ซานเป่ารับรายชื่อด้วยความเคารพ และนำไปเก็บไว้ในอ้อมแขนของเขาเมื่อผลักประตูห้องข้างออก หลี่เฉินก็มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะด้านนอก ไหล่ของเขายังคงปวดอยู่เล็กน้อย เขาพึมพำเบาๆ ว่า “ซานเป่า เจ้าเห็นท้องฟ้านี้ไหม มันดูแตกต่างอย่างไร?”ซานเป่าที่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “บ่าวรู้แต่เพียงว่า ท้องฟ้านี้ยังคงเป็นท้องฟ้าของต้าฉิน และเป็นท้องฟ้าของฝ่าบาท” “ประโยคนี้ช่างอกตัญญู” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเป็นเพียงองค์รัชทายาท ไม่ใช่องค์จักรพรรดิ” ซานเป่ากระซิบเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทคือผู้ที่ทุกคนคาดหวัง ดังนั้นจะไม่มีเรื่องประหลาดใจใดๆ” สีท้องฟ้ามืดสลัว ลมหิมะพัดโปรยปรายถนนด้านนอกจวนแม่ทัพใหญ่ คนรับใช้บางคนกำลังทำความสะอาดหิมะและเลือด สีแดงและสีขาวปะปนกันจนแยกไม่ออก บวกกับโคลนสีดำปนอยู่บ้าง ทำให้คนที่มองอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ ศพถูกนำออกไปและกำจัดทิ้งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงมีร่องรอยของโศกนาฏกรรมก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุหลี่เฉินถูกห่อร่างด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่ และได้รับการคุ้มกันโดยเฉินทงและซานเป่า พร้อมด้วยองครักษ์เสื้อแพรชั้นยอดอ
หนังหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันกระตุกนี่เป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการยึดหน่วยองครักษ์อวี่หลินไป เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถหยุดหลี่เฉินจากความต้องการนี้ได้ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการทำเรื่องนี้ซึ่งราคานี้นั้น แม้ว่าจ้าวเสวียนจีจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายแต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้น จ้าวเสวียนจีก็รู้สึกไม่สบายใจจนแทบอยากจะอาเจียนเป็นเลือด หน่วยองครักษ์อวี่หลินค่ายหนานต้า!! เขาใช้เวลาไม่รู้กี่ปีกว่าจะควบคุมค่ายองครักษ์อวี่หลินได้ แต่ต้องมอบมันให้กับหลี่เฉิน! “ที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง” “ต้วนจิ่นเจียงก่ออาชญากรรมร้ายแรง เขารับผิดชอบกรมยุทธนาการมาหลายปีแล้ว ข้ากังวลว่าจะยังมีผู้ติดตามของเขาในกรมยุทธนาการ” หลี่เฉินกล่าวอย่างมีเลศนัย “ต้องมีการปรับตำแหน่งหลายตำแหน่งในกรมยุทธนาการ” จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ฝ่าบาท โลภมากระวังจะเคี้ยวไม่หมด” “ข้ามีฟันดี”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และกล่าวเสียงเรียบว่า “สำนักราชเลขาเวลานี้ว่างหลายตำแหน่ง แต่กิจของรัฐมิอาจปล่อยทิ้งไว้ได้แม้แต่วันเดียว ดังนั้นข้าอยากจะแนะนำแม่ทัพซูเจิ
เวลานี้ ณ.ห้องลับในห้องหนังสือ ต้วนจิ่นเจียงกำลังยืนอยู่ต่อหน้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตัวเองราวเจ็ดแปดส่วน เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน หากบอกว่าเป็นฝาแฝดกันก็คงมีคนเชื่อ แต่ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือ บรรยากาศ ต้วนจิ่นเจียงดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน จึงมีบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น กลับมีท่าทีระมัดระวังมากเกินไป และหลังค้อมเล็กน้อย จึงดูเหมือนชาวนาธรรมดาที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาอะไรคนตรงหน้า ถูกต้วนจิ่นเจียงค้นพบโดยบังเอิญ เขาเก็บบุคคลนี้ไว้ในจวนของเขาด้วยความตั้งใจ หลายปีผ่านมายกเว้นตัวเขาเอง ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้วนจิ่นเจียงเลี้ยงดู 'ตัวสำรอง' ไว้ในบ้านของเขา บางทีอาจเป็นเพราะคิดมากเกินไป แต่ต้วนจิ่นเจียงมักรู้สึกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะประสบปัญหา ดังนั้นเขาจึงเตรียมไพ่ตายใบสุดท้ายนี้ไว้ แต่ไม่คาดว่าจะได้ใช้จริงๆ“แม้การให้เจ้าปลอมตัวเป็นข้าจะเสี่ยงไปบ้าง แต่ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย และข้าสัญญากับเจ้าว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าจะมอบเงินหนึ่งพันตำลึงให้แก่เจ้า และส่งเจ้ากลับไปหาครอบครัวของเจ้า เงินพันตำลึงนี้ก็เพียงพอที่พวกเจ้าจะใช้ช
สีหน้าของคนสนิทดูสงบ เขาก้มศีรษะลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ทุกอย่างจะเป็นไปตามประสงค์ของใต้เท้า” ต้วนจิ่นเจียงกล่าว “เช่นนั้นก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้เถอะ” พูดจบ ต้วนจิ่นเจียงก็หลับตาลง คนสนิทยกไม้กระดานขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ขออภัย”กล่าวจบ เขาก็ปิดร่างของต้วนจิ่นเจียงด้วยไม้กระดาน หลังจากใช้กลไกปิดล็อกดีแล้ว เขาก็นำศพของต้วนจั่งเหมียนกลับมาวางไว้ในโลงตามเดิม นอกเสียจากจะมีคนทุบโลงศพ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครรู้ว่าโลงศพนี้มีสองชั้น หลังจากนั้นจวนต้วนก็เริ่มเตรียมการเคลื่อนย้ายศพอย่างจริงจัง เพื่อขนศพคุณชายใหญ่กลับไปฝังที่บ้านเก่า ร้านอาหารตรงข้ามจวนต้วน ชั้นสองทั้งหมดถูกปิด ซานเป่ารับผิดชอบภารกิจนี้ด้วยตัวเอง ทั้งชั้นสองก็เต็มไปด้วยผู้คน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นองครักษ์เสื้อแพรซานเป่ายืนพิงหน้าต่างพลางยกจอกสุราขึ้นมา ปลายนิ้วของเขาถูขอบจอกสุราอุ่นเบาๆ ที่ข้างโต๊ะของซานเป่า มีสายลับคนหนึ่งกำลังรายงานสถานการณ์ให้ฟัง“ท่านกวางกง เราสืบทราบว่าจวนต้วนจะเคลื่อนศพเร็วๆ นี้ โดยมีต้วนจิ่นเจียงคุมขบวนส่งด้วยตัวเอง ขบวนศพจะออกจากเมืองหลวงทางประตูตงจื๋อ จากนั้นก็จะอ้อมไปทางตะว
ฝนธนูถูกยิงอย่างต่อเนื่องและกินเวลานับร้อยลมหายใจหลังจากถุงหนังใส่ลูกศรทั้งสองถุงที่ติดตัวนักธนูทุกคนว่างเปล่า ซานเป่าก็สั่งให้องครักษ์เสื้อแพรด้านหลังของเขาเข้าไปในที่เกิดเหตุเมื่อเข้ามาในที่เกิดเหตุ พวกเขาก็ชักดาบออกมาซ้ำ ตลอดทางที่ควบม้าผ่าน ตราบใดที่มีคนนอนอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเขาทั้งหมดจะถูกแทงในจุดสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าตายสนิท ซานเป่าขี่ม้ามาถึงใจกลางขบวนแห่ศพซึ่งมีศพนอนระเกระกะอยู่ที่พื้น ต้วนจิ่นเจียงได้รับการปกป้องจากผู้คุ้มกันส่วนตัวหลายคนที่ใช้ร่างกายของพวกเขาเป็นเกราะป้องกัน ขณะนี้เขายังมีลมหายใจเหลืออยู่ซานเป่าซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ามองดูการดิ้นรนอย่างต่อเนื่องท่ามกลางทะเลเลือด ต้วนจิ่นเจียงคล้ายต้องการจะพูดบางอย่าง แต่เนื่องจากคอของเขาได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ดังนั้นจึงไม่สามารถเปล่งวาจาใดๆ ออกมาได้ ซานเป่าจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าต้วน บ่าวได้รับคำสั่งให้มาส่งท่านไปพบกับลูกชายของท่าน” “ฝนตกฟ้าร้อง ล้วนแล้วแต่เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ใต้เท้าต้วนโปรดเดินทางอย่างปลอดภัย”ซานเป่าพูดจบ แสงกระบี่ก็สว่างวูบ จากนั้นหัวของต้วนจิ่นเจียงก็
“บิดาเจ้าเป็นคนมีความสามารถ” คำพูดของหลี่เฉินไม่ได้มีคำชมมากเกินไป แต่เนื่องจากเขามีสถานะที่สูงศักดิ์ สำหรับจ้าวหรุ่ยแล้วมันกลับสร้างความมั่นใจได้อย่างยอดเยี่ยม นางกล่าวอย่างมีความสุขว่า “หากท่านพ่อได้ยินประโยคนี้ ไม่รู้ว่าจะดีใจมากเพียงใด”“ถ้าข้าอยากให้เขามีความสุข ก็แค่เลื่อนตำแหน่งขุนนางให้กับเขา นี่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่ถ้าเขาอยากทำให้ข้ามีความสุข นั่นกลับไม่ง่ายเลย”หลี่เฉินพูดกับจ้าวหรุ่ยว่า “บิดาเจ้ามีความสามารถ ข้าจึงให้ความสำคัญ แต่จะใช้การได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง” จ้าวหรุ่ยรีบพูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัย ท่านพ่อของหม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ และจะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง” หลี่เฉินยิ้มและไม่พูดอะไร เขารู้ดีว่าความรู้สึกในปัจจุบันของจ้าวหรุ่ยที่มีต่อเขา น่าจะมาจากบิดาของนางสักแปดเก้าส่วน สำหรับนางแล้ว ครอบครัวของนางสำคัญที่สุด แต่หลี่เฉินก็ไม่สนใจ เมื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ความรักระหว่างชายหญิงก็เป็นสิ่งนอกกายตราบใดที่มีอำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหรุ่ยหรือหญิงอื่นมันก็ไม่สำคัญ ปัญหามันอยู่ที่ว่าหลี่เฉินต้องการมันหรือไม่ ไม
“องค์หญิงเสด็จมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนเม้มปากแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อทูลลาฝ่าบาท” หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรเลยจินเสวี่ยยวนจึงกล่าวต่อไปว่า “สถานการณ์ภายในประเทศกำลังวิกฤต และตอนนี้เราก็ขาดแคลนคน ดังนั้นเสวี่ยยวนจึงไม่ต้องการอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลานาน ดังนั้นหม่อมฉันจึงมาขออนุญาตจากฝ่าบาท”หลี่เฉินกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าเข้าใจความกระตือรือร้นของเจ้าที่อยากจะกลับประเทศ และตกลงตามนั้น”เมื่อเห็นหลี่เฉินไม่คิดจะยับยั้ง จินเสวี่ยยวนก็แอบสะเทือนใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางกล่าวว่า “ขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทเพคะ” ณ จุดนี้ บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็เริ่มเย็นชาเมื่อเห็นหลี่เฉินไม่พูดอะไร จินเสวี่ยยวนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ โจวผิงอันไท่พูแห่งเสียนเฉาได้ลาออกจากเสียนเฉาแล้ว เขาบอกว่าเขามีความทะเยอทะยานอื่น และไม่ต้องการเป็นขุนนางในเสียนเฉาอีกต่อไป หม่อมฉันบังอาจถาม ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่?” “รู้” หลี่เฉินยอมรับอย่างไม่ลังเล“เขาทำงานให้ข้า”จินเสวี่ยยวนพูดด้วยความโกรธว่า “ต้าฉินเป็นถิ่นกำเนิดอัจฉ
การที่ว่าที่กษัตริย์ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับราชวงศ์หรือประเทศใดๆเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ถ้าหาตัวผู้กระทำความผิดได้ก็ช่างเถอะ สถานเบาอาจจะโดนฆ่าทันที สถานหนักอาจถูกประหารเก้าชั่วโคตร แต่ถ้าหากไม่พบผู้กระทำความผิด กรมยุติธรรม ศาลต้าหลี่และสำนักตรวจการจะจัดตั้งสามฝ่ายขึ้นมาเพื่อดำเนินการสืบสวน ซึ่งระดับการสืบสวนนั้นจะเข้มงวดมาก และขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิเท่านั้น ไม่ว่ากรมใดหรือใครก็ไม่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ มิฉะนั้นจะติดร่างแหเข้าไปด้วย แม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นองค์หญิงจากประเทศเล็กๆ แต่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหน ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของต้าฉินเลยจินเสวี่ยยวนไม่ใช่คนโง่ นางนึกถึงรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของนางโดยทันที ประตูเมืองหลวงถูกปิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ถนนหลักหลายสายอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก แม้กระทั่งที่หน้าประตูจุดพักแรมก็มีทหารสองกลุ่มยืนอยู่ ว่ากันว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา แต่จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไปตามถนนโดยไม่ได้รับอนุญา