ซานเป่ารับรายชื่อด้วยความเคารพ และนำไปเก็บไว้ในอ้อมแขนของเขาเมื่อผลักประตูห้องข้างออก หลี่เฉินก็มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะด้านนอก ไหล่ของเขายังคงปวดอยู่เล็กน้อย เขาพึมพำเบาๆ ว่า “ซานเป่า เจ้าเห็นท้องฟ้านี้ไหม มันดูแตกต่างอย่างไร?”ซานเป่าที่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “บ่าวรู้แต่เพียงว่า ท้องฟ้านี้ยังคงเป็นท้องฟ้าของต้าฉิน และเป็นท้องฟ้าของฝ่าบาท” “ประโยคนี้ช่างอกตัญญู” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเป็นเพียงองค์รัชทายาท ไม่ใช่องค์จักรพรรดิ” ซานเป่ากระซิบเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทคือผู้ที่ทุกคนคาดหวัง ดังนั้นจะไม่มีเรื่องประหลาดใจใดๆ” สีท้องฟ้ามืดสลัว ลมหิมะพัดโปรยปรายถนนด้านนอกจวนแม่ทัพใหญ่ คนรับใช้บางคนกำลังทำความสะอาดหิมะและเลือด สีแดงและสีขาวปะปนกันจนแยกไม่ออก บวกกับโคลนสีดำปนอยู่บ้าง ทำให้คนที่มองอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ ศพถูกนำออกไปและกำจัดทิ้งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงมีร่องรอยของโศกนาฏกรรมก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุหลี่เฉินถูกห่อร่างด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่ และได้รับการคุ้มกันโดยเฉินทงและซานเป่า พร้อมด้วยองครักษ์เสื้อแพรชั้นยอดอ
หนังหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันกระตุกนี่เป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการยึดหน่วยองครักษ์อวี่หลินไป เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถหยุดหลี่เฉินจากความต้องการนี้ได้ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการทำเรื่องนี้ซึ่งราคานี้นั้น แม้ว่าจ้าวเสวียนจีจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายแต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้น จ้าวเสวียนจีก็รู้สึกไม่สบายใจจนแทบอยากจะอาเจียนเป็นเลือด หน่วยองครักษ์อวี่หลินค่ายหนานต้า!! เขาใช้เวลาไม่รู้กี่ปีกว่าจะควบคุมค่ายองครักษ์อวี่หลินได้ แต่ต้องมอบมันให้กับหลี่เฉิน! “ที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง” “ต้วนจิ่นเจียงก่ออาชญากรรมร้ายแรง เขารับผิดชอบกรมยุทธนาการมาหลายปีแล้ว ข้ากังวลว่าจะยังมีผู้ติดตามของเขาในกรมยุทธนาการ” หลี่เฉินกล่าวอย่างมีเลศนัย “ต้องมีการปรับตำแหน่งหลายตำแหน่งในกรมยุทธนาการ” จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ฝ่าบาท โลภมากระวังจะเคี้ยวไม่หมด” “ข้ามีฟันดี”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และกล่าวเสียงเรียบว่า “สำนักราชเลขาเวลานี้ว่างหลายตำแหน่ง แต่กิจของรัฐมิอาจปล่อยทิ้งไว้ได้แม้แต่วันเดียว ดังนั้นข้าอยากจะแนะนำแม่ทัพซูเจิ
เวลานี้ ณ.ห้องลับในห้องหนังสือ ต้วนจิ่นเจียงกำลังยืนอยู่ต่อหน้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตัวเองราวเจ็ดแปดส่วน เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน หากบอกว่าเป็นฝาแฝดกันก็คงมีคนเชื่อ แต่ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือ บรรยากาศ ต้วนจิ่นเจียงดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน จึงมีบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น กลับมีท่าทีระมัดระวังมากเกินไป และหลังค้อมเล็กน้อย จึงดูเหมือนชาวนาธรรมดาที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาอะไรคนตรงหน้า ถูกต้วนจิ่นเจียงค้นพบโดยบังเอิญ เขาเก็บบุคคลนี้ไว้ในจวนของเขาด้วยความตั้งใจ หลายปีผ่านมายกเว้นตัวเขาเอง ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้วนจิ่นเจียงเลี้ยงดู 'ตัวสำรอง' ไว้ในบ้านของเขา บางทีอาจเป็นเพราะคิดมากเกินไป แต่ต้วนจิ่นเจียงมักรู้สึกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะประสบปัญหา ดังนั้นเขาจึงเตรียมไพ่ตายใบสุดท้ายนี้ไว้ แต่ไม่คาดว่าจะได้ใช้จริงๆ“แม้การให้เจ้าปลอมตัวเป็นข้าจะเสี่ยงไปบ้าง แต่ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย และข้าสัญญากับเจ้าว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าจะมอบเงินหนึ่งพันตำลึงให้แก่เจ้า และส่งเจ้ากลับไปหาครอบครัวของเจ้า เงินพันตำลึงนี้ก็เพียงพอที่พวกเจ้าจะใช้ช
สีหน้าของคนสนิทดูสงบ เขาก้มศีรษะลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ทุกอย่างจะเป็นไปตามประสงค์ของใต้เท้า” ต้วนจิ่นเจียงกล่าว “เช่นนั้นก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้เถอะ” พูดจบ ต้วนจิ่นเจียงก็หลับตาลง คนสนิทยกไม้กระดานขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ขออภัย”กล่าวจบ เขาก็ปิดร่างของต้วนจิ่นเจียงด้วยไม้กระดาน หลังจากใช้กลไกปิดล็อกดีแล้ว เขาก็นำศพของต้วนจั่งเหมียนกลับมาวางไว้ในโลงตามเดิม นอกเสียจากจะมีคนทุบโลงศพ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครรู้ว่าโลงศพนี้มีสองชั้น หลังจากนั้นจวนต้วนก็เริ่มเตรียมการเคลื่อนย้ายศพอย่างจริงจัง เพื่อขนศพคุณชายใหญ่กลับไปฝังที่บ้านเก่า ร้านอาหารตรงข้ามจวนต้วน ชั้นสองทั้งหมดถูกปิด ซานเป่ารับผิดชอบภารกิจนี้ด้วยตัวเอง ทั้งชั้นสองก็เต็มไปด้วยผู้คน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นองครักษ์เสื้อแพรซานเป่ายืนพิงหน้าต่างพลางยกจอกสุราขึ้นมา ปลายนิ้วของเขาถูขอบจอกสุราอุ่นเบาๆ ที่ข้างโต๊ะของซานเป่า มีสายลับคนหนึ่งกำลังรายงานสถานการณ์ให้ฟัง“ท่านกวางกง เราสืบทราบว่าจวนต้วนจะเคลื่อนศพเร็วๆ นี้ โดยมีต้วนจิ่นเจียงคุมขบวนส่งด้วยตัวเอง ขบวนศพจะออกจากเมืองหลวงทางประตูตงจื๋อ จากนั้นก็จะอ้อมไปทางตะว
ฝนธนูถูกยิงอย่างต่อเนื่องและกินเวลานับร้อยลมหายใจหลังจากถุงหนังใส่ลูกศรทั้งสองถุงที่ติดตัวนักธนูทุกคนว่างเปล่า ซานเป่าก็สั่งให้องครักษ์เสื้อแพรด้านหลังของเขาเข้าไปในที่เกิดเหตุเมื่อเข้ามาในที่เกิดเหตุ พวกเขาก็ชักดาบออกมาซ้ำ ตลอดทางที่ควบม้าผ่าน ตราบใดที่มีคนนอนอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเขาทั้งหมดจะถูกแทงในจุดสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าตายสนิท ซานเป่าขี่ม้ามาถึงใจกลางขบวนแห่ศพซึ่งมีศพนอนระเกระกะอยู่ที่พื้น ต้วนจิ่นเจียงได้รับการปกป้องจากผู้คุ้มกันส่วนตัวหลายคนที่ใช้ร่างกายของพวกเขาเป็นเกราะป้องกัน ขณะนี้เขายังมีลมหายใจเหลืออยู่ซานเป่าซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ามองดูการดิ้นรนอย่างต่อเนื่องท่ามกลางทะเลเลือด ต้วนจิ่นเจียงคล้ายต้องการจะพูดบางอย่าง แต่เนื่องจากคอของเขาได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ดังนั้นจึงไม่สามารถเปล่งวาจาใดๆ ออกมาได้ ซานเป่าจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าต้วน บ่าวได้รับคำสั่งให้มาส่งท่านไปพบกับลูกชายของท่าน” “ฝนตกฟ้าร้อง ล้วนแล้วแต่เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ใต้เท้าต้วนโปรดเดินทางอย่างปลอดภัย”ซานเป่าพูดจบ แสงกระบี่ก็สว่างวูบ จากนั้นหัวของต้วนจิ่นเจียงก็
“บิดาเจ้าเป็นคนมีความสามารถ” คำพูดของหลี่เฉินไม่ได้มีคำชมมากเกินไป แต่เนื่องจากเขามีสถานะที่สูงศักดิ์ สำหรับจ้าวหรุ่ยแล้วมันกลับสร้างความมั่นใจได้อย่างยอดเยี่ยม นางกล่าวอย่างมีความสุขว่า “หากท่านพ่อได้ยินประโยคนี้ ไม่รู้ว่าจะดีใจมากเพียงใด”“ถ้าข้าอยากให้เขามีความสุข ก็แค่เลื่อนตำแหน่งขุนนางให้กับเขา นี่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่ถ้าเขาอยากทำให้ข้ามีความสุข นั่นกลับไม่ง่ายเลย”หลี่เฉินพูดกับจ้าวหรุ่ยว่า “บิดาเจ้ามีความสามารถ ข้าจึงให้ความสำคัญ แต่จะใช้การได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง” จ้าวหรุ่ยรีบพูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัย ท่านพ่อของหม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ และจะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง” หลี่เฉินยิ้มและไม่พูดอะไร เขารู้ดีว่าความรู้สึกในปัจจุบันของจ้าวหรุ่ยที่มีต่อเขา น่าจะมาจากบิดาของนางสักแปดเก้าส่วน สำหรับนางแล้ว ครอบครัวของนางสำคัญที่สุด แต่หลี่เฉินก็ไม่สนใจ เมื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ความรักระหว่างชายหญิงก็เป็นสิ่งนอกกายตราบใดที่มีอำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหรุ่ยหรือหญิงอื่นมันก็ไม่สำคัญ ปัญหามันอยู่ที่ว่าหลี่เฉินต้องการมันหรือไม่ ไม
“องค์หญิงเสด็จมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนเม้มปากแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อทูลลาฝ่าบาท” หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรเลยจินเสวี่ยยวนจึงกล่าวต่อไปว่า “สถานการณ์ภายในประเทศกำลังวิกฤต และตอนนี้เราก็ขาดแคลนคน ดังนั้นเสวี่ยยวนจึงไม่ต้องการอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลานาน ดังนั้นหม่อมฉันจึงมาขออนุญาตจากฝ่าบาท”หลี่เฉินกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าเข้าใจความกระตือรือร้นของเจ้าที่อยากจะกลับประเทศ และตกลงตามนั้น”เมื่อเห็นหลี่เฉินไม่คิดจะยับยั้ง จินเสวี่ยยวนก็แอบสะเทือนใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางกล่าวว่า “ขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทเพคะ” ณ จุดนี้ บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็เริ่มเย็นชาเมื่อเห็นหลี่เฉินไม่พูดอะไร จินเสวี่ยยวนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ โจวผิงอันไท่พูแห่งเสียนเฉาได้ลาออกจากเสียนเฉาแล้ว เขาบอกว่าเขามีความทะเยอทะยานอื่น และไม่ต้องการเป็นขุนนางในเสียนเฉาอีกต่อไป หม่อมฉันบังอาจถาม ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่?” “รู้” หลี่เฉินยอมรับอย่างไม่ลังเล“เขาทำงานให้ข้า”จินเสวี่ยยวนพูดด้วยความโกรธว่า “ต้าฉินเป็นถิ่นกำเนิดอัจฉ
การที่ว่าที่กษัตริย์ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับราชวงศ์หรือประเทศใดๆเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ถ้าหาตัวผู้กระทำความผิดได้ก็ช่างเถอะ สถานเบาอาจจะโดนฆ่าทันที สถานหนักอาจถูกประหารเก้าชั่วโคตร แต่ถ้าหากไม่พบผู้กระทำความผิด กรมยุติธรรม ศาลต้าหลี่และสำนักตรวจการจะจัดตั้งสามฝ่ายขึ้นมาเพื่อดำเนินการสืบสวน ซึ่งระดับการสืบสวนนั้นจะเข้มงวดมาก และขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิเท่านั้น ไม่ว่ากรมใดหรือใครก็ไม่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ มิฉะนั้นจะติดร่างแหเข้าไปด้วย แม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นองค์หญิงจากประเทศเล็กๆ แต่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหน ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของต้าฉินเลยจินเสวี่ยยวนไม่ใช่คนโง่ นางนึกถึงรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของนางโดยทันที ประตูเมืองหลวงถูกปิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ถนนหลักหลายสายอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก แม้กระทั่งที่หน้าประตูจุดพักแรมก็มีทหารสองกลุ่มยืนอยู่ ว่ากันว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา แต่จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไปตามถนนโดยไม่ได้รับอนุญา
หลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ เสด็จพ่อยังทรงพระชนม์อยู่ ข้าย่อมไม่อาจปลงพระชนม์ได้”สำหรับหลี่เฉิน นี่ถือเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความจริงใจโจวผิงอันยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แปลกใจกับคำปฏิเสธนั้น และตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยังมีอีกวิธี”“บีบให้จ้าวเสวียนจีก่อกบฏ”น้ำเสียงของโจวผิงอันเยือกเย็น “ไม่ว่าจะเป็นการที่องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์หรือวิธีอื่น เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้จ้าวเสวียนจีไม่มีทางเลือก จนต้องก่อกบฏ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะถูกประณามจากทั่วหล้า และไม่ว่าองค์ชายจะปลดหรือประหารเขา ก็จะเป็นไปตามครรลองแห่งธรรม”“ขุนนางก่อกบฏ องค์ชายทรงสังหาร นั่นคือความชอบธรรมที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”“เช่นนี้ จะช่วยให้ราษฎรสงบปากสงบคำ และยังป้องกันไม่ให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งหลายใช้ข้ออ้างว่าราชสำนักสั่นคลอนเพื่อยกทัพมาปราบด้วย”คำพูดนี้กระแทกใจหลี่เฉินโดยตรงทำไมเขาไม่กำจัดจ้าวเสวียนจีตั้งแต่ต้น?เพราะหากใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการกำจัดจ้าวเสวียนจี ราชสำนักจะเข้าสู่ภาวะอัมพาตทันทีแผ่นดินจะวุ่นวาย
คำพูดสั้นๆ ของโจวผิงอัน เปรียบได้กับพายุที่ทำแผ่นดินสั่นคลอนแม้แต่หลี่เฉินเองก็ยังต้องขมวดคิ้วคำพูดนี้ หากผู้ใดกล่าวออกไป ย่อมถูกนับเป็นกบฏและต้องโทษประหารชีวิต ไม่เพียงตัวเอง แต่ถึงขั้นล้างโคตรทั้งตระกูลแต่ในพระที่นั่งสีเจิ้งที่เงียบสงัดและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนอึดอัด กลับรู้สึกว่าเหมาะสมอย่างน่าประหลาดโจวผิงอันดูเหมือนไม่ใส่ใจกับความผิดร้ายแรงในคำพูดของตนเอง เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสงบ “ในตอนนี้ องค์ชายมีทั้งทำเลที่เหมาะสมและผู้คนที่สนับสนุน สิ่งที่ขาดไปคือโอกาสฟ้าประทาน ซึ่งโอกาสนั้นก็คือการที่ฝ่าบาทเสด็จสวรรคต เมื่อถึงตอนนั้น เส้นทางขึ้นครองบัลลังก์ขององค์ชายจะไร้อุปสรรค และเมื่อขึ้นครองราชย์ได้ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะสามารถใช้โอกาสแห่งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินกวาดล้างจ้าวเสวียนจีได้อย่างเบ็ดเสร็จ”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ เพียงคำเดียว “กบฏ”โจวผิงอันโค้งตัวคำนับ “องค์ชายทรงพระปรีชา”“จ้าวเสวียนจีผู้นี้ เปรียบได้กับจอมคนในยุคปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์สามก๊ก มีคำกล่าวเกี่ยวกับโจโฉว่า ‘เป็นขุนนางที่มีฝีมือในยุคแห่งความสงบ และจอมคนในยุคแห่งความปั่นป่วน’ จ้าวเสวียนจีก็คือโจโฉแห่งต้าฉิ
คำพูดของหลี่เฉิน หากพูดให้ใครฟังก็คงทำให้คนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แต่โจวผิงอันกลับไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอย่างจริงจังหลี่เฉินไม่ได้เร่งรัด ปล่อยให้โจวผิงอันใช้เวลาครุ่นคิดโจวผิงอันเป็นคนที่มาพร้อมกับความลึกลับ หน่วยบูรพาที่เก่งกาจยังสืบได้เพียงข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ลับระหว่างเขาและพี่น้องอีกสองคนเท่านั้น และข้อมูลนี้ก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผยเองด้วยส่วนเรื่องที่พวกเขามาจากไหน มีเป้าหมายอะไร และเป็นศิษย์ของใคร กลับไม่มีใครรู้ในแผ่นดินต้าฉิน คนที่ทำให้หน่วยบูรพาทำอะไรไม่ได้มีน้อยมาก และพี่น้องตระกูลโจวก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ความลึกลับนี้ไม่ได้ขัดขวางความร่วมมือระหว่างหลี่เฉินกับโจวผิงอันโจวผิงอันเป็นผู้มีสติปัญญาและกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการสำหรับเป้าหมายและแผนการเบื้องหลังของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ เรื่องในอนาคตก็ไม่มีความหมายหลังจากคิดอย่างถี่ถ้วน โจวผิงอันจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับหลี่เฉินว่า “ทำได้ แต่ความเสี่ยงสูงมาก”หลี่เฉิน
“อย่าทำตัวเหมือนผู้ชนะที่ได้ใจในสงครามต่อหน้าข้า บอกมาเถอะว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”คำพูดที่แข็งกร้าวของจ้าวชิงหลาน ทำให้รอยยิ้มอันภาคภูมิของหลี่เฉินหุบลง“อย่าทำหน้าบึ้งตึงไปเลย สิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำนั้นง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวชิงหลานหัวเราะเยาะ ไม่เชื่อคำพูดนั้นแม้แต่น้อยหลี่เฉินจึงพูดต่อทันที“สิ่งที่ข้าต้องการ คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย”คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของจ้าวชิงหลานหยุดนิ่งนางมองหลี่เฉินด้วยความตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่แน่ใจ“ชัดเจนหรือยัง? สิ่งที่ข้าต้องการจากท่านคือ…ไม่ต้องทำอะไรเลย”หลี่เฉินกล่าวเสริมอีกครั้งจ้าวชิงหลานมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา“ท่านต้องการให้ข้าไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับท่านพ่อของข้า ใช่หรือไม่?” จ้าวชิงหลานกัดฟันถามหลี่เฉินเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ เพราะเขารู้ดีว่า จ้าวชิงหลานเข้าใจความหมายของเขาแล้ว“สำหรับจ้าวไท่ไหล ข้าจะจัดการเอง ตราบใดที่เขาว่านอนสอนง่าย ก็จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้”พูดจบ หลี่เฉินก็ยืดเส้นยืดสายแล้วเดินออกจากตำหนัก“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะขอตัวก่อน ช่วงนี้งานยุ่งมาก”จ้าวชิงหลานกัดริมฝีปาก ม
คำพูดของจ้าวไท่ไหลทำให้จ้าวชิงหลานถึงกับนิ่งอึ้งนางมองดูจ้าวไท่ไหลที่กำลังหมดหนทาง เบื้องหน้านางคือน้องชายที่ไร้ความหวัง จ้าวชิงหลานกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะโทษใครได้? หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เอาถ่าน ใช้ชีวิตก่อปัญหาไปวันๆ”“ถ้าเจ้าทำให้เขาเห็นความหวังบ้าง เขาจะทำเช่นนี้หรือ?”“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”จ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกลัวและความกดดันมาทั้งวัน ทนฟังคำตำหนิของจ้าวชิงหลานไม่ไหว ความโกรธของเขาพุ่งพล่านเขาเอ่ยด้วยความโกรธ “ต่อให้ข้าไร้ค่าเพียงใด ข้าก็ยังเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา! ข้าเป็นสายเลือดตระกูลจ้าว เป็นคนสืบทอดวงศ์ตระกูลของเขา แล้วนี่เขาตอบแทนข้าด้วยการทำเช่นนี้หรือ?”“ที่ผ่านมา ต่อให้เขาตีข้าหรือด่าข้า ข้าก็ยังเคารพและชื่นชมเขาอยู่ในใจ แต่ตอนนี้เล่า? เขาคิดจะส่งข้าไปให้เหวินอ๋องระบายความโกรธ นี่เขาเสียสติไปแล้ว ท่านพี่มองไม่ออกหรือ?”“ตั้งแต่ตำหนักบูรพาเรืองอำนาจ องค์รัชทายาทแย่งอำนาจไปจากมือเขาแทบทั้งหมด เขาก็กลัวมาตลอด กลัวว่าตัวเองจะหมดสิ้นทุกสิ่ง เขาเคยเสวยสุขกับอำนาจมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับคลุ้มคลั่งเพื่อปกป้องมัน!”“เขาส่งพี่ไปให้ฮ่องเต้ก่อน แต่แล้วฮ่อง
แม้หลี่เฉินจะไม่ได้รับสั่งใดๆ หรืออธิบายเพิ่มเติม แต่เฉินทงก็รู้ดีว่างานที่องค์รัชทายาททรงมอบหมายให้เขาดูแลด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นเรื่องลับแน่นอนยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและจ้าวไท่ไหลเพื่อความปลอดภัย เฉินทงจึงไม่ได้พาจ้าวไท่ไหลเข้าประตูใหญ่ แต่ใช้เส้นทางลับที่พวกขันที นางกำนัล และผู้ดูแลวังใช้เข้าออก โดยอ้อมเข้าประตูด้านข้างของพระราชวังหลวงระหว่างทาง เฉินทงไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงนำทางจ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกังวลเดินไปอย่างเงียบๆส่วนจ้าวไท่ไหลนั้น ใจยังคงสับสนวุ่นวาย ไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องที่บิดาของเขาต้องการฆ่าเขาได้เต็มที่ เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรเช่นกันทั้งสองเดินกันอย่างเงียบงันเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งมาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งสี่ทหารรักษาการณ์ นางกำนัล และขันทีในตำหนักเฟิ่งสี่ล้วนถูกเปลี่ยนให้เป็นคนของตำหนักบูรพา เฉินทงจึงสามารถพาจ้าวไท่ไหลเข้าไปได้โดยไม่มีอุปสรรคเมื่อเข้ามาในตำหนักเฟิ่งสี่แล้ว จ้าวชิงหลานที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเห็นจ้าวไท่ไหลในชุดปลอมตัวก็ถึงกับประหลาดใจ“ท่านพี่!”เมื่อเห็นจ้าวชิงหลาน จ้าวไท่ไหลก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อซูผิงเป่ยได้ยินคำพูดนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนว่า “กระหม่อม…น้อมรับพระบัญชา”“นี่ไม่ใช่คำสั่งทหาร”หลี่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “การตกหลุมรักเป็นเรื่องของเจ้าเอง งานสมรสนี้ข้าจัดหาให้ แต่ความรู้สึกเป็นของเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้ ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าต้องสมรส”แม้ว่าหลี่เฉินจะได้ประโยชน์จากการสมรส แต่เขายังคงมีจิตวิญญาณอย่างคนสมัยใหม่ จึงให้ความสำคัญกับความรู้สึกส่วนตัวในเรื่องการสมรสเขาคิดในใจว่าหากซูจิ่นพ่าเป็นคนที่หน้าตาน่าเกลียดมาก ต่อให้ผลประโยชน์ทางการเมืองจะมากเพียงใด เขาก็อาจจะยอมสมรสเพื่อผูกมิตรกับซูเจิ้นถิง แต่ซูจิ่นพ่าคงได้เป็นเพียงเครื่องหมายประดับในตำหนักหลังเท่านั้น คงไม่มีทางได้ขึ้นเป็นชายาองค์รัชทายาทเพราะการสมรสคือเรื่องสำคัญตลอดชีวิต เมื่อสมรสแล้ว หากไม่มีเหตุผลอันใหญ่หลวง จะต้องอยู่ร่วมกับคนๆ นั้นไปตลอด หลี่เฉินจึงเปิดโอกาสไว้เล็กน้อยสำหรับซูผิงเป่ยและหลี่เพ่ยเพ่ยถ้าหากไม่ชอบจริงๆ การบังคับสมรสก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่ดูเหมือนว่าซูผิงเป่ยจะเข้าใจความหมายของหลี่เฉินผิดไป เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน
เมื่อได้ยินคำถามของหลี่เฉิน หลี่เพ่ยเพ่ยที่พอจะเตรียมใจไว้แล้วก็ยังตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าตอบเบาๆ ว่า “ยังไม่มีเพคะ”การสมรสขององค์ชายและองค์หญิงส่วนใหญ่ มักไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง โดยเฉพาะองค์หญิงที่ใช้ชีวิตในวังลึกมาตลอด มีโอกาสได้พบปะชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันน้อยมาก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครในดวงใจยิ่งไปกว่านั้น ในยุคสมัยนี้ หญิงที่มีอิสระในความคิดเหมือนกับซูจิ่นพ่า เรียกได้ว่าเป็นส่วนน้อยมาก คำตอบของหลี่เพ่ยเพ่ยจึงเป็นสิ่งที่หลี่เฉินคาดไว้อยู่แล้วหลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าก็ถึงวัยแล้ว หากไม่รีบออกเรือน เกรงว่าจะกลายเป็นสาวแก่ นั่นไม่เหมาะสมทั้งในด้านความรู้สึกและเหตุผล เสด็จพี่รองจึงคิดจะหาเจ้าบ่าวให้เจ้า คนที่ข้าหมายตาไว้คือซูผิงเป่ย บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ซู เขาเพิ่งกลับจากชัยชนะในสนามรบ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราววีรกรรมของเขามาบ้าง?”หลี่เพ่ยเพ่ยตอบเบาๆ ว่า “เพ่ยเพ่ยเคยได้ยินถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของแม่ทัพซูอยู่บ้างเพคะ”หลี่เฉินยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี แม่ทัพใหญ่ซูมีบุตรเพียงสองคน คือซูผิงเป่ยและซูจิ่นพ่า ซึ่งอีกไม่นานซูจิ่นพ่าก็จะเข้ามาเป็นชายาองค์รัชทาย
เมื่อเห็นสวีหยวนต๋าและคนอื่นๆ แสดงท่าทีตอบรับ หลี่เฉินลุกขึ้นกล่าวว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้จัดการตามนี้แล้วกัน”จากนั้นเขาก็เอามือไพล่หลังเดินออกจากหลันเยว่เซวียน ก่อนจะเหลือบมองเหล่าหนุ่มน้อยที่ยังคุกเข่าอยู่หน้าประตู ในยามกลางวันเช่นนี้ การให้พวกเขาคุกเข่าอยู่นั้นก็เท่ากับเป็นการลงโทษให้ผู้คนเห็น คนเหล่านั้นต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบสายตาใคร ทั้งยังมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง“คุกเข่าให้ครบสองชั่วยามแล้วค่อยลุก จากนั้นส่งตัวตรงไปยังค่ายทหาร”หลี่เฉินกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเขาเชื่อว่าสวีหยวนต๋าและพวกจะไม่กล้าทำท่าทีตีสองหน้าเพราะหน่วยบูรพาเฝ้าจับตาอยู่ใกล้ๆใครกล้าเล่นตุกติก ไม่ใช่แค่ลูกชายจะถูกส่งไป แม้แต่พ่อก็อาจจะต้องตามไปด้วยเมื่อหลี่เฉินจากไป สวีหยวนต๋าและบรรดาบิดาจึงเดินมายังหน้าลูกชายของตน ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่พวกเขาด้วยความโกรธสวีหยวนต๋าไม่ฟาดลูกชายตัวเอง เพราะใบหน้าของลูกชายเขาก็เหมือนหัวหมูอยู่แล้วเขาชี้ไปที่ลูกชายตนพร้อมกล่าวด้วยความเจ็บใจว่า “เจ้ามันไร้ความสามารถโดยแท้ วันนี้ถือว่าโชคดีนัก ไม่เช่นนั้น ตระกูลเราคงต้องถูกเจ้าทำให้พินาศหมดสิ้นแน่!”ลูกชายเขาถามด