สถานการณ์จบลงแล้วเว่ยตังเซียงหลับตา ไม่กล้ามองฉากนี้ ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า การจะก่อกบฏในยุคสมัยศักดินาโบราณนั้น มันยากพอๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์ความเกรงกลัวต่ออำนาจขององค์จักรพรรดิ ได้สลักเข้าไปในกระดูกของทุกคนมานานแล้ว มันเป็นสิ่งเดียวที่ราชาทุกพระองค์ในราชวงศ์ที่ผ่านมาทำด้วยความพากเพียรอย่างใจตรงกัน ซึ่งก็คือการยกย่องอำนาจของราชา และทำให้ประชาชนทุกคนเชื่อว่าจักรพรรดิคือโอรสสวรรค์ และการต่อต้านจักรพรรดิ ก็เป็นบาปที่ไม่อาจอภัยได้ แล้วทหารล่ะ? ทหารมาจากไหน? ก็มาจากประชาชน ดังนั้นทหารทุกคนต่างก็เกรงกลัวในอำนาจขององค์จักรพรรดิ หากต้องการพาทหารกลุ่มนี้ก่อกบฏจริงๆ นอกเสียจากว่าทางราชสำนักกับจักรพรรดิจะเน่าเฟะจนถึงจุดที่ไม่อาจรักษาได้ และผู้คนก็ไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไป แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดต่อไป ก็ไม่มีใครเต็มใจจะก่อกบฏ ซึ่งต้าฉิน ยังไม่ก้าวไปถึงจุดนั้น เว่ยตังเซียงจึงไม่กล้าก่อกบฏ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจึงชูธงกวาดล้างคนเลวข้างกายจักรพรรดิ แต่ถึงกระนั้น เมื่อองค์รัชทายาทหลี่เฉินเผชิญหน้ากับทหารหลายพันคน พวกเขาก็เลือกตัดส
ที่หลี่เฉินไม่ฆ่าเว่ยตังเซียง มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชื่นชอบในความสามารถอะไรนั่นหรอกนี่ไม่ใช่นิยาย เจ้าเว่ยตังเซียงนั่นเกือบจะพรากชีวิตน้อยๆ ของเขาไปแล้ว หลี่เฉินอยากจะสั่งสับร่างมันออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้สุนัขกินไม่ไหว แต่การกระทำนั้นคงจะทำให้คนอื่นๆ หวาดกลัวเกินไปแต่ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ฆ่าเว่ยตังเซียงไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากต้องการแสดงให้ทหารในค่ายหนานต้าชม ต้องรู้ว่า ทหารในค่ายหนานต้าที่อยู่ตรงหน้าอาจจะมีแค่พันคน แต่ข้างนอก ยังมีอีกเจ็ดพันคน! ซึ่งมีจำนวนเท่ากับค่ายเป่ยต้า ที่เจ็ดพันคนนั้นไม่เข้ามา อาจเป็นเพราะว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หรือเป็นเพราะถ้ามีคนมากเกินไป แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตราบใดที่ประตูเมืองหลวงปิด ไม่ว่าใครก็อย่าฝันจะได้เข้ามา สรุปคือ สิ่งสำคัญอันดับแรกของหลี่เฉินในตอนนี้คือการปลอบใจทหารค่ายหนานต้าทั้งแปดพันคนที่กำลังวิตกกังวล มิฉะนั้น ถ้าหากกองทหารชั้นยอดที่หน้าประตูเมืองหลวงกลุ่มนี้ก่อกบฏขึ้นมา สำหรับต้าฉินแล้วนี่คือการโจมตีที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อหันหลังเดินเข้าไปในจวนแม่ทัพใหญ่ หลี่เฉินก็จับมือขอ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการก่อกบฏ ทั้งนำกองทหารเข้าโจมตีเมืองหลวง และยังตะโกนใส่องค์รัชทายาทว่ากวาดล้างคนเลวข้างกายจักรพรรดิอีกด้วย อาชญากรรมร้ายแรงเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นในราชวงศ์ใดจะต้องโดนโทษประหารเก้าชั่วโคตร แต่เหตุใด องค์รัชทายาทซึ่งมีข่าวลือว่าชอบลงโทษด้วยการประหารชีวิต แต่วันนี้กลับปล่อยตัวเว่ยตังเซียงไปอย่างง่ายดาย? ทุกคนที่อยู่ในห้องข้างต่างตกตะลึง ยกเว้นต้วนจิ่นเจียงจอมเจ้าเล่ห์ที่เข้าใจ เขามองหลี่เฉินด้วยดวงตาที่สั่นไหวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ในเมื่อรับโทษไปแล้ว แล้วทำไมถึงยังไม่ไปอีก?” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “ซูผิงเป่ย” “กระหม่อมอยู่!” ซูผิงเป่ยเดินเข้ามาทางประตูและพูดด้วยความเคารพ “พาตัวแม่ทัพเว่ยตังเซียงออกไป ให้เขากลับไปดูแลตัวเองเถอะ” “เอ๋!?” ซูผิงเป่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และมองไปที่หลี่เฉินด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร? หรือจะให้ข้าพูดซ้ำอีกรอบ?” หลี่เฉินขมวดคิ้วถาม “มิ มิกล้า กระหม่อมรับพระราชดำรัสสั่ง” ซูผิงเป่ยรีบระงับความคิดของตัวเอง และพาเว่ยตังเซียงที่ตกตะลึงออกไป หลังจากเว่ยตังเซียงออกไปแล้ว หลี่เฉินก็พูดกับต้วนจ
ประโยคนี้ แค่ได้ยินก็น่ากลัวแล้วยิ่งไปกว่านั้นต้วนจิ่นเจียงยังนำไปใช้ได้จริงอีกด้วยเมื่อพิจารณาจากแผนการของเขา ถ้ามันสำเร็จจะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ต้วนจิ่นเจียงต้องการไม่ใช่การสร้างความวุ่นวาย แต่เป็นการทำลายสถานการณ์ทั้งหมด และหยุดทุกคนไม่ให้เล่น ความโหดเหี้ยมของมันปรากฏอย่างชัดเจน หลี่เฉินวางรายชื่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และพูดอย่างใจเย็นว่า “ในรายชื่อนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนในยุทธภพ?”ต้วนจิ่นเจียงยิ้มอย่างภูมิใจและพูดว่า “ใครบ้างมิรู้ว่าเหยี่ยวและสุนัขหน่วยบูรพาของพระองค์นั้นกางเขี้ยวเล็บไปทั่วใต้หล้า หากข้าไปหาพวกเจ้าหน้าที่ เกรงว่าแผนการคงถูกเปิดโปงไปนานแล้ว แต่ชาวยุทธภพพวกนี้กระทำการใดล้วนไม่เกรงกลัว และเป็นสิ่งที่ราชสำนักไม่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้ว่าอยากจะควบคุมก็เถอะ” “อีกอย่างชาวยุทธภพเหล่านี้ แสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ พวกเขาไม่พอใจราชสำนักมานานแล้ว แค่จัดเตรียมแผนการนิดหน่อย มันจะยากตรงไหนกัน?” “ดี ชาวยุทธภพกำลังฝ่าฝืนคำสั่งห้าม ดีมาก” หลี่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาจ้องมองต้วนจิ่นเจียงแล้วถามว่า “เจ้ายังมีอะไรปิดบังอยู่หรือไม่?” ต้วนจิ่นเจียงหัวเราะเสียงดังแล้วก
องครักษ์เสื้อแพรเล่นกับเหรียญทองแดงในมือของเขา เหลือบมองหมอหูที่หน้าซีดและเจ้าของร้านซาลาเปาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วิธีการยังคงลึกลับ ถ้าครั้งนี้กวางกงไม่กำชับให้จับตาดูเจ้าเป็นพิเศษ เกรงว่าคงจะถูกเจ้าหลอกไปแล้ว มีอะไรอยากพูดไหม?” หมอหูหัวเราะอย่างสมเพช ความตื่นตระหนกบนใบหน้าก็พลันหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าดุร้ายและโหดเหี้ยม “กำเนิดมาจากโคลนตมผลิบานในความโกลาหล ดอกบัวขาวจงเจริญ!”เขาตะโกนออกมา ไม่รอให้องครักษ์เสื้อแพรเปลี่ยนสีหน้าและตอบสนอง หมอหูก็กัดยาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากของเขา จากนั้นโลหิตสีดำก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมปาก เขาตายแล้ว! เมื่อหันไปมองเจ้าของร้านซาลาเปาอีกที ก็พบกับชะตากรรมเดียวกัน หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรมีสีหน้ามืดมน เป็ดที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในมือกลับบินหนีไปแล้ว คราวนี้คงจะถูกลงโทษเมื่อกลับจากภารกิจ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด... “คนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสำนักบัวขาว...เรื่องนี้สำคัญมาก จะต้องรีบรายงานให้ท่านกวางกงทราบทันที” ……ในไม่ช้า ซานเป่าก็กลับมา โดยยังคงมีกลิ่นเลือดติดอยู่ ทันทีที่เขาเห็นหลี่เฉิน เขาก็รายงานเร
ซานเป่ารับรายชื่อด้วยความเคารพ และนำไปเก็บไว้ในอ้อมแขนของเขาเมื่อผลักประตูห้องข้างออก หลี่เฉินก็มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะด้านนอก ไหล่ของเขายังคงปวดอยู่เล็กน้อย เขาพึมพำเบาๆ ว่า “ซานเป่า เจ้าเห็นท้องฟ้านี้ไหม มันดูแตกต่างอย่างไร?”ซานเป่าที่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “บ่าวรู้แต่เพียงว่า ท้องฟ้านี้ยังคงเป็นท้องฟ้าของต้าฉิน และเป็นท้องฟ้าของฝ่าบาท” “ประโยคนี้ช่างอกตัญญู” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเป็นเพียงองค์รัชทายาท ไม่ใช่องค์จักรพรรดิ” ซานเป่ากระซิบเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทคือผู้ที่ทุกคนคาดหวัง ดังนั้นจะไม่มีเรื่องประหลาดใจใดๆ” สีท้องฟ้ามืดสลัว ลมหิมะพัดโปรยปรายถนนด้านนอกจวนแม่ทัพใหญ่ คนรับใช้บางคนกำลังทำความสะอาดหิมะและเลือด สีแดงและสีขาวปะปนกันจนแยกไม่ออก บวกกับโคลนสีดำปนอยู่บ้าง ทำให้คนที่มองอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ ศพถูกนำออกไปและกำจัดทิ้งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงมีร่องรอยของโศกนาฏกรรมก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุหลี่เฉินถูกห่อร่างด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่ และได้รับการคุ้มกันโดยเฉินทงและซานเป่า พร้อมด้วยองครักษ์เสื้อแพรชั้นยอดอ
หนังหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันกระตุกนี่เป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการยึดหน่วยองครักษ์อวี่หลินไป เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถหยุดหลี่เฉินจากความต้องการนี้ได้ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการทำเรื่องนี้ซึ่งราคานี้นั้น แม้ว่าจ้าวเสวียนจีจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายแต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้น จ้าวเสวียนจีก็รู้สึกไม่สบายใจจนแทบอยากจะอาเจียนเป็นเลือด หน่วยองครักษ์อวี่หลินค่ายหนานต้า!! เขาใช้เวลาไม่รู้กี่ปีกว่าจะควบคุมค่ายองครักษ์อวี่หลินได้ แต่ต้องมอบมันให้กับหลี่เฉิน! “ที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง” “ต้วนจิ่นเจียงก่ออาชญากรรมร้ายแรง เขารับผิดชอบกรมยุทธนาการมาหลายปีแล้ว ข้ากังวลว่าจะยังมีผู้ติดตามของเขาในกรมยุทธนาการ” หลี่เฉินกล่าวอย่างมีเลศนัย “ต้องมีการปรับตำแหน่งหลายตำแหน่งในกรมยุทธนาการ” จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ฝ่าบาท โลภมากระวังจะเคี้ยวไม่หมด” “ข้ามีฟันดี”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และกล่าวเสียงเรียบว่า “สำนักราชเลขาเวลานี้ว่างหลายตำแหน่ง แต่กิจของรัฐมิอาจปล่อยทิ้งไว้ได้แม้แต่วันเดียว ดังนั้นข้าอยากจะแนะนำแม่ทัพซูเจิ
เวลานี้ ณ.ห้องลับในห้องหนังสือ ต้วนจิ่นเจียงกำลังยืนอยู่ต่อหน้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตัวเองราวเจ็ดแปดส่วน เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน หากบอกว่าเป็นฝาแฝดกันก็คงมีคนเชื่อ แต่ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือ บรรยากาศ ต้วนจิ่นเจียงดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน จึงมีบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น กลับมีท่าทีระมัดระวังมากเกินไป และหลังค้อมเล็กน้อย จึงดูเหมือนชาวนาธรรมดาที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาอะไรคนตรงหน้า ถูกต้วนจิ่นเจียงค้นพบโดยบังเอิญ เขาเก็บบุคคลนี้ไว้ในจวนของเขาด้วยความตั้งใจ หลายปีผ่านมายกเว้นตัวเขาเอง ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้วนจิ่นเจียงเลี้ยงดู 'ตัวสำรอง' ไว้ในบ้านของเขา บางทีอาจเป็นเพราะคิดมากเกินไป แต่ต้วนจิ่นเจียงมักรู้สึกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะประสบปัญหา ดังนั้นเขาจึงเตรียมไพ่ตายใบสุดท้ายนี้ไว้ แต่ไม่คาดว่าจะได้ใช้จริงๆ“แม้การให้เจ้าปลอมตัวเป็นข้าจะเสี่ยงไปบ้าง แต่ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย และข้าสัญญากับเจ้าว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าจะมอบเงินหนึ่งพันตำลึงให้แก่เจ้า และส่งเจ้ากลับไปหาครอบครัวของเจ้า เงินพันตำลึงนี้ก็เพียงพอที่พวกเจ้าจะใช้ช
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ
มือปืนทั้งสามแถวพอยิงพร้อมกันเสร็จสิ้นรอบหนึ่ง ก็รีบควานเอาสิ่งของกลมดำสนิทสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่คล้องอยู่ข้างกายเจ้าสิ่งนั้นดูแล้วไร้ค่าเสียยิ่งกว่าท่อนไม้ในมือของพวกเขา เป็นของที่ต่อให้ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแลแต่เมื่อมีตัวอย่างของท่อนไม้ที่กลับกลายเป็นปืนปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนของสิ่งนี้“นั่นคือสิ่งใดกัน?”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกไม่สู้ดีถาโถมเข้ามาในใจทันทีก่อนหน้านี้ที่เห็นปืนดินปืน แม้จะทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียขวัญก่อนอื่น ปืนดินปืนนั้นมิใช่ของแปลกใหม่เสียทีเดียว จักรวรรดิต้าฉินในอดีตก็เคยคิดค้นของเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเล็งได้ไม่แม่น แถมยังต้องเสียเวลายัดดินปืนใส่เข้าไป จึงมิได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายหรือพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้คนล้วนเห็นว่าอย่างไรก็ยังสู้ฝึกมือธนูที่มีกำลังแขนมากหน่อยไม่ได้และการที่หลี่เฉินนำปืนดินปืนกลับมาพัฒนาใหม่นั้นก็หาใช่ความลับไม่ ขุนนางมากมายต่างตำหนิเจ้าชายรัชทายาทว่าเอาแต่เล่นจนเสียงาน ริหลงใหลในกลไกแปลกประหลาดซึ่งถือเป็นศาสตร์นอกลู่นอกทางหลี่อิ๋นห
“ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห