ทหารเดนตายสามพันนายการข่มขู่นี้ ทั้งน่ากลัวและตรงไปตรงมายิ่งกว่าคำขู่อื่นๆ อย่างแน่นอนต้วนจิ่นเจียงดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเคียดแค้น เขาพูดว่า “ตระกูลต้วนของข้าสิ้นสุดลงแล้ว อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ! สามารถลากคนอื่นๆ ลงหลุมตามไปด้วยมากมาย ข้าต้วนจิ่นเจียงหรือลูกชายของข้าต้วนจั่งเหมียน ก็จะทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์!”หลี่เฉินหรี่ตาและตะโกนเรียกอย่างเย็นชา “ซานเป่า!”ด้านนอก ซานเป่าผู้ที่ไม่กล้าจะออกห่างจากประตูแม้แต่ชุ่นเดียวก็พุ่งเข้ามา เขาคุกเข่าต่อหน้าหลี่เฉินอย่างนอบน้อม และเอาหัวโขกศีรษะด้วยท่าทางที่ถ่อมตัว ต้วนจิ่นเจียงมองเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา และแสดงท่าทางไม่สนใจในความคิดของเขา ตัวเองนั้นก็เหมือนตายไปแล้ว ไม่ว่าหลี่เฉินจะทำอะไร เขาก็ไม่กลัวทั้งนั้นหากผู้คนไม่แสวงหา ก็จะไม่มีความปรารถนา และจะไม่มีช่องโหว่การประนีประนอมก่อนหน้านี้ของต้วนจิ่นเจียงนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตต้วนจั่งเหมียนลูกชายของเขา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทรยศต่อจ้าวเสวียนจี และส่งเสริมการสืบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินอย่างแข็งขัน เพราะรู้ว่าหลี่เฉินต้อ
คำพูดของหลี่เฉินแทบจะทำให้ต้วนจิ่นเจียงเปลือยเปล่าอันที่จริง หลังจากที่ลูกชายเกิดเรื่อง เขาก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของหลี่เฉินในการทรยศจ้าวเสวียนจี ดังนั้นเขาจึงเริ่มหาทางออกแล้วดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธนาการและเป็นมหาอำมาตย์แห่งสำนักราชเลขาในราชสำนักมาหลายปี ต้วนจิ่นเจียงย่อมมีวิธีลับเป็นของตัวเองกรมยุทธนาการเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจมากที่สุด รองจากกรมขุนนางเท่านั้นเขาสามารถควบคุมกรมยุทธนาการมาหลายปีแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ จ้าวเสวียนจีที่คิดจะแทรกแซงกรมยุทธนาการก็ยังไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทางเมืองหรือความสามารถที่แท้จริง ต้วนจิ่นเจียงก็นับอยู่ในระดับสูงสุดดังนั้นหลังจากที่เขาตระหนักว่าตัวเองจะต้องทรยศต่อจ้าวเสวียนจี และรู้ว่า ไม่ว่าตำหนักบูรพาหรือสำนักราชเลขาจะชนะในท้ายที่สุด ตัวเองนั้นไม่มีทางจบลงด้วยดีดังนั้นเขาจึงวางแผนเส้นทางหลบหนี จัดเตรียมทหารเดนตายเข้าสู่เมืองหลวง หากเรื่องราวถึงจุดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือหนี สำหรับการก่อกบฏนั้น เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ และไม่กล้าที่จะคิดไม่ว่าใต้หล้าจะวุ่นวายเพียงใด มันก็เป็นใต้หล้าของต้าฉิน เป็นข
ต้วนจิ่นเจียงรับการโจมตีที่ท้อง เขาแหกปากดังลั่นแล้วล้มลงไปที่พื้นแต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด เขาก็กล่าวอย่างตกใจ “จะทำอย่างไรดี?”“ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ?”หลี่เฉินกล่าวเสียงเย็นชา “มันสายเกินไปแล้วที่จะพูดอะไรตอนนี้ จ้าวเสวียนจีคงจะฉวยโอกาสชุลมุนตัดหัวข้า!”ซูเจิ้นถิงพูดอย่างใจร้อนว่า “ฝ่าบาท รีบเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดธรรมดา กระหม่อมจะส่งฝ่าบาทเสด็จออกจากเมืองหลวงอย่างปลอดภัย”“ออกจากเมืองหลวง? เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง?”หลี่เฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเขาไม่ได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น และไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพียงเพื่ออวดตัวตรงกันข้าม ยิ่งสถานการณ์ตึงเครียด จิตใจของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นหลังจากลูกเตะแห่งความเกลียดชัง หลี่เฉินก็เหมือนได้ระบายความโกรธออกมา และตอนนี้เขาก็สงบลงแล้ว“ข้าออกไปไม่ได้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถออกไปได้ แต่ยังต้องรอพวกเขาอยู่ที่นี่อย่างเปิดเผย”หลี่เฉินเงยหน้ามองซูเจิ้นถิงแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพซู ท่านมั่นใจแค่ไหนเรื่องกองทัพ?”ซูเจิ้นถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “หากเป็นกองทัพอื่น กระหม่อมมั่นใจห้าส่วน แต่ถ้าเป็นค่ายหนานต้า กระหม่อมมั่นใจมากที่สุดแค่หนึ่งส่ว
ตอนนี้เอง ประตูหลักของจวนแม่ทัพใหญ่ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขณะเปิดออก ข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งก็เดินออกมา และแยกกันยืนทั้งสองฝั่ง จากนั้นซูผิงเป่ยก็นำกลุ่มองครักษ์ส่วนตัวออกมาจากจวนหลังจากนั้น ซูเจิ้นถิงและคนอื่นๆ ก็เดินออกมา ก่อนจะแยกออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาเพื่อเข้าร่วมการปกป้ององค์รัชทายาทกับซูผิงเป่ย เว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ จากนั้นหลี่เฉินก็ก้าวเท้าออกมาพร้อมด้วยซูจิ่นพ่า และยืนอยู่หน้าประตูจวนแม่ทัพใหญ่ หากมองอย่างเป็นกลาง การปรากฏตัวของทหารองครักษ์อวี่หลินค่ายหนานต้า ดูดีกว่าค่ายเป่ยต้าอยู่ไม่น้อยไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาแต่ละคนกล้าหาญและมีทักษะมากเพียงใด แต่อย่างน้อยจิตวิญญาณของทหารก็ยังมีอยู่ และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยไม่ตื่นตระหนกในขณะที่เคลื่อนพลเข้ามาพร้อมกัน ทหารนับพันก็ไม่มีความวุ่นวาย ราวกับว่าพวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแค่จุดนี้เพียงอย่างเดียว ก็สามารถมองออกได้ว่าผู้นำของค่ายหนานต้าเป็นคนมีความสามารถเมื่อหลี่เฉินยืนนิ่ง ทหารนับพันคนก็ยืนนิ่ง ซึ่งมีผู้นำสองสามคนคอยบัญชา ในบรรดาคนเหล่านั้น มีชายร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่งที่มีใบหน้าดุร้ายก้าวออกมาเมื่อพิจารณาจา
เสียงตะโกนถามนี้ ดังกึกก้องราวอสนีบาตร เจือไปด้วยความน่าเกรงขามหลี่เฉินเพียงคนเดียว แม้จะต้องเผชิญหน้ากับทหารชั้นสูงของต้าฉินนับพัน แต่กลับไม่แสดงความขลาดกลัวออกมา พลังอำนาจของเขาไม่ได้ถูกลดทอนแต่อย่างได้การแสดงออกเช่นนี้ ก็สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจบางส่วนในใจของเว่ยตังเซียงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ม้าศึกคู่กายคล้ายจะสัมผัสถึงความไม่มั่นใจของเจ้าของมันได้ มันจึงย่ำกีบอย่างกระสับกระส่าย ส่ายหัวแล้วพ่นจมูกการพ่นจมูกนี้ ได้ทำลายความเงียบสงบในทันที เว่ยตังเซียงเปิดปากพูด “องค์รัชทายาททรงไร้คุณธรรม ตั้งแต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็สังหารขุนนางไปไม่รู้มากมายเพียงใด ทำให้ผู้คนในราชสำนักจิตใจไม่สงบ คงจะดีไม่น้อยหากสามารถบรรลุความสำเร็จทางการเมืองได้ แต่จวบจนถึงตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ยังเสพติดอยู่กับการฆ่าฟัน ไม่เพียงแต่ไม่สร้างคุณูปการให้กับประเทศ แต่ยังก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง เจ้าดูผู้ประสบภัยในใต้หล้าสิว่ามีมากเพียงใด ประชาชนอดอยากลำเข็ญ เจ้าในฐานะองค์รัชทายาทกลับไม่คิดจะช่วยประชาชน แต่กลับปากหวานก้นเปรี้ยวไปวันๆ!”“องค์จักรพรรดิเป็นราชันย์ทรงพระปรีชา เพียงแต่ตอนนี้พระวรกายมังก
“เรื่องราวในวันนี้ องค์ชายแปดมีความมั่นใจเพียงใด?” จ้าวเสวียนจีถามหลี่อิ๋นหู่ยืนตัวตรง และกลับลงไปนั่งใหม่ เขาพิจารณาอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “ในความคิดของข้า ประมาณหกส่วน”จ้าวเสวียนจียิ้มน้อยๆ “ท่านและข้าเตรียมการมาเป็นอย่างดี อันดับแรกบีบให้ต้วนจิ่นเจียงก่อความวุ่นวายก่อน จากนั้นก็อาศัยชื่อของต้วนจิ่นเจียง ยัดเรื่องก่อกบฏใส่หัวเขา และยังมีทหารค่ายหนานต้าทั้งหมดเข้าร่วม แต่พระองค์มั่นใจเพียงหกส่วน?”หลี่อิ๋นหู่กล่าว “ความยากลำบากอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่”หลี่อิ๋นหู่กำหมัดพูด “ขวัญกำลังใจของทหารในใต้หล้า สามส่วนอยู่ที่ราชสำนัก สามส่วนอยู่ที่ราชวงศ์ และสามส่วนที่เหลืออยู่ที่ตระกูลซู นี่ไม่ใช่แค่การพูดเฉยๆ” “บารมีของเทพสงครามตอนนั้นยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เทพสงครามจากไปแล้วเป็นสิบปี แต่ยังไม่ถึงยี่สิบ ดังนั้นเหล่าแม่ทัพที่เคยได้รับการสนับสนุนและปกป้องจากเทพสงคราม ซึ่งบัดนี้ ถูกกระจายไปทั่วประเทศ ดังนั้นขวัญกำลังใจของทหารจึงยังคงมีอยู่ ในบางครั้งก็มีการกระตุ้นให้เกิดความเลื่อมใสซ้ำ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยมากก็ตาม” “บวกกับทหารจากทั่วทุกมุมประเทศที่เข้าร่วมกองทัพ ต่างก็ได้รับกฎการฝึ
ธนูลับ!โจมตีองค์รัชทายาท!ประเด็นสำคัญสองคำนี้ ทำให้จ้าวเสวียนจีขมวดคิ้วธนูลับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาเตรียมไว้ในลายลักษณ์อักษรของเขานั้น ก็ไม่ได้เขียนให้ทำเช่นนั้น หรือถ้าหากจะทำ ก็ต้องโจมตีให้ตายในครั้งเดียวดวงตาของจ้าวเสวียนจีมองไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ท่าทางของหลี่อิ๋นหู่นั้นดูสงบมาก ไม่มีข้อพิรุธใดๆ“หาทางขวางคนของค่ายเป่ยต้า”จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงขรึม “ยืดเวลาให้นานที่สุด”หลังจากสายลับจากไปแล้ว จ้าวเสวียนจีก็พูดกับหลี่อิ๋นหู่ว่า “องค์ชายแปด ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนว่ามีบางคนต้องการกวนน้ำให้ขุ่น ในฐานะราชเลขา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าไม่ออกหน้าพูดก็คงจะ...”หลี่อิ๋นหู่รีบลุกขึ้นยืน “ข้าไม่สามารถรบกวนท่านนาน เช่นนั้นข้าจะกลับตำหนักก่อน”จ้าวเสวียนจีพยักหน้าพูด “องค์ชายแปดโปรดกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดี อย่าถูกคนพบเห็น”“เข้าใจแล้ว”หลังจากหลี่อิ๋นหู่กล่าวคำอำลา เขาก็เดินออกจากห้องหนังสือของจ้าวเสวียนจีอย่างไม่เร่งรีบ และเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างเงียบเชียบ และในที่สุดก็ออกจากจวนจ้าวไป ในตรอกเล็กๆ มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ เขาก้
องครักษ์เสื้อแพรรีบเปิดทางให้ทันที มันเพียงพอสำหรับคนคนหนึ่งเดินเข้ามาเว่ยตังเซียงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลรอจนเว่ยตังเซียงเดินเข้ามาใกล้หลี่เฉิน เฉินทงก็ก้าวเข้าไปขวางทางเว่ยตังเซียง และกล่าวอย่างมาดร้ายว่า “ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ พบฝ่าบาทต้องมอบอาวุธ! เจ้าถือมีดมาเข้าเฝ้าเช่นนี้ อยากตายหรือไร?”เว่ยตังเซียงหัวเราะเยาะ “วันนี้ข้ามาที่นี่ เพื่อกวาดล้างคนเลวข้างกายองค์จักรพรรดิ ยังจะกลัวตายหรือไง!?”เฉินทงโมโห คิดจะลงมือ แต่กลับได้ยินหลี่เฉินกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ปล่อยให้เขาเข้ามา เขากล้านำกองทัพเข้ามากวาดล้างคนเลวข้างกายจักรพรรดิ แล้วจะมอบอาวุธให้ได้อย่างไร?”เฉินทงจ้องมองเว่ยตังเซียงด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะหลีกทางให้อย่างไม่เต็มใจเว่ยตังเซียงยิ้มเยาะ จากนั้นก็เดินอ้อมเฉินทงไปหาหลี่เฉิน“คนที่ยิงธนูเมื่อครู่ ปรากฏตัวขึ้นในกองทหารด้านหลังเจ้า เจ้ารู้จักหรือไม่?” หลี่เฉินถามเว่ยตังเซียงมีสีหน้าลังเลและพูดว่า “ข้าไม่รู้จักเขา”“ตอนนี้เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังถูกคนใช้เหมือนคนโง่?” หลี่เฉินถาม เว่ยตังเซียงเผยสีหน้าโมโหขึ้นมา และกล่าวว่า “แต่เรื่องที่ประชาชนอดอยากเป็นความจริง!”