“เป็นเจ้า!?”ตอนที่หลี่เฉินเห็นโหวอวี้ซู โหวอวี้ซูก็เห็นหลี่เฉินเช่นกันหลังจากประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่ง โหวอวี้ซูก็หัวเราะเบาๆ เขาประสานมือกล่าวกับหลี่เฉินว่า “คุณชาย พวกเราพบกันอีกแล้วนะ”“ฝ่าบาท คนผู้นี้ได้กราบคารวะเป็นศิษย์ของท่านจิ้งจือเมื่อไม่นานมานี้ ในฐานะศิษย์ปิดสำนัก ท่านจิ้งจือก็ให้ความดูแลเป็นอย่างดี”“ส่วนท่านจิ้งจือก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับต้วนจิ่นเจียง ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการแนะนำจากท่านจิ้งจือ และไปมาหาสู่กับต้วนจิ่นเจียงอยู่พักหนึ่ง”สำหรับซานเป่าแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีคนปกปิดเรื่องราวจากเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญเลยอาจกล่าวได้ว่า บุคคลสำคัญและเรื่องราวทุกสิ่งที่พวกเขาเกี่ยวข้องด้วย ล้วนอยู่ในหัวของซานเป่าทั้งหมดระดับของโหวอวี้ซูผู้นี้ไม่ได้สูงมาก แต่ที่เขาถูกซานเป่าจำได้ ก็เพราะว่าต้วนจิ่นเจียงนอกจากนี้ท่านจิ้งจือก็มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ปราชญ์ขงจื๊อในใต้หล้า ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่หน่วยบูรพาคอยจับตามองเนื่องจากโหวอวี้ซูผู้นี้มีความสัมพันธ์กับสองท่านนั้นในเวลาเดียวกัน จึงเป็นเรื่องธ
โหวอวี้ซูได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมา“แม่นางชุ่ยจู ข้านำมาด้วย ก็อยากจะนำไปมอบให้คุณหนูของเจ้าด้วย...”ชุ่ยจูเอียงคอแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “ท่านก็สามารถให้ข้าได้เหมือนกันนี่”ความหมายนั้นเรียบง่ายมาก สามารถมอบสิ่งของให้ได้ แต่ไม่สามารถเห็นตัวคนได้โหวอวี้ซูแทบจะกระอักเลือดออกมา“สิ่งนี้ล้ำค่ามาก...”ชุ่ยจูได้ยินดังนั้น ก็ส่งเสียงหึอย่างไม่พอใจและบอกว่า “มีของล้ำค่าอันใดบ้างที่คุณหนูของข้าไม่เคยเห็น ถ้าเจ้าบอกว่าของนั้นล้ำค่ามาก จนไม่กล้ามอบให้ข้า เช่นนั้นก็ช่างเถอะ เจ้าก็นำกลับไปด้วยซะ”พูดจบ ชุ่ยจูก็กำลังจะปิดประตูแต่จังหวะที่หันหัวมา ก็เห็นหลี่เฉินเข้าพอดีทันใดนั้นชุ่ยจูก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาเมื่อครู่นางไม่เห็นหลี่เฉินจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ทักทายหรือแสดงความเคารพ นี่เป็นอาชญากรรมครั้งใหญ่สาวใช้คนนั้นจ้องหลี่เฉินตาค้าง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ หลี่เฉินจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าอยากพบคุณหนูของเจ้า”ชุ่ยจูรู้สึกตื่นเต้น นางรีบเปิดประตูให้กว้างขึ้นและวิ่งออกมาจากถนนเส้นเล็กๆ เพื่อมาโค้งคำนับให้หลี่เฉิน แต่หลี่เฉินกลับยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องสุภาพ แค่พาข้าเข้าไ
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ซูจิ่นพ่าหน้าแดงเล็กน้อย นางกล่าวอย่างโมโหว่า “ฝ่าบาททรงหยิ่งผยองเกินไปแล้ว!”หลี่เฉินหัวเราะเสียงดัง “อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว โหวอวี้ซูผู้นั้นเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญอันใด ในเมื่อเจ้าไม่สนเขา ไม่รับของขวัญจากเขา เช่นนั้นทำไมต้องไปสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่มีเหตุผลด้วยล่ะ? ในคลังส่วนตัวของข้ามีฉินที่ชื่อลี่ว์ฉี่อยู่ตัวหนึ่ง ข้าจะมอบมันให้เจ้าแทนคำขอโทษดีไหม?”ซูจิ่นพ่าตาเป็นประกายมันเป็นท่าทางของคนตระหนี่เห็นเพชรพลอย หรือคนรักชาเห็นหลงจิ่งที่ดีที่สุดเห็นได้ชัดว่าแรงดึงดูดของลี่ว์ฉี่เหนือกว่า หลายเท่าเพียงแต่ท่าทางนี้ได้หายไปในชั่วพริบตา“ไม่เอาหรอก ข้าจะไม่รับสิ่งตอบแทนโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร”เมื่อเห็นน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวของซูจิ่นพ่า หลี่เฉินก็พยักหน้า “ตกลง หากเจ้าไม่ต้องการก็ช่างเถอะ”“ซานเป่า”ซานเป่าที่ยืนอยู่ไกลๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียก เขาก็รีบวิ่งเข้ามา“บ่าวอยู่”“ลี่ว์ฉี่นั่นจิ่นพ่าไม่ต้องการ แต่สิ่งที่ข้ามอบออกไปแล้วย่อมไม่มีเหตุผลต้องนำกลับคืน ดังนั้นส่งคนไปเผามันซะ” หลี่เฉินพูดเสียงเรียบ
ซูจิ่นพ่าเบิกตากว้างนางไม่ใช่คนเดียวที่ตะลึงกับฉากนี้แม้แต่ชุ่ยจูที่รับใช้อยู่ข้างๆ ก็ยังยืนอึ้งเหมือนคนโง่นางเคยเห็นคุณหนูของนางถูกหยอกล้อเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“มองหาความตายหรืออย่างไร?”เสียงที่น่ากลัวดังมาจากด้านข้างของชุ่ยจูนางเห็นซานเป่ากำลังยืนหันหลังให้กับองค์รัชทายาทและซูจิ่นพ่า เขาก้มหน้าลงกระซิบพูดกับชุ่ยจูชุ่ยจูรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยในจวนแม่ทัพใหญ่ นอกจากนายท่านผู้เฒ่าที่น่าเกรงขามเสียจนทำให้ผู้คนตกใจ แม้แต่นายน้อยก็ไม่ดุตัวเองแต่ขันทีเฒ่ามืดมนผู้นี้กลับมาดุนาง...เมื่อหันหลังให้สองท่านนั้น ชุ่ยจูก็พูดอย่างไม่มีความสุขว่า “เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนข้า!”ซานเป่าแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหด “กวางกงแห่งหน่วยบูรพา”ห้าคำนี้ ทำให้ชุ่ยจูตกใจจนหน้าถอดสีถึงแม้ว่านางจะเติบโตมาในจวนแม่ทัพใหญ่ และไม่สนใจโลกภายนอกมากแค่ไหน แต่ชุ่ยจูก็รู้ว่าหน่วยบูรพาเป็นสถานที่ที่น่ากลัวเพียงใด ส่วนกวางกง...แค่ตะโกนบนถนนก็ทำให้เด็กหยุดร้องไห้ได้แล้ว“เจ้า!!!”โดยไม่รู้เลยว่าสาวใช้คนสนิทของตัวเองนั้นใกล้จะร้องไห้เต็มที ซูจิ่นพ่าในตอนนี้รู้สึกอายจนโมโหแทบตาย นางชักมือกลับมาร
ซูเจิ้นถิงไม่สนใจความคิดที่อ่อนไหวของซูจิ่นพ่า แต่ส่งสัญญาณทางสายตาให้ซูผิงเป่ยเฝ้าอยู่ที่นี่ จากนั้นก็หันหัวเดินจากไปมองตามแผ่นหลังของซูเจิ้นถิง ซูจิ่นพ่าก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ และกล่าวกับซูผิงเป่ยว่า “ใต้หล้านี้มีบิดาเช่นนี้ได้อย่างไร? ราวกับว่าเขาต้องการจะผลักข้าไปหาผู้อื่น!”ซูผิงเป่ยได้ยินดังนั้น เขาก็กลืนคำพูดที่ว่า ‘เจ้ารีบไปดูแลองค์รัชทายาทได้แล้ว ประเดี๋ยวพี่จะยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูให้เอง’ ลงไป เขาไอค่อกแค่กและกล่าวว่า “ท่านพ่อเพียงหวังดีต่อเจ้า”“หวังดีต่อข้าอย่างไร? การรีบร้อนให้ข้าแต่งงานออกไปก็เพราะหวังดีต่อข้างั้นหรือ? เขาทำเพื่อตระกูลซูต่างหาก!”ซูผิงเป่ยขมวดคิ้วพูด “แล้วเจ้าไม่ใช่คนตระกูลซูหรอกหรือ? ทำเพื่อตระกูลซูก็เหมือนทำเพื่อเจ้า?”“จะเหมือนกันได้อย่างไร?”ซูจิ่นพ่ากล่าวด้วยความโกรธ “สิ่งที่พวกท่านเรียกว่าดี คือมรดกสืบทอดของตระกูล ความรุ่งโรจน์ และอำนาจ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของข้า!”ซูผิงเป่ยแสดงสีหน้าเคร่งขรึม แม้กระทั่งเจือความดูถูกเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าที่ฉลาดก็ควรจะเข้าใจเหตุผลถูกต้องไหม ตั้งแต่เล็กจนโต อาหารการกิน เสื
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เฉินซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ ซูจิ่นพ่ามองอย่างไรก็รู้สึกไม่รื่นหูรื่นตานางนั่งหน้าฉินด้วยความโมโห สองมือวางบนตัก และหันหน้าหนีจากหลี่เฉินท่าทางแง่งอนของสาวน้อย ทำให้หลี่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไรก็ตาม เขาไม่สนใจท่าทางไม่มีความสุขของซูจิ่นพ่า และโบกมือเรียกซูผิงเป่ยที่เฝ้าหน้าประตูอย่างซื่อสัตย์อยู่ไกลๆ ซูผิงเป่ยวิ่งเหยาะๆ ไปตามถนนเส้นเล็ก และใบหน้ามีรอยยิ้มประจบประแจงเสียจนซูจิ่นพ่ายิ่งมองยิ่งโมโห นางรู้สึกว่าพี่ชายตัวเองนั้น แทบจะเหมือนกับขันทีซานเป่าเข้าไปทุกที“ฝ่าบาท พระองค์ไม่บรรทมต่ออีกหน่อยหรือ”เมื่อซูผิงเป่ยมาถึงตรงหน้าหลี่เฉิน ก็ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ไม่นอนแล้วล่ะ”หลี่เฉินบิดเอวอย่างเกียจคร้าน แต่ยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้และไม่มีทีท่าว่าจะลุก เขากล่าวว่า “ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากมาย ทำให้นอนไม่หลับ แค่งีบสักพักก็พอ มิฉะนั้นน้องสาวของเจ้าจะยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้น”ซูจิ่นพ่ากล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้าอยากพูดอะไรก็พูดไปสิ จะลากข้ามาเอี่ยวด้วยทำไม เจ้าอยากนอนก็นอน อยากเอนก็เอน ใครจะกล้าว่าอะไรเจ้า”“จิ่นพ่า! เหตุใดถึงกล่าวกับฝ่าบาทเ
การแสดงออกของหลี่เฉินค่อยๆ จริงจังขึ้น เขาพยักหน้าให้ซูผิงเป่ยแล้วกล่าวว่า “หากข้าต้องการจะชนะ ก็ย่อมมีคนอยากให้ข้าพ่ายแพ้ ดังนั้นความยากที่แท้จริงของสงครามในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่สนามรบ แต่เป็นคลื่นกระแสน้ำที่มองไม่เห็นในราชสำนัก”“ด้วยสถานะและภูมิหลังของเจ้า คงจะลดทอนความยากลำบากนี้ลงได้บ้าง ”“แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเจ้าออกเดินทาง แรงกดดันและความยากลำบากจากทุกด้านก็จะถาโถมมาที่เจ้า”“ข้าอยากจะช่วยเจ้า แต่ความจริงก็คือกรมเหล่านั้นในราชสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนเชื่อฟังสำนักราชเลขา ดังนั้นข้าจะบอกเจ้าอย่างซื่อสัตย์ ทุกอย่างเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ข้ากับบิดาของเจ้าก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้มากนัก”“ตอนนี้เจ้าเหมือนกับเป้าธนูที่ข้าผลักออกไป ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับโจรสลัดตงอิ๋ง แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับทวนเปิดเผย เกาทัณฑ์ลับของราชสำนักอีก”“ดังนั้นเจ้าต้องไม่คิดว่านี่คือโอกาสทองที่ข้ามอบให้เจ้า เพราะถ้าสงครามครั้งนี้ล้มเหลว การสูญเสียของเจ้านั้นเพียงเล็กน้อย แต่ชื่อเสียงทั้งหมดของตระกูลซูก็จะล่มสลาย”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยตึงเครียดแม้ว่าก่อนหน้านี้ซูเจิ้นถิงจะบ
“ได้ๆ เจ้าคือซูผิงเป่ย อ๋องโหวแม่ทัพไม่ใช่ว่าเป็นเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์หรอกหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดว่า เจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดในบรรดาเมล็ดพันธุ์ทั้งปวง”ซูจิ่นพ่าร้องเหอะ ยกชายกระโปรงขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากลานของตัวเอง นางเดินไปพลางบ่นไปพลางว่า “ข้าพูดแบบหนึ่ง ตัวเจ้าคิดอีกแบบหนึ่ง แล้วจะยังมีประโยชน์อะไรล่ะ? เจ้าต้องมีคนข้างนอกให้กลัวจริงๆ บารมีไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาได้ โดยอาศัยแค่คำพูด”ตอนนี้เองภายในห้องหนังสือ หลี่เฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เจ้าบ้านของซูเจิ้นถิง ส่วนซูเจิ้นถิงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้แขก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านรักถนอมบุตรชายของท่านจริงๆ เพียงแต่ว่าการไม่บอกความจริงกับเขา ไม่ให้เขาได้เตรียมตัวใดๆ จนถึงตอนที่ทุกอย่างวุ่นวายขึ้นมา เขาจะไม่ลำบากหรอกหรือ”ซูเจิ้นถิงยิ้มอย่างขมขื่น “แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนเร้นจากสายพระเนตรของฝ่าบาทได้ เพียงแต่ข้าได้วางแผนจัดการบางอย่างให้กับเขาแล้ว แม้ว่าสำนักราชเลขาจะใช้มือเดียวคลุมฟ้า แต่หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลซูก็มีเส้นสายมากมายเช่นกัน”หลี่เฉินโบกมือแล้วกล่าวว่า “อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว เส้นสายที่ท่านมี หากใช้ออกไปแล้วก็เท่ากับหม