ตอนที่หลี่เฉินเอ่ยถึงนายอำเภอเหอเจี้ยน ขุนนางทุกคนต่างก็สงสัยว่าขุนนางตัวเล็กๆ คนนี้มาจากไหน ตามระบบราชการของต้าฉิน นายอำเภอเป็นเพียงขุนนางขั้นที่ 7 ระดับสูง ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางที่ตัวใหญ่เท่าเมล็ดงาแต่ปลัดมณฑลนั้นเป็นขุนนางใหญ่ขั้นที่ 3 ซึ่งถือได้ว่าเป็นขุนนางที่มีความสำคัญ อาจกล่าวได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนดิน ส่วนอีกคนอยู่บนฟ้า พวกเขาไม่เคยเห็นวิธีการส่งเสริมเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ยินคำว่าจ้าวเหอซาน หลายคนก็เข้าใจในทันที องค์รัชทายาทจงใจแทงใจดำจ้าวเสวียนจีหรือไม่?ใครก็ตามที่เป็นขุนนางในเมืองหลวงมานานกว่าสิบปี มีหรือจะไม่รู้ว่าจ้าวเหอซานเป็นญาติห่างๆ ของจ้าวเสวียนจี ในปีนั้นที่จ้าวเหอซานสามารถก้าวหน้าได้ทีละขั้นได้ ล้วนอาศัยจ้าวเสวียนจีคอยสนับสนุน และเลี้ยงดูอย่างแข็งขันในฐานะบทบาทของผู้สืบทอดที่มีศักยภาพ แต่จู่ๆ ทั้งสองก็แยกจากการโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จ้าวเหอซานถูกลดตำแหน่ง และเกือบจะจบเห่ จนกระทั่งตอนนี้ จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวบนเวทีหลักทางการเมืองของจักรวรรดิโดยปากของหลี่เฉินอีกครั้งจ้าวเสวียนจีจ้องหลี่เฉินตาเขม็ง แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดอะไรตื้นๆ เหมือนคนอื่นๆ เขา
“ก่อนหน้านี้พวกเราคุยกันเรื่องนี้มามากแล้ว ข้าได้บอกให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า ศึกที่เสียนเฉานั้นพวกเราต้องสู้ หากไม่สู้ จะยิ่งสู้ได้ยากกว่าเดิมในอนาคต” ดวงตาของหลี่เฉินทอประกายจริงจังกว่าเดิม ขณะหันไปถามจ้าวเสวียนจีว่า “ท่านราชเลขา ท่านคิดอย่างไร?” จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “กระหม่อมยังคงคัดค้าน” “ดี เจ้าสามารถคัดค้านได้” หลี่เฉินโบกมือแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพซู!” ซูเจิ้นถิงกำหมัดตอบ “กระหม่อมอยู่!”“ข้ามีพระราชดำรัสสั่งให้สำนักบัญชาการทหารสูงสุดมีอำนาจในการประสานงานส่งกองทัพไปเสียนเฉาอย่างเต็มที่ กำหนดกลยุทธ์ต่อสู้ นโยบาย และการเคลื่อนพลทหารให้เรียบร้อย จากนั้นก็ส่งรายงานมาที่ตำหนักบูรพา ข้าจะเป็นคนอนุมัติด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องผ่านสำนักราชเลขา”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา จางปี้อู่และฟู่อวี้จือแห่งสำนักราชเลขาก็อยากจะเปิดปากพูด แต่จ้าวเสวียนจีกลับส่ายหน้า ทำให้ทั้งสองต้องหยุดพูดสีหน้าของซูเจิ้นถิงดูตื่นเต้น เขากล่าวเสียงดังว่า “กระหม่อมรับพระราชดำรัสสั่ง!” “แต่ยังมีอีกเรื่อง ใครจะเป็นแม่ทัพหลักในศึกนี้? กองทหารมาหน่วยใดจะเป็นคนเคลื่อนทัพ?” หลี่เฉินกวา
การพูดอย่างกะทันหันของต้วนจิ่นเจียง ทำให้เหล่าขุนนางซึ่งเดิมทีคิดว่าประชุมราชการเช้าที่น่าตกใจจนวิญญาณหลุด และพลิกผันไปมาคงใกล้จะจบลงแล้ว กลับมาอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง จ้าวเสวียนจีมองไปที่ต้วนจิ่นเจียงเป็นคนแรกด้วยแววตาสับสน ในการปรึกษาหารือกันก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีข้อตกลงที่จะให้ต้วนจิ่นเจียงออกหน้าพูดอะไร หรือว่าต้วนจิ่นเจียงอยากจะขอพระราชทานอภัยโทษให้กับบุตรชายที่นี่? หากเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่จ้าวเสวียนจีจะพิจารณาเตะต้วนจิ่นเจียงออกจากสำนักราชเลขา เพราะสมองของเขามีปัญหา หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “พูดมา”ต้วนจิ่นเจียงหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ไม่สบสายตากับใครแล้วกล่าวว่า “กระหม่อม ขอให้เปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่” อากาศในพระที่นั่งไท่เหอราวกับจะแข็งตัวขึ้นมา จ้าวเสวียนจีเบิกตากว้าง และจ้องมองต้วนจิ่นเจียงอย่างไม่เชื่อสายตา ท่าทางสูญเสียสติของเขาคงอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม แต่สายตาของเขายังคงจ้องไปที่ต้วนจิ่นเจียงตาเขม็ง ดวงตาดุจมีดนั้น คล้ายอยากจะสับต้วนจิ่นเจียงเป็นออกเป็นชิ้นๆ ตอนนี้เอง ต้
ใบหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันซีดลงหากเปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่ เรื่องนี้จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเขา มากกว่าการที่สำนักราชเลขาสูญเสียอำนาจในการอ่านสาส์นกราบทูลเสียอีก!เพราะหากคดีได้รับการยืนยันจริงๆ เครือข่ายอำนาจที่เขาทำงานหนักมาหลายสิบปีเพื่อสร้างขึ้นมา ก็จะล่มสลายในพริบตาเวลานี้ความคิดของจ้าวเสวียนจีดุจดั่งทะเลคลั่ง จิตใจของเขากำลังนึกถึงวิธีการรับมือกับเรื่องนี้แต่ทุกวิธีที่เขาคิดออกก็จะถูกปฏิเสธในวินาทีต่อมา สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ไขได้จ้าวเสวียนจีกัดฟันเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงอยากเริ่มการสืบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่อย่างกระทันหัน?”หลี่เฉินกล่าวว่า “คดีนี้ไม่ใช่ข้าที่ต้องการเริ่มการสืบสวน แต่เป็นใต้เท้าต้วนที่เสนอ ข้าแค่รู้สึกว่าคดีนั้นยังไม่มีความจริงปรากฏ และตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาที่พวกเราจะนำความยุติธรรมกลับมาสู่ใต้หล้า สุดท้ายแล้วใครบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์ ใครมีความผิดก็มีความผิด แล้วเหตุใดท่านราชเลขาถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเล่า?”จ้าวเสวียนจียิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “กระหม่อมรู้สึกว่า
หลังจากที่หลี่เฉินเดินออกไปก่อน เหล่าขุนนางที่เหลือในพระที่นั่งไท่เหอต่างก็มองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองจ้าวเสวียนจีที ซูเจิ้นถิงที ไม่มีใครกล้าออกไปก่อน ซูเจิ้นถิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวเสวียนจี เขายิ้มและประสานมือกล่าวว่า “โชคดีที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย ในอนาคต เมื่อเจ้าลูกหมาจะออกไปทำสงครามที่เสียนเฉา คงต้องขอความร่วมมือท่านราชเลขาด้านงานราชการแล้ว” จ้าวเสวียนจียิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เกรงใจไปแล้ว เพื่อจักรวรรดิ เพื่อราชสำนัก นี่เป็นสิ่งที่ควรทำ” เมื่อมองไปที่ต้าเหลียงหลงเชวี่ยในมือของซูเจิ้นถิง จ้าวเสวียนจีก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนนี้ท่านแม่ทัพซูมีกระบี่จักรพรรดิแล้ว แต่กระบี่นี้คมนัก ท่านแม่ทัพโปรดออมมือ” ซูเจิ้นถิงยิ้มจนตาหยีแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทรงไว้วางพระทัย ข้าย่อมไม่กล้าละเลย” จ้าวเสวียนจีส่งเสียงหึอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “แม่ทัพซูโปรดเดินดีๆ ข้าไม่ส่ง!” ซูเจิ้นถิงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า หันหน้าแล้วเดินจากไป ด้านหลังของเขา มีกลุ่มแม่ทัพเดินตามไปด้วย หลังจากพวกซูเจิ้นถิงจากไปแล้ว จ้าวเสวียนจีก็หันไปมองต้วนจิ่นเจียงและฟู่อวี้จืออย่างเย็นชา ก่อนกล่าวว่า “ข้าวางแผนจ
คำพูดของจางปี้อู่ ทำให้สีหน้าของจ้าวเสวียนจีผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเปิดปากพูดว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกลอุบายที่ใช้ไม่ได้ผลเสมอไป สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้จริงๆ ก็คือ...” เมื่อนึกถึงการทรยศของต้วนจิ่นเจียงกับฟู่อวี้จือ จิตสังหารอันเย็นเยือกก็แวบขึ้นมาในดวงตาของจ้าวเสวียนจี จากนั้นก็พูดว่า “เราต้องกำจัดคนทรยศ มิฉะนั้น ใจคนในราชสำนักอาจจะเปลี่ยนแปลงได้” จางปี้อู่เข้าใจความหมายของจ้าวเสวียนจีในทันที สีหน้าของเขาแข็งทื่อ ก่อนประสานมือกล่าวว่า “ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านราชเลขา” ในขณะเดียวกัน หลี่เฉินก็กลับมายังพระที่นั่งสีเจิ้ง เพิ่งจะนั่งลงได้ครู่เดียว จ้าวหรุ่ยก็พรวดพราดเข้ามา “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท!” เสียงของจ้าวหรุ่ยฟังดูสะอื้น ดวงตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ขณะคุกเข่าตรงหน้าหลี่เฉิน หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ “เจ้าทราบข่าวไวขนาดนี้เชียวหรือ ข้าเพิ่งเลิกการประชุมเมื่อครู่ เรื่องที่บิดาของเจ้าได้รับการแต่งตั้ง เจ้าก็ทราบแล้ว?”จ้าวหรุ่ยพูดว่า “เมื่อฝ่าบาททรงตรัสว่าจะแต่งตั้ง ก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดี นอกจากนี้ข่าวก็ยังถูกส่งไปทางบิดาด้วย หม่อมฉันใคร่ครวญอย่างถี
“มณฑลซีซานประสบภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในรอบสองปีที่ผ่านมา ผู้คนอดอยากจนล้มตายไปมากมาย ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจกล่าวได้ว่าทั้งหมู่บ้านอาจไม่มีคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ทะเบียนราษฎร์ทั่วทั้งมณฑลลดลงไปกว่าครึ่ง นี่คือประการแรก”“เจ้าหน้าที่ในมณฑลซีซานอาจกล่าวได้ว่าเน่าเฟะไปทั้งแก่นอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าไปที่นั่น ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เพราะแม้แต่หน่วยบูรพาของสาขาที่นั่นก็ยังโดนกวาดล้าง และต้องใช้เวลาในการก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ดังนั้นคงกล่าวได้ว่าเจ้าโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์ นี่คือประการที่สอง”“มณฑลซีซานในตอนนี้ ปัญหาไม่มีแค่ประชาชนและขุนนาง แต่ยังมีการก่อกบฏที่รุนแรงที่นั่น และกองทัพกบฏก็แข็งแกร่งกว่ากองทัพทหาร ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถจัดกำลังคนเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับกลุ่มกบฏได้ แต่เจ้าซึ่งเป็นปลัดที่เพิ่งมาใหม่ ก็ยังต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลอยู่ดี แม้กระทั่งพวกเขาอาจพยายามกำจัดเจ้า ซึ่งทำให้เจ้าสามารถตายได้ทุกเมื่อ นี่คือประการที่สาม”“นอกจากข้าแล้ว เกือบทั้งราชสำนักไม่มีใครหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นแรงกดดันจากทุกฝ่ายก็จะยิ่งมากขึ้น หากมีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าความผิดพลา
“เจ้าเป็นขันทีที่โหดเหี้ยมมาก”หลี่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเขา แต่จะมอบหมายงานสบายๆ ให้แก่เขาจริงๆ”“สำหรับบางคน การมีชีวิตอยู่ก็มีความหมายในตัวมันเอง”ขณะที่ซานเป่ากำลังจะพูด ด้านนอกก็มีเสียงรายงานเข้ามาว่า“องค์รัชทายาท ชายที่ชี่อโจวผิงอันถือป้ายแขวนเอวของฝ่าบาทมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินตกตะลึงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “รีบให้เขาเข้ามา”ซานเป่าถอยออกไปอีกด้านอย่างรู้ความ ในใจก็นึกใคร่ครวญถึงสิ่งที่องค์รัชทายาทเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ ด้วยสีหน้าสงบนิ่งรอจนโจวผิงอันเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง เมื่อซานเป่าเห็นโจวผิงอันแวบแรกก็พลันชะงักงันในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพา ด้วยข้อมูลในมือของซานเป่าเขาย่อมรู้ตัวตนของโจวผิงอัน แต่เขานึกไม่ออกว่าเหตุใด โจวผิงอัน ไท่พูของเสียนเฉาถึงได้มาปรากฏตัวในพระที่นั่งสีเจิ้ง?“กระหม่อมโจวผิงอัน ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ครั้งนี้ที่พบกัน โจวผิงอันได้เปลี่ยนคำแทนตัวของตัวเองที่ใช้กับหลี่เฉินหลี่เฉินกล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องพิธีรีตอง”เมื่อมองไปที่โจวผิงอัน หลี่เฉินก็กล่าวว่า “พร้อมแล้วหรือไม่?”โจวผิงอันกล่าวอย่างสงบว่า “ฝ่าบาททรงทำงานเ