การที่ว่าที่กษัตริย์ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับราชวงศ์หรือประเทศใดๆเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ถ้าหาตัวผู้กระทำความผิดได้ก็ช่างเถอะ สถานเบาอาจจะโดนฆ่าทันที สถานหนักอาจถูกประหารเก้าชั่วโคตร แต่ถ้าหากไม่พบผู้กระทำความผิด กรมยุติธรรม ศาลต้าหลี่และสำนักตรวจการจะจัดตั้งสามฝ่ายขึ้นมาเพื่อดำเนินการสืบสวน ซึ่งระดับการสืบสวนนั้นจะเข้มงวดมาก และขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิเท่านั้น ไม่ว่ากรมใดหรือใครก็ไม่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ มิฉะนั้นจะติดร่างแหเข้าไปด้วย แม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นองค์หญิงจากประเทศเล็กๆ แต่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหน ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของต้าฉินเลยจินเสวี่ยยวนไม่ใช่คนโง่ นางนึกถึงรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของนางโดยทันที ประตูเมืองหลวงถูกปิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ถนนหลักหลายสายอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก แม้กระทั่งที่หน้าประตูจุดพักแรมก็มีทหารสองกลุ่มยืนอยู่ ว่ากันว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา แต่จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไปตามถนนโดยไม่ได้รับอนุญา
“มองจากตรงนี้แล้ว ทิวทัศน์แตกต่างไปหรือไม่?” หลี่เฉินพูดกับจินเสวี่ยยวนโดยวางคางบนไหล่ของจินเสวี่ยยวนที่กำลังหวาดกลัวร่างกายของจินเสวี่ยยวนตึงเครียดราวกับสายธนูที่ง้างไว้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน นางก็มองไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวตำแหน่งนี้อยู่ตรงข้ามประตูใหญ่ของพระที่นั่งสีเจิ้ง เนื่องจากพระที่นั่งสีเจิ้งเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ติดต่อหรือเรียนรู้กิจของรัฐขององค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ขนาดของห้องจึงใหญ่เป็นอันดับสองรองจากพระที่นั่งไท่เหอและพระที่นั่งอู่อิงที่องค์จักรพรรดิ์ใช้ฐานของพระที่นั่งทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 1.8 จั้ง และมีบันไดหินอ่อนสีขาว 6 ขั้น ยาว 17 ก้าว ภายในห้องโถงกว้าง 18.9 จั้ง และลึก 6.9 จั้ง เสาแกะสลักมังกรเคลือบสีแดงสิบเจ็ดเสาซึ่งมีขนาดเท่าชายแข็งแกร่งสามคนโอบ คอยประคองห้องโถงนี้เสาเหล่านี้ล้วนทำจากไม้จันทน์แดงที่ดีที่สุด ซึ่งถูกขุดขึ้นจากภูเขาลึกด้วยกำลังคน แล้วใช้เงินจำนวนมากเพื่อส่งเข้าเมืองหลวง ใดๆ คือ สิ่งนี้ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ไม่สามารถวัดค่าได้ด้วยเงินหินทั้งหมดทำจากหินอ่อนสีขาวคุณภาพสูงทั่วทั้งห้องโถง และไม้ทั้งหมดทำจากไม้กฤษณาและไม้หวางฮวาหลีซึ่งจะไ
“ฝ่าบาท ไม่ได้!” จินเสวี่ยยวนพยายามลุกขึ้น แต่กลับถูกหลี่เฉินคว้าเอวเอาไว้ “ตะโกนทำไม หรือเจ้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าองค์หญิงแห่งเสียนเฉาและองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินกำลังทำเรื่องบัดสีในพระที่นั่งสีเจิ้ง?” คำพูดของหลี่เฉินทำให้จินเสวี่ยยวนทั้งอับอายทั้งโมโห“ทำเรื่องบัดสี...ฝ่าบาททรงตรัสสิ่งใดออกมา ช่างไม่น่าฟังยิ่งนัก... คำพูดแบบพยายามปกปิดของจินเสวี่ยยวนทำให้หลี่เฉินหัวเราะขึ้นมา“ใช่ ข้าเสียมารยาทไปแล้ว เจ้าและข้าเพียงพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดเท่านั้นเอง”คางของหลี่เฉินกดทับกระดูกไหปลาร้าที่นุ่มนวลและเรียบเนียนของจินเสวี่ยยวน แก้มของหลี่เฉินสัมผัสกับใบหน้าขาวนวลราวกับปอกเปลือกไข่อย่างชัดเจน และหลี่เฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนบนแก้มของเขา เมื่อถูแก้มนางกับตนเองก็รู้สึกถึงความอัศจรรย์ที่ยอดเยี่ยม การสัมผัสเช่นนี้ ทำให้จินเสวี่ยยวนไวต่อประสาทสัมผัสสุดขีด สถานที่เช่นนี้ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ล้วนกระตุ้นจินเสวี่ยยวน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่เฉินถึงได้กล้าเช่นนี้หากใครมาเห็นฉากนี้เข้า นางคงจะแย่ยิ่งกว่าตาย และหลี่เฉินก็จะสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียง คิดถึงตรงนี้ จินเสวี่ยยวนก็ใช
คนรายงานด้านนอกก็ไม่ส่งเสียงขึ้นมาอีก องค์รัชทายาททรงมีพระอารมณ์ที่ไม่แน่นอน ทุกคนในตำหนักจึงเข้าใจตรงกันว่าอย่าทำให้พระองค์ทรงพิโรธ ส่วนเรื่องขบวนเสด็จของฮองเฮานั้น ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่สนใจ แล้วบ่าวไพร่อย่างพวกเขาจะทำสิ่งใดได้? แม้ว่าจะไม่มีเสียงจากด้านนอกอีก แต่จินเสวี่ยยวนก็รู้ว่าเรื่องนี้มันยังไม่จบ นางได้ยินอย่างชัดเจนว่า ฮองเฮากำลังเสด็จมานางตกใจจนขวัญกระเจิง และยื่นมือออกไปต่อต้านหลี่เฉินที่อยู่ด้านหลัง “ฮองเฮากำลังเสด็จ เจ้า เจ้ารีบออกไปเร็ว” น้ำเสียงของจินเสวี่ยยวนนั้นใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มที “เร็วเข้า” หลี่เฉินจับมือของจินเสวี่ยยวนแล้วโน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูนางว่า “ปากว่าอย่า แต่ร่างกายของเจ้ากลับซื่อสัตย์มาก เสวี่ยยวนวันนี้เจ้าดูอ่อนไหวไปหน่อยนะ?”เสียงที่ไม่พึงประสงค์ลอยเข้าหูพร้อมกับการเคลื่อนไหวของหลี่เฉิน ซึ่งจินเสวี่ยยวนรู้ว่าหลี่เฉินหมายถึงอะไรใบหน้าของนางแดงก่ำราวกับเลือดและหลับตาลงด้วยความโกรธและอับอาย ปฏิเสธที่จะพูดอะไรอีกต่อไป ได้แต่หวังว่าปีศาจที่อยู่ข้างหลังนางจะรีบจบเรื่องสักที ตอนนี้เอง ด้านนอกของพระที่นั่งสีเจิ้ง ขบวนเสด็จข
เสียงเกรี้ยวกราดของจ้าวชิงหลานดังมาจากด้านนอก“อ๊า!” จินเสวี่ยยวนร้องออกมาเบาๆ ในที่สุดร่างกายของนางก็ผ่านจุดวิกฤตนี้ไปได้ หลี่เฉินครางเบาๆ ก่อนจะกอดจินเสวี่ยยวนแน่น และรู้สึกว่าเขาจะไม่ยอมแลกช่วงเวลาที่งดงามเช่นนี้กับสิ่งใด เมื่อทั้งสองสิ้นสุดกิจกรรม ต่างก็นั่งตัวอ่อนบนเก้าอี้ ครั้งนี้ มันตึงเครียดและน่าตื่นเต้นกว่าครั้งก่อนๆ มาก หลังจากความตื่นเต้นผ่านพ้นไป ความตื่นตระหนกก็มาแทนที่ จะเกิดอะไรขึ้นกับหลี่เฉินนั้น จินเสวี่ยยวนไม่รู้ แต่นางรู้แค่ว่าตัวเองกลัวมากจริงๆนางไม่กล้านึกภาพเลยว่าจุดจบของนางจะจบลงอย่างน่าสังเวชเพียงใด หากฮองเฮาแห่งต้าฉินบุกเข้ามาในนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ความอับอายในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ทำให้นางฆ่าตัวตายได้แล้วไม่มีเวลาจัดแจงตัวเองแล้ว จินเสวี่ยยวนลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่อ่อนล้า หลังจากสวมเสื้อผ้าและจัดผมเผ้าเสร็จเรียบร้อย นางกลับเห็นหลี่เฉินนั่งเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ และท่าทางพออกพอใจนั่นก็ทำให้นางทั้งโกรธทั้งอาย “อย่ากลัวไปเลย” หลี่เฉินค่อยๆ จัดระเบียบตัวเองแล้วพูดว่า “นางไม่กล้าบุกเข้ามาหรอก” จินเสวี่ยยวนชะงัก นี่เ
การค้นพบนี้ทำให้จ้าวหรุ่ยรู้สึกกังวล “จินเสวี่ยยวนองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ถวายบังคมฮองเฮาแห่งต้าฉิน ฮองเฮาทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ” ต่อหน้าจ้าวชิงหลาน จินเสวี่ยยวนพยายามสงวนท่าทางที่ต่ำต้อยมากที่สุด นางโค้งคำนับก่อน แต่ในขณะที่ก้มศีรษะลง ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของนางหากพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว คนตรงหน้าอายุมากกว่าตัวเองเพียงสองปีเท่านั้น และฮองเฮาที่งดงามเช่นนี้ก็คือแม่สามีของนางหรือเปล่า? วินาทีต่อมา จินเสวี่ยยวนก็อยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด นางรู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอายมากที่มีความคิดเช่นนั้น ไอ้สารเลวนั่นตายไปซะถึงจะดี จ้าวชิงหลานมองไปที่จินเสวี่ยยวนด้วยสายตาเยือกเย็นครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ลุกขึ้นเถอะ”นางไม่นึกว่าหลี่เฉินกำลังพูดคุยกับองค์หญิงแห่งเสียนเฉาอยู่จริงๆ เพียงแต่ว่าด้วยสัญชาตญาณของนาง จ้าวชิงหลานจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าต้องมีบางอย่างอยู่ในกอไผ่เมื่อก้าวเข้าสู่พระที่นั่งสีเจิ้ง นางก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆ ภายในห้อง ส่วนหลี่เฉินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อจมูกสวยดมกลิ่น จ้าวชิงหลานก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีกลิ่นแปลกๆ อยู่ในอากาศท่าทางละเอียดอ่อน
จ้าวชิงหลานไม่ได้ปฏิเสธคำขอของหลี่เฉินที่จะพูดคุยกันตามลำพัง และยอมให้คนอื่นๆ ถูกหลี่เฉินไล่ออกไป ไม่ช้า ภายในพระที่นั่งสีเจิ้งจึงเหลือแค่หลี่เฉินกับจ้าวชิงหลานเพียงสองคน “คุยกันแบบตรงไปตรงมาเถอะ”หลี่เฉินมองจ้าวชิงหลานด้วยสายตาที่เฉยชา และพูดอย่างไม่ลังเลใจว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะส่งเสริมเรื่องส่งทหารไปยังเสียนเฉา” “และการขัดขวางเรื่องนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า” นี่เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากที่จ้าวชิงหลานจะได้เปรียบหลี่เฉิน เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของหลี่เฉิน ในใจของจ้าวชิงหลานก็รู้สึกมีความสุขมาก ในที่สุดก็ถึงคราวที่คนสารเลวอย่างเจ้าไม่มีปัญญาทำอะไรได้บ้างแล้วสินะ? “ในฐานะที่ข้าคือฮองเฮาแห่งต้าฉิน แน่นอนว่าข้าไม่สามารถเฝ้าดูเจ้าใช้ท้องพระคลังของประเทศที่กำลังอ่อนแออย่างสุรุ่ยสุร่ายแบบไร้ยางอายได้!”คำพูดของจ้าวชิงหลาน ทำให้หลี่เฉินยกยิ้มขึ้นมา เขากล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ประโยคนี้น่าเบื่อมาก ประเทศก็คือประเทศ และยังเป็นประเทศของตระกูลหลี่ข้า มิใช่ตระกูลจ้าวของเจ้า” จ้าวชิงหลานเลิกคิ้วสวย และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “องค์รัชทายาทพูดเช่นนี้ แสดงว่าไม่เชื่อฟัง”
แต่การกำจัดองค์รัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่ายจนถึงตอนนี้ หลังจากการประนีประนอมและยอมถอยอยู่หลายครั้ง อำนาจของตำหนักบูรพาก็ขยายตัวออกไป องค์รัชทายาทในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยเป็นอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ใช่องค์รัชทายาทที่ไร้ประโยชน์ที่ถูกผู้คนมองข้ามอีกต่อไป เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งในตอนนั้นมีแต่ชื่อเปล่าๆ ในตอนนี้ องค์รัชทายาททรงปีกกล้าขาแข็งอย่างเต็มที่แล้ว เขาไม่ใช่คนที่นางและพ่อของนางสามารถกำจัดได้อีกต่อไปหากต้องการ แต่เป็นว่าที่กษัตริย์ที่มีอิทธิพลต่อจักรวรรดิอย่างแท้จริง แต่...แล้วอย่างไรล่ะ? จ้าวชิงหลานมองตรงไปที่หลี่เฉิยโดยไม่ยอมถอยนางรู้ว่าเรื่องนี้แม้ไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อนางทำไปแล้ว นางจะไม่ยอมถอยอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันหลี่เฉินก็มองไปที่จ้าวชิงหลานด้วยเช่นกันดวงตาของเขาสงบนิ่งราวกับเหวลึกที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ และดวงตาสีดำดุจหมึกคู่นั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่จู่ๆ หลี่เฉินก็ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนี้ ทำให้อากาศที่เกือบจะกลายเป็นน้ำแข็งในพระที่นั่งสีเจิ้งเริ่มไหลเวียนขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับโลก