“ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เฉินซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ ซูจิ่นพ่ามองอย่างไรก็รู้สึกไม่รื่นหูรื่นตานางนั่งหน้าฉินด้วยความโมโห สองมือวางบนตัก และหันหน้าหนีจากหลี่เฉินท่าทางแง่งอนของสาวน้อย ทำให้หลี่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไรก็ตาม เขาไม่สนใจท่าทางไม่มีความสุขของซูจิ่นพ่า และโบกมือเรียกซูผิงเป่ยที่เฝ้าหน้าประตูอย่างซื่อสัตย์อยู่ไกลๆ ซูผิงเป่ยวิ่งเหยาะๆ ไปตามถนนเส้นเล็ก และใบหน้ามีรอยยิ้มประจบประแจงเสียจนซูจิ่นพ่ายิ่งมองยิ่งโมโห นางรู้สึกว่าพี่ชายตัวเองนั้น แทบจะเหมือนกับขันทีซานเป่าเข้าไปทุกที“ฝ่าบาท พระองค์ไม่บรรทมต่ออีกหน่อยหรือ”เมื่อซูผิงเป่ยมาถึงตรงหน้าหลี่เฉิน ก็ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ไม่นอนแล้วล่ะ”หลี่เฉินบิดเอวอย่างเกียจคร้าน แต่ยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้และไม่มีทีท่าว่าจะลุก เขากล่าวว่า “ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากมาย ทำให้นอนไม่หลับ แค่งีบสักพักก็พอ มิฉะนั้นน้องสาวของเจ้าจะยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้น”ซูจิ่นพ่ากล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้าอยากพูดอะไรก็พูดไปสิ จะลากข้ามาเอี่ยวด้วยทำไม เจ้าอยากนอนก็นอน อยากเอนก็เอน ใครจะกล้าว่าอะไรเจ้า”“จิ่นพ่า! เหตุใดถึงกล่าวกับฝ่าบาทเ
การแสดงออกของหลี่เฉินค่อยๆ จริงจังขึ้น เขาพยักหน้าให้ซูผิงเป่ยแล้วกล่าวว่า “หากข้าต้องการจะชนะ ก็ย่อมมีคนอยากให้ข้าพ่ายแพ้ ดังนั้นความยากที่แท้จริงของสงครามในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่สนามรบ แต่เป็นคลื่นกระแสน้ำที่มองไม่เห็นในราชสำนัก”“ด้วยสถานะและภูมิหลังของเจ้า คงจะลดทอนความยากลำบากนี้ลงได้บ้าง ”“แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเจ้าออกเดินทาง แรงกดดันและความยากลำบากจากทุกด้านก็จะถาโถมมาที่เจ้า”“ข้าอยากจะช่วยเจ้า แต่ความจริงก็คือกรมเหล่านั้นในราชสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนเชื่อฟังสำนักราชเลขา ดังนั้นข้าจะบอกเจ้าอย่างซื่อสัตย์ ทุกอย่างเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ข้ากับบิดาของเจ้าก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้มากนัก”“ตอนนี้เจ้าเหมือนกับเป้าธนูที่ข้าผลักออกไป ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับโจรสลัดตงอิ๋ง แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับทวนเปิดเผย เกาทัณฑ์ลับของราชสำนักอีก”“ดังนั้นเจ้าต้องไม่คิดว่านี่คือโอกาสทองที่ข้ามอบให้เจ้า เพราะถ้าสงครามครั้งนี้ล้มเหลว การสูญเสียของเจ้านั้นเพียงเล็กน้อย แต่ชื่อเสียงทั้งหมดของตระกูลซูก็จะล่มสลาย”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยตึงเครียดแม้ว่าก่อนหน้านี้ซูเจิ้นถิงจะบ
“ได้ๆ เจ้าคือซูผิงเป่ย อ๋องโหวแม่ทัพไม่ใช่ว่าเป็นเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์หรอกหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดว่า เจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดในบรรดาเมล็ดพันธุ์ทั้งปวง”ซูจิ่นพ่าร้องเหอะ ยกชายกระโปรงขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากลานของตัวเอง นางเดินไปพลางบ่นไปพลางว่า “ข้าพูดแบบหนึ่ง ตัวเจ้าคิดอีกแบบหนึ่ง แล้วจะยังมีประโยชน์อะไรล่ะ? เจ้าต้องมีคนข้างนอกให้กลัวจริงๆ บารมีไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาได้ โดยอาศัยแค่คำพูด”ตอนนี้เองภายในห้องหนังสือ หลี่เฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เจ้าบ้านของซูเจิ้นถิง ส่วนซูเจิ้นถิงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้แขก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านรักถนอมบุตรชายของท่านจริงๆ เพียงแต่ว่าการไม่บอกความจริงกับเขา ไม่ให้เขาได้เตรียมตัวใดๆ จนถึงตอนที่ทุกอย่างวุ่นวายขึ้นมา เขาจะไม่ลำบากหรอกหรือ”ซูเจิ้นถิงยิ้มอย่างขมขื่น “แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนเร้นจากสายพระเนตรของฝ่าบาทได้ เพียงแต่ข้าได้วางแผนจัดการบางอย่างให้กับเขาแล้ว แม้ว่าสำนักราชเลขาจะใช้มือเดียวคลุมฟ้า แต่หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลซูก็มีเส้นสายมากมายเช่นกัน”หลี่เฉินโบกมือแล้วกล่าวว่า “อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว เส้นสายที่ท่านมี หากใช้ออกไปแล้วก็เท่ากับหม
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้หลี่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็โกรธจัดขึ้นมา“ฆ่าตัวตาย!? มันเป็นการฆ่าตัวตายหรือการฆาตกรรม!?”ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ แก่นแท้ของสถานการณ์ทั้งหมดไม่ใช่จ้าวเสวียนจีหรือแม้แต่หลี่เฉิน แต่เป็นต้วนจิ่นเจียงต้วนจิ่นเจียงสามารถเสี่ยงชีวิตและทรยศจ้าวเสวียนจี ก็เพื่อรักษาชีวิตของต้วนจั่งเหมียน บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้วนจั่งเหมียนมีความสำคัญต่อเขามากเพียงใดแต่ตอนนี้ต้วนจั่งเหมียนกลับเสียชีวิตคราวนี้สถานการณ์ที่แต่เดิมชัดเจน กลับกลายเป็นยุ่งอีนุงตุงนังขึ้นมา และการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้ทำลายสถานการณ์โดยรวมที่หลี่เฉินจัดเตรียมมาอย่างอุตสาหะเช่นนี้แล้วจะไม่ให้หลี่เฉินโกรธได้อย่างไรเห็นได้ชัดว่าซานเป่าก็รู้ว่าการตายของต้วนจั่งเหมียนนั้นจะก่อให้เกิดความวุ่นวายมากเพียงใด เขาจึงก้มหน้าลง ไม่กล้าเงยหน้ามองสีหน้าหลี่เฉิน “ข่าวนี้เพิ่งออกมาจากเรือนจำ เดิมทีต้วนจั่งเหมียนก็ได้รับการปกป้องจากองครักษ์เสื้อแพรเป็นอย่างดี อาหารการกินก็ดูแลเป็นอย่างดี นอกจากอิสรภาพแล้ว การใช้ชีวิตของเขาก็ดีพอๆ กับตอนที่อยู่ข้างนอก และตลอดเวลาที่ผ่านม
“ฝ่าบาท เราต้องไม่ปล่อยให้ต้วนจิ่นเจียงทำเรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้” ซูเจิ้นถิงยังคงมีสติ และเข้าใจประเด็นสำคัญในทันที เขารีบเอ่ยปากแนะนำหลี่เฉินไม่พูดอะไร สายตาของเขาจ้องมองไปที่ซานเป่า “จากที่นี่ไปเรือนจำไกลแค่ไหน?”ซานเป่าไม่กล้าหยุดคิด เขาหลุดปากพูดทันทีว่า “ใช้ม้าเร็วก็ประมาณครึ่งเค่อ”“เจ้ารีบไปพาต้วนจิ่นเจียงมาหาข้าที่นี่” หลี่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมซานเป่าโขกหัวให้หลี่เฉินอีกครั้ง จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อไปจัดการธุระหลี่เฉินหันไปพูดกับซูเจิ้นถิงว่า “ท่านแม่ทัพซู เตรียมห้องที่เงียบสงบให้ข้าจัดการเรื่องราวต่างๆ หน่อย”“มีห้องข้างพร้อมพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อซูเจิ้นถิงกล่าวจบ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบพูดว่า “ต้วนจิ่นเจียงผู้นั้นดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการมาหลายปี แต่ต่อมา ก็ถูกเสนอชื่อให้เป็นมหาอำมาตย์ในสำนักราชเลขา อำนาจของเขาในกรมยุทธนาการค่อนหยั่งลึกมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นคนของเขา แม้แต่จ้าวเสวียนจีก็ไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ ควรจะให้ผิงเป่ยเคลื่อนหน่วยองครักษ์อวี่หลินเข้ามาในเมืองหลวงหรือไม่?”หลี่เฉินหยุดชั่วคราวและโบกมือ “ไม่จำเป็น ต้วนจิ่นเจียงไม่กล้าขนาดน
“เจ้าแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ แต่ข้าตั้งใจจะสู้ตาย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้ทำผิด!”คนรุ่นเดียวกันก้มหน้ามองคอเสื้อของตัวเองที่ถูกกระชาก เวลานี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับเช่นไรดี แต่ตอนนั้นเองซานเป่าก็มาถึงซานเป่าเฆี่ยนม้าเร็วอย่างว่องไว แทบจะเหาะมายังที่เกิดเหตุและตามมาด้วยองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพากลุ่มใหญ่“ข้าน้อยพบท่านกวางกง!”ท่ามกลางเสียงทักทายดังเซ็งแซ่ ซานเป่าก็เดินหน้าอึมครึมมาหาต้วนจิ่นเจียงต้วนจิ่นเจียงรู้ว่าเจ้านายตัวจริงกำลังมา เขาจึงปล่อยหัวหน้าคนนั้นไปทั้งสองสบตากันชั่วครู่ แต่จู่ๆ ซานเป่าก็ยิ้มออกมาเขาชี้ไปที่บาดแผลบนหน้าผากแล้วพูดว่า “ใต้เท้าต้วน ท่านเห็นนี่ไหม?”ต้วนจิ่นเจียงพูดอย่างเย็นชา “ไปพาลูกชายของข้าออกมา!”ซานเป่าคล้ายกับว่าไม่ได้ยิน เขาถามเองตอบเองว่า “ฝ่าบาททรงใช้หนังสือปาใส่”“ไปพาลูกชายของข้าออกมา!!” ต้วนจิ่นเจียงขึ้นเสียง ความอดทนของเขาถึงขีดสุดสิ้นเสียงของเขา เหล่าผู้คุ้มกันคนสนิทหลายสิบนาย ก็ชักอาวุธออกมาองครักษ์เสื้อแพรเห็นดังนั้นก็รีบตีวงล้อมทันที แต่ละคนต่างวางมือที่ดาบข้างเอวสถานการณ์ตึงเครียดทุกขณะซานเป่ายกมือขึ้น เพื่อให้องครัก
แม้เขาจะรู้ว่าลูกชายของตัวเองโชคร้ายมากกว่าดี แต่ต้วนจิ่นเจียงก็ยังไม่อยากจะยอมรับ แม้ว่าหลี่เฉินจะยืนยันด้วยตัวเองก็ตามเขาหลั่งน้ำตา และทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องที่น่าสังเวชออกมา ร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดหลี่เฉินมองดูต้วนจิ่นเจียงอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เขาร้องไห้จนเสร็จแล้วพูดว่า “คนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ ขอแสดงความเสียใจกับใต้เท้าต้วนด้วย”ต้วนจิ่นเจียงเงยหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นถึงกระดูก และเต็มไปด้วยน้ำตาพลางพูดว่า “ลูกชายข้าอยู่ในคุก ฝ่าบาททรงรับปากข้าว่าเขาจะปลอดภัย!” “ใต้หล้านี้ ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ จ้าวเสวียนจีควบคุมราชสำนักมาหลายปี การจะแทรกตัวหมากสักตัวเข้ามาในหน่วยบูรพา มันเป็นเรื่องยากจริงหรือ?” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบเรื่องเช่นนี้ นอกจากจ้าวเสวียนจีแล้ว หลี่เฉินก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครที่มีแรงจูงใจและความสามารถทำเช่นนั้นได้เขาต้องการกำจัดต้วนจิ่นเจียงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงจัดการตนเองด้วยการสังหารต้วนจั่งเหมียนนั้น ทำให้ต้วนจิ่นเจียงคลุ้มคลั่งและหาทางแก้แค้นเขายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เป็นแผนการที่รวดเร็วและได้ผลโดยพลันพยัคฆ์แก่ตัวนี้หมอ
ทหารเดนตายสามพันนายการข่มขู่นี้ ทั้งน่ากลัวและตรงไปตรงมายิ่งกว่าคำขู่อื่นๆ อย่างแน่นอนต้วนจิ่นเจียงดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเคียดแค้น เขาพูดว่า “ตระกูลต้วนของข้าสิ้นสุดลงแล้ว อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ! สามารถลากคนอื่นๆ ลงหลุมตามไปด้วยมากมาย ข้าต้วนจิ่นเจียงหรือลูกชายของข้าต้วนจั่งเหมียน ก็จะทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์!”หลี่เฉินหรี่ตาและตะโกนเรียกอย่างเย็นชา “ซานเป่า!”ด้านนอก ซานเป่าผู้ที่ไม่กล้าจะออกห่างจากประตูแม้แต่ชุ่นเดียวก็พุ่งเข้ามา เขาคุกเข่าต่อหน้าหลี่เฉินอย่างนอบน้อม และเอาหัวโขกศีรษะด้วยท่าทางที่ถ่อมตัว ต้วนจิ่นเจียงมองเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา และแสดงท่าทางไม่สนใจในความคิดของเขา ตัวเองนั้นก็เหมือนตายไปแล้ว ไม่ว่าหลี่เฉินจะทำอะไร เขาก็ไม่กลัวทั้งนั้นหากผู้คนไม่แสวงหา ก็จะไม่มีความปรารถนา และจะไม่มีช่องโหว่การประนีประนอมก่อนหน้านี้ของต้วนจิ่นเจียงนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตต้วนจั่งเหมียนลูกชายของเขา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทรยศต่อจ้าวเสวียนจี และส่งเสริมการสืบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินอย่างแข็งขัน เพราะรู้ว่าหลี่เฉินต้อ