ตอนนี้เอง ประตูหลักของจวนแม่ทัพใหญ่ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขณะเปิดออก ข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งก็เดินออกมา และแยกกันยืนทั้งสองฝั่ง จากนั้นซูผิงเป่ยก็นำกลุ่มองครักษ์ส่วนตัวออกมาจากจวนหลังจากนั้น ซูเจิ้นถิงและคนอื่นๆ ก็เดินออกมา ก่อนจะแยกออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาเพื่อเข้าร่วมการปกป้ององค์รัชทายาทกับซูผิงเป่ย เว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ จากนั้นหลี่เฉินก็ก้าวเท้าออกมาพร้อมด้วยซูจิ่นพ่า และยืนอยู่หน้าประตูจวนแม่ทัพใหญ่ หากมองอย่างเป็นกลาง การปรากฏตัวของทหารองครักษ์อวี่หลินค่ายหนานต้า ดูดีกว่าค่ายเป่ยต้าอยู่ไม่น้อยไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาแต่ละคนกล้าหาญและมีทักษะมากเพียงใด แต่อย่างน้อยจิตวิญญาณของทหารก็ยังมีอยู่ และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยไม่ตื่นตระหนกในขณะที่เคลื่อนพลเข้ามาพร้อมกัน ทหารนับพันก็ไม่มีความวุ่นวาย ราวกับว่าพวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแค่จุดนี้เพียงอย่างเดียว ก็สามารถมองออกได้ว่าผู้นำของค่ายหนานต้าเป็นคนมีความสามารถเมื่อหลี่เฉินยืนนิ่ง ทหารนับพันคนก็ยืนนิ่ง ซึ่งมีผู้นำสองสามคนคอยบัญชา ในบรรดาคนเหล่านั้น มีชายร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่งที่มีใบหน้าดุร้ายก้าวออกมาเมื่อพิจารณาจา
เสียงตะโกนถามนี้ ดังกึกก้องราวอสนีบาตร เจือไปด้วยความน่าเกรงขามหลี่เฉินเพียงคนเดียว แม้จะต้องเผชิญหน้ากับทหารชั้นสูงของต้าฉินนับพัน แต่กลับไม่แสดงความขลาดกลัวออกมา พลังอำนาจของเขาไม่ได้ถูกลดทอนแต่อย่างได้การแสดงออกเช่นนี้ ก็สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจบางส่วนในใจของเว่ยตังเซียงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ม้าศึกคู่กายคล้ายจะสัมผัสถึงความไม่มั่นใจของเจ้าของมันได้ มันจึงย่ำกีบอย่างกระสับกระส่าย ส่ายหัวแล้วพ่นจมูกการพ่นจมูกนี้ ได้ทำลายความเงียบสงบในทันที เว่ยตังเซียงเปิดปากพูด “องค์รัชทายาททรงไร้คุณธรรม ตั้งแต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็สังหารขุนนางไปไม่รู้มากมายเพียงใด ทำให้ผู้คนในราชสำนักจิตใจไม่สงบ คงจะดีไม่น้อยหากสามารถบรรลุความสำเร็จทางการเมืองได้ แต่จวบจนถึงตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ยังเสพติดอยู่กับการฆ่าฟัน ไม่เพียงแต่ไม่สร้างคุณูปการให้กับประเทศ แต่ยังก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง เจ้าดูผู้ประสบภัยในใต้หล้าสิว่ามีมากเพียงใด ประชาชนอดอยากลำเข็ญ เจ้าในฐานะองค์รัชทายาทกลับไม่คิดจะช่วยประชาชน แต่กลับปากหวานก้นเปรี้ยวไปวันๆ!”“องค์จักรพรรดิเป็นราชันย์ทรงพระปรีชา เพียงแต่ตอนนี้พระวรกายมังก
“เรื่องราวในวันนี้ องค์ชายแปดมีความมั่นใจเพียงใด?” จ้าวเสวียนจีถามหลี่อิ๋นหู่ยืนตัวตรง และกลับลงไปนั่งใหม่ เขาพิจารณาอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “ในความคิดของข้า ประมาณหกส่วน”จ้าวเสวียนจียิ้มน้อยๆ “ท่านและข้าเตรียมการมาเป็นอย่างดี อันดับแรกบีบให้ต้วนจิ่นเจียงก่อความวุ่นวายก่อน จากนั้นก็อาศัยชื่อของต้วนจิ่นเจียง ยัดเรื่องก่อกบฏใส่หัวเขา และยังมีทหารค่ายหนานต้าทั้งหมดเข้าร่วม แต่พระองค์มั่นใจเพียงหกส่วน?”หลี่อิ๋นหู่กล่าว “ความยากลำบากอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่”หลี่อิ๋นหู่กำหมัดพูด “ขวัญกำลังใจของทหารในใต้หล้า สามส่วนอยู่ที่ราชสำนัก สามส่วนอยู่ที่ราชวงศ์ และสามส่วนที่เหลืออยู่ที่ตระกูลซู นี่ไม่ใช่แค่การพูดเฉยๆ” “บารมีของเทพสงครามตอนนั้นยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เทพสงครามจากไปแล้วเป็นสิบปี แต่ยังไม่ถึงยี่สิบ ดังนั้นเหล่าแม่ทัพที่เคยได้รับการสนับสนุนและปกป้องจากเทพสงคราม ซึ่งบัดนี้ ถูกกระจายไปทั่วประเทศ ดังนั้นขวัญกำลังใจของทหารจึงยังคงมีอยู่ ในบางครั้งก็มีการกระตุ้นให้เกิดความเลื่อมใสซ้ำ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยมากก็ตาม” “บวกกับทหารจากทั่วทุกมุมประเทศที่เข้าร่วมกองทัพ ต่างก็ได้รับกฎการฝึ
ธนูลับ!โจมตีองค์รัชทายาท!ประเด็นสำคัญสองคำนี้ ทำให้จ้าวเสวียนจีขมวดคิ้วธนูลับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาเตรียมไว้ในลายลักษณ์อักษรของเขานั้น ก็ไม่ได้เขียนให้ทำเช่นนั้น หรือถ้าหากจะทำ ก็ต้องโจมตีให้ตายในครั้งเดียวดวงตาของจ้าวเสวียนจีมองไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ท่าทางของหลี่อิ๋นหู่นั้นดูสงบมาก ไม่มีข้อพิรุธใดๆ“หาทางขวางคนของค่ายเป่ยต้า”จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงขรึม “ยืดเวลาให้นานที่สุด”หลังจากสายลับจากไปแล้ว จ้าวเสวียนจีก็พูดกับหลี่อิ๋นหู่ว่า “องค์ชายแปด ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนว่ามีบางคนต้องการกวนน้ำให้ขุ่น ในฐานะราชเลขา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าไม่ออกหน้าพูดก็คงจะ...”หลี่อิ๋นหู่รีบลุกขึ้นยืน “ข้าไม่สามารถรบกวนท่านนาน เช่นนั้นข้าจะกลับตำหนักก่อน”จ้าวเสวียนจีพยักหน้าพูด “องค์ชายแปดโปรดกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดี อย่าถูกคนพบเห็น”“เข้าใจแล้ว”หลังจากหลี่อิ๋นหู่กล่าวคำอำลา เขาก็เดินออกจากห้องหนังสือของจ้าวเสวียนจีอย่างไม่เร่งรีบ และเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างเงียบเชียบ และในที่สุดก็ออกจากจวนจ้าวไป ในตรอกเล็กๆ มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ เขาก้
องครักษ์เสื้อแพรรีบเปิดทางให้ทันที มันเพียงพอสำหรับคนคนหนึ่งเดินเข้ามาเว่ยตังเซียงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลรอจนเว่ยตังเซียงเดินเข้ามาใกล้หลี่เฉิน เฉินทงก็ก้าวเข้าไปขวางทางเว่ยตังเซียง และกล่าวอย่างมาดร้ายว่า “ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ พบฝ่าบาทต้องมอบอาวุธ! เจ้าถือมีดมาเข้าเฝ้าเช่นนี้ อยากตายหรือไร?”เว่ยตังเซียงหัวเราะเยาะ “วันนี้ข้ามาที่นี่ เพื่อกวาดล้างคนเลวข้างกายองค์จักรพรรดิ ยังจะกลัวตายหรือไง!?”เฉินทงโมโห คิดจะลงมือ แต่กลับได้ยินหลี่เฉินกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ปล่อยให้เขาเข้ามา เขากล้านำกองทัพเข้ามากวาดล้างคนเลวข้างกายจักรพรรดิ แล้วจะมอบอาวุธให้ได้อย่างไร?”เฉินทงจ้องมองเว่ยตังเซียงด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะหลีกทางให้อย่างไม่เต็มใจเว่ยตังเซียงยิ้มเยาะ จากนั้นก็เดินอ้อมเฉินทงไปหาหลี่เฉิน“คนที่ยิงธนูเมื่อครู่ ปรากฏตัวขึ้นในกองทหารด้านหลังเจ้า เจ้ารู้จักหรือไม่?” หลี่เฉินถามเว่ยตังเซียงมีสีหน้าลังเลและพูดว่า “ข้าไม่รู้จักเขา”“ตอนนี้เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังถูกคนใช้เหมือนคนโง่?” หลี่เฉินถาม เว่ยตังเซียงเผยสีหน้าโมโหขึ้นมา และกล่าวว่า “แต่เรื่องที่ประชาชนอดอยากเป็นความจริง!”
กระบี่ต้าเหลียงหลงเชวี่ยเปล่งประกายเรืองรอง!หลี่เฉินยืนอยู่ท่ามกลางลมหิมะด้วยอำนาจที่ท่วมท้นใต้หล้านี้ ราวกับว่าเหลือแค่เงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งยืนตระหง่านอย่างเดียวดายไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้ซูจิ่นพ่ามองไปที่แผ่นหลังของ ก่อนจะเม้มริมฝีปากนางยังคงจำอันตรายเมื่อสักครู่นี้ได้เพียงชั่วพริบตา นางซึ่งยืนอยู่เคียงข้างหลี่เฉินมาโดยตลอด เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนในกลุ่มทหารฝั่งตรงข้าม กำลังง้างลูกธนูเตรียมยิง จังหวะที่นางสังเกตเห็นชายคนนั้น ธนูในมือเขาก็ถูกปล่อยออกมา ในขณะนั้น ซูจิ่นพ่าไม่มีเวลาคิดนางผลักหลี่เฉินออกไปโดยสัญชาตญาณการผลักครั้งนี้เอง ที่ทำให้หลี่เฉินสามารถหลีกเลี่ยงส่วนสำคัญอย่างคอ และได้รับบาดเจ็บที่ไหล่แทนมิฉะนั้น สถานการณ์ในจักรวรรดิต้าฉินจะเปลี่ยนไปจริงๆ ในวันนี้องค์จักรพรรดิ์ไม่ได้สติเนื่องจากสุขภาพไม่ดี ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นตัวเลย เขาอาจจะไปได้ทุกเมื่อ และถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับหลี่เฉินในตอนนี้ ซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมาย ถึงตอนนั้นต้าฉินคงล่มสลาย.ซูจิ่นพ่าไม่รู้สึกว่าการผลักของนางได้ผลักดันจักรวรรดิต้าฉินให้กลับมาอ
สถานการณ์จบลงแล้วเว่ยตังเซียงหลับตา ไม่กล้ามองฉากนี้ ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า การจะก่อกบฏในยุคสมัยศักดินาโบราณนั้น มันยากพอๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์ความเกรงกลัวต่ออำนาจขององค์จักรพรรดิ ได้สลักเข้าไปในกระดูกของทุกคนมานานแล้ว มันเป็นสิ่งเดียวที่ราชาทุกพระองค์ในราชวงศ์ที่ผ่านมาทำด้วยความพากเพียรอย่างใจตรงกัน ซึ่งก็คือการยกย่องอำนาจของราชา และทำให้ประชาชนทุกคนเชื่อว่าจักรพรรดิคือโอรสสวรรค์ และการต่อต้านจักรพรรดิ ก็เป็นบาปที่ไม่อาจอภัยได้ แล้วทหารล่ะ? ทหารมาจากไหน? ก็มาจากประชาชน ดังนั้นทหารทุกคนต่างก็เกรงกลัวในอำนาจขององค์จักรพรรดิ หากต้องการพาทหารกลุ่มนี้ก่อกบฏจริงๆ นอกเสียจากว่าทางราชสำนักกับจักรพรรดิจะเน่าเฟะจนถึงจุดที่ไม่อาจรักษาได้ และผู้คนก็ไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไป แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดต่อไป ก็ไม่มีใครเต็มใจจะก่อกบฏ ซึ่งต้าฉิน ยังไม่ก้าวไปถึงจุดนั้น เว่ยตังเซียงจึงไม่กล้าก่อกบฏ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจึงชูธงกวาดล้างคนเลวข้างกายจักรพรรดิ แต่ถึงกระนั้น เมื่อองค์รัชทายาทหลี่เฉินเผชิญหน้ากับทหารหลายพันคน พวกเขาก็เลือกตัดส
ที่หลี่เฉินไม่ฆ่าเว่ยตังเซียง มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชื่นชอบในความสามารถอะไรนั่นหรอกนี่ไม่ใช่นิยาย เจ้าเว่ยตังเซียงนั่นเกือบจะพรากชีวิตน้อยๆ ของเขาไปแล้ว หลี่เฉินอยากจะสั่งสับร่างมันออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้สุนัขกินไม่ไหว แต่การกระทำนั้นคงจะทำให้คนอื่นๆ หวาดกลัวเกินไปแต่ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ฆ่าเว่ยตังเซียงไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากต้องการแสดงให้ทหารในค่ายหนานต้าชม ต้องรู้ว่า ทหารในค่ายหนานต้าที่อยู่ตรงหน้าอาจจะมีแค่พันคน แต่ข้างนอก ยังมีอีกเจ็ดพันคน! ซึ่งมีจำนวนเท่ากับค่ายเป่ยต้า ที่เจ็ดพันคนนั้นไม่เข้ามา อาจเป็นเพราะว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หรือเป็นเพราะถ้ามีคนมากเกินไป แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตราบใดที่ประตูเมืองหลวงปิด ไม่ว่าใครก็อย่าฝันจะได้เข้ามา สรุปคือ สิ่งสำคัญอันดับแรกของหลี่เฉินในตอนนี้คือการปลอบใจทหารค่ายหนานต้าทั้งแปดพันคนที่กำลังวิตกกังวล มิฉะนั้น ถ้าหากกองทหารชั้นยอดที่หน้าประตูเมืองหลวงกลุ่มนี้ก่อกบฏขึ้นมา สำหรับต้าฉินแล้วนี่คือการโจมตีที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อหันหลังเดินเข้าไปในจวนแม่ทัพใหญ่ หลี่เฉินก็จับมือขอ