฉินผิดไป เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน
เมื่อได้ยินคำถามของหลี่เฉิน หลี่เพ่ยเพ่ยที่พอจะเตรียมใจไว้แล้วก็ยังตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าตอบเบาๆ ว่า “ยังไม่มีเพคะ”การสมรสขององค์ชายและองค์หญิงส่วนใหญ่ มักไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง โดยเฉพาะองค์หญิงที่ใช้ชีวิตในวังลึกมาตลอด มีโอกาสได้พบปะชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันน้อยมาก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครในดวงใจยิ่งไปกว่านั้น ในยุคสมัยนี้ หญิงที่มีอิสระในความคิดเหมือนกับซูจิ่นพ่า เรียกได้ว่าเป็นส่วนน้อยมาก คำตอบของหลี่เพ่ยเพ่ยจึงเป็นสิ่งที่หลี่เฉินคาดไว้อยู่แล้วหลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าก็ถึงวัยแล้ว หากไม่รีบออกเรือน เกรงว่าจะกลายเป็นสาวแก่ นั่นไม่เหมาะสมทั้งในด้านความรู้สึกและเหตุผล เสด็จพี่รองจึงคิดจะหาเจ้าบ่าวให้เจ้า คนที่ข้าหมายตาไว้คือซูผิงเป่ย บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ซู เขาเพิ่งกลับจากชัยชนะในสนามรบ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราววีรกรรมของเขามาบ้าง?”หลี่เพ่ยเพ่ยตอบเบาๆ ว่า “เพ่ยเพ่ยเคยได้ยินถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของแม่ทัพซูอยู่บ้างเพคะ”หลี่เฉินยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี แม่ทัพใหญ่ซูมีบุตรเพียงสองคน คือซูผิงเป่ยและซูจิ่นพ่า ซึ่งอีกไม่นานซูจิ่นพ่าก็จะเข้ามาเป็นชายาองค์รัชทาย
เมื่อเห็นสวีหยวนต๋าและคนอื่นๆ แสดงท่าทีตอบรับ หลี่เฉินลุกขึ้นกล่าวว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้จัดการตามนี้แล้วกัน”จากนั้นเขาก็เอามือไพล่หลังเดินออกจากหลันเยว่เซวียน ก่อนจะเหลือบมองเหล่าหนุ่มน้อยที่ยังคุกเข่าอยู่หน้าประตู ในยามกลางวันเช่นนี้ การให้พวกเขาคุกเข่าอยู่นั้นก็เท่ากับเป็นการลงโทษให้ผู้คนเห็น คนเหล่านั้นต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบสายตาใคร ทั้งยังมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง“คุกเข่าให้ครบสองชั่วยามแล้วค่อยลุก จากนั้นส่งตัวตรงไปยังค่ายทหาร”หลี่เฉินกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเขาเชื่อว่าสวีหยวนต๋าและพวกจะไม่กล้าทำท่าทีตีสองหน้าเพราะหน่วยบูรพาเฝ้าจับตาอยู่ใกล้ๆใครกล้าเล่นตุกติก ไม่ใช่แค่ลูกชายจะถูกส่งไป แม้แต่พ่อก็อาจจะต้องตามไปด้วยเมื่อหลี่เฉินจากไป สวีหยวนต๋าและบรรดาบิดาจึงเดินมายังหน้าลูกชายของตน ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่พวกเขาด้วยความโกรธสวีหยวนต๋าไม่ฟาดลูกชายตัวเอง เพราะใบหน้าของลูกชายเขาก็เหมือนหัวหมูอยู่แล้วเขาชี้ไปที่ลูกชายตนพร้อมกล่าวด้วยความเจ็บใจว่า “เจ้ามันไร้ความสามารถโดยแท้ วันนี้ถือว่าโชคดีนัก ไม่เช่นนั้น ตระกูลเราคงต้องถูกเจ้าทำให้พินาศหมดสิ้นแน่!”ลูกชายเขาถามด
หลังจากส่งตัวจ้าวไท่ไหลไปแล้ว หลี่เฉินจึงเรียกสวีหยวนต๋าและคนอื่นๆ ที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านนอกให้เข้ามาซึ่งนำโดยซ่างกวนเจา เบื้องหลังเขามีขุนนางระดับสูงหลายคน ทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีอำนาจแท้จริง และล้วนมาจากกลุ่มสำนักราชเลขาจุดนี้ หลี่เฉินยังพอใจอยู่บ้างอย่างน้อยขุนนางฝั่งตำหนักบูรพาเหล่านี้ล้วนถูกคัดเลือกโดยหลี่เฉินเอง โดยคำนึงถึงภูมิหลังตระกูลเป็นสำคัญ และต้องมีการอบรมลูกหลานที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้น หากวันนี้พบว่าลูกหลานขุนนางตำหนักบูรพาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ คงจะเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก"กระหม่อมทั้งหลาย ถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันๆ ปี"สวีหยวนต๋าและคนอื่นๆ ก้มศีรษะต่ำ ขณะเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะคุกเข่าถวายบังคมโดยไม่พูดสิ่งใดหลี่เฉินนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ ขาข้างหนึ่งพาดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "การที่พวกเจ้าชอบมาป้วนเปี้ยนทำเรื่องวุ่นวายต่อหน้าข้า อย่าว่าแต่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต่อให้พวกเจ้าอยู่จนถึงพันปี ก็มีแต่จะทำให้ชาวบ้านสาปแช่งไปอีกหลายปีเท่านั้น"คำพูดเปิดหัวของหลี่เฉินแสดงให้เห็นชัดเจนว่าคงไม่มีทางจบเรื่องนี้ง่ายๆในสถาน
เมื่อจ้าวไท่ไหลนึกถึงความใจกว้างที่ผิดปกติของบิดาในวันนี้ อีกทั้งการที่บิดาออกคำสั่งให้เขาหาผู้หญิงมาปรนนิบัติ และกำชับว่าให้หาวิธีทำให้ผู้หญิงคนนั้นตั้งครรภ์ภายในหนึ่งเดือน...ในตอนนั้น จ้าวไท่ไหลไม่ได้คิดลึกซึ้ง เขาเพียงคิดว่าบิดาที่มีอายุมากอยากมีหลานเพื่อสัมผัสความสุขในบั้นปลายชีวิต แต่ตอนนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นชัดเจนว่าเป็นการเตรียมการเพื่อรักษาสายเลือดของตระกูลจ้าวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จ้าวไท่ไหลก็รู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมเย็นเยือกไม่มีใครอยากตาย โดยเฉพาะเมื่อต้องตายด้วยน้ำมือของบิดาตนเอง"อยากรอดชีวิตหรือไม่?"คำถามของหลี่เฉินดังก้องในจิตใจของจ้าวไท่ไหล ราวกับเสียงเย้ายวนจากปีศาจในห้วงลึกจ้าวไท่ไหลสะดุ้ง เขามองหลี่เฉินด้วยความระแวงและไม่ไว้ใจ พร้อมพูดว่า "พระองค์จะใจดีขนาดนั้นเชียวหรือ? หรือพระองค์อยากใช้กระหม่อมเพื่อต่อต้านท่านพ่อ?""คนที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้าคือพ่อของเจ้า แต่ตอนนี้เขาต้องการฆ่าเจ้า เจ้าจะยังยอมรับเขาอยู่หรือ?"หลี่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีจัดการกับจ้าวเสวียนจี โดยไม่ต้องพึ่งเจ้า อีกอย่าง เจ้าจะช่วยอะไรข้าได้? เจ้าทำอะไ
เศษถ้วยชาแตกกระจายพร้อมน้ำที่หกทั่วพื้น จ้าวไท่ไหลกลิ้งไปมาบนพื้นพร้อมกับร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดภาพที่เห็นทำให้คนในตระกูลหลิวต่างสูดหายใจลึกด้วยความตกใจหลิวซือฉุน ซึ่งเป็นแกนหลักของตระกูล ได้แต่เก็บสีหน้าเคร่งขรึม ไม่กล้าเอ่ยปากส่วนหลิวซือต๋าที่ใบหน้าบวมช้ำ มองไปที่หลิวซือฉุน จากนั้นมองไปที่หลี่เฉิน เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมาในทันทีมั่นใจเต็มร้อยองค์รัชทายาททรงแสดงออกชัดเจนว่ามีความสนใจในตัวน้องสาวของเขาเมื่อคิดเช่นนี้ หลิวซือต๋าถึงกับมีท่าทางเบิกบานธุรกิจ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มไม่เพียงแต่เขา ลุงสามแห่งตระกูลหลิว ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ก็มีสายตาที่เปล่งประกายด้วยความหวังเช่นกันคนที่เข้าใจสถานการณ์ ย่อมเข้าใจดีในขณะเดียวกัน จ้าวไท่ไหลที่ยังเจ็บปวดทรมานอยู่บนพื้นร้องออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “กระหม่อมไม่รู้อะไรเลย! ท่านพ่อของบอกว่าจะส่งกระหม่อมไปจินหลิงในเดือนหน้า กระหม่อมเพียงแค่อยากหาอะไรไปทำเงินที่นั่นเพื่อใช้จ่าย หากรู้ว่านี่คือธุรกิจขององค์ชาย กระหม่อมไม่มีทางมายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด!”คำพูดของจ้าวไท่ไหลเป็นความจริงจากใจแต่ในขณะนั้นเอง หลี่เฉินจับประเด็นเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดข
เมื่อถูกหลี่เฉินจับยกขึ้นไว้ ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับชาดิกทั้งตัวเขามองหลี่เฉินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ขาทั้งสองอ่อนแรงจนเกือบทรุดลง หากไม่ใช่เพราะหลี่เฉินจับคอเสื้อไว้ เขาคงคุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว“ขะ...ข้า...”เขาอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายได้แต่หันไปมองจ้าวไท่ไหลด้วยสีหน้าอ้อนวอนและพูดเสียงเบาว่า “พี่จ้าว ช่วยข้าด้วย”จ้าวไท่ไหลขนลุกวาบเขาเป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่เฉินดี และการจะช่วยชายหนุ่มคนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนนี้จ้าวไท่ไหลอยากจะชกเจ้าคนโง่ที่ดึงเขามาเดือดร้อนนี้ให้ตายไปเสีย“อย่าหวังให้เขาช่วยเจ้าเลย ตอนนี้ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด”หลี่เฉินปล่อยคอเสื้อชายหนุ่มลง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก ไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งหมด ไปคุกเข่าเรียงกันที่หน้าประตูร้าน คอยจับตาดูกันเอง ใครลุกขึ้นหรือขยับตัวผิดปกติ ให้คนที่รายงานกลับได้ ส่วนคนที่ถูกรายงาน ให้ลากออกไปทุบให้ตายซะ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มในกลุ่มเขียวคล้ำการที่ต้องไปคุกเข่าหน้าร้านหลันเยว่เซวียนให้คนทั้งถนนเห็น คงเป็นเรื่องที่เสียหน้าอย่างร้ายแรงสองคนใน