ฝนธนูถูกยิงอย่างต่อเนื่องและกินเวลานับร้อยลมหายใจหลังจากถุงหนังใส่ลูกศรทั้งสองถุงที่ติดตัวนักธนูทุกคนว่างเปล่า ซานเป่าก็สั่งให้องครักษ์เสื้อแพรด้านหลังของเขาเข้าไปในที่เกิดเหตุเมื่อเข้ามาในที่เกิดเหตุ พวกเขาก็ชักดาบออกมาซ้ำ ตลอดทางที่ควบม้าผ่าน ตราบใดที่มีคนนอนอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเขาทั้งหมดจะถูกแทงในจุดสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าตายสนิท ซานเป่าขี่ม้ามาถึงใจกลางขบวนแห่ศพซึ่งมีศพนอนระเกระกะอยู่ที่พื้น ต้วนจิ่นเจียงได้รับการปกป้องจากผู้คุ้มกันส่วนตัวหลายคนที่ใช้ร่างกายของพวกเขาเป็นเกราะป้องกัน ขณะนี้เขายังมีลมหายใจเหลืออยู่ซานเป่าซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ามองดูการดิ้นรนอย่างต่อเนื่องท่ามกลางทะเลเลือด ต้วนจิ่นเจียงคล้ายต้องการจะพูดบางอย่าง แต่เนื่องจากคอของเขาได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ดังนั้นจึงไม่สามารถเปล่งวาจาใดๆ ออกมาได้ ซานเป่าจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าต้วน บ่าวได้รับคำสั่งให้มาส่งท่านไปพบกับลูกชายของท่าน” “ฝนตกฟ้าร้อง ล้วนแล้วแต่เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ใต้เท้าต้วนโปรดเดินทางอย่างปลอดภัย”ซานเป่าพูดจบ แสงกระบี่ก็สว่างวูบ จากนั้นหัวของต้วนจิ่นเจียงก็
“บิดาเจ้าเป็นคนมีความสามารถ” คำพูดของหลี่เฉินไม่ได้มีคำชมมากเกินไป แต่เนื่องจากเขามีสถานะที่สูงศักดิ์ สำหรับจ้าวหรุ่ยแล้วมันกลับสร้างความมั่นใจได้อย่างยอดเยี่ยม นางกล่าวอย่างมีความสุขว่า “หากท่านพ่อได้ยินประโยคนี้ ไม่รู้ว่าจะดีใจมากเพียงใด”“ถ้าข้าอยากให้เขามีความสุข ก็แค่เลื่อนตำแหน่งขุนนางให้กับเขา นี่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่ถ้าเขาอยากทำให้ข้ามีความสุข นั่นกลับไม่ง่ายเลย”หลี่เฉินพูดกับจ้าวหรุ่ยว่า “บิดาเจ้ามีความสามารถ ข้าจึงให้ความสำคัญ แต่จะใช้การได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง” จ้าวหรุ่ยรีบพูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัย ท่านพ่อของหม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ และจะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง” หลี่เฉินยิ้มและไม่พูดอะไร เขารู้ดีว่าความรู้สึกในปัจจุบันของจ้าวหรุ่ยที่มีต่อเขา น่าจะมาจากบิดาของนางสักแปดเก้าส่วน สำหรับนางแล้ว ครอบครัวของนางสำคัญที่สุด แต่หลี่เฉินก็ไม่สนใจ เมื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ความรักระหว่างชายหญิงก็เป็นสิ่งนอกกายตราบใดที่มีอำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหรุ่ยหรือหญิงอื่นมันก็ไม่สำคัญ ปัญหามันอยู่ที่ว่าหลี่เฉินต้องการมันหรือไม่ ไม
“องค์หญิงเสด็จมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนเม้มปากแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อทูลลาฝ่าบาท” หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรเลยจินเสวี่ยยวนจึงกล่าวต่อไปว่า “สถานการณ์ภายในประเทศกำลังวิกฤต และตอนนี้เราก็ขาดแคลนคน ดังนั้นเสวี่ยยวนจึงไม่ต้องการอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลานาน ดังนั้นหม่อมฉันจึงมาขออนุญาตจากฝ่าบาท”หลี่เฉินกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าเข้าใจความกระตือรือร้นของเจ้าที่อยากจะกลับประเทศ และตกลงตามนั้น”เมื่อเห็นหลี่เฉินไม่คิดจะยับยั้ง จินเสวี่ยยวนก็แอบสะเทือนใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางกล่าวว่า “ขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทเพคะ” ณ จุดนี้ บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็เริ่มเย็นชาเมื่อเห็นหลี่เฉินไม่พูดอะไร จินเสวี่ยยวนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ โจวผิงอันไท่พูแห่งเสียนเฉาได้ลาออกจากเสียนเฉาแล้ว เขาบอกว่าเขามีความทะเยอทะยานอื่น และไม่ต้องการเป็นขุนนางในเสียนเฉาอีกต่อไป หม่อมฉันบังอาจถาม ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่?” “รู้” หลี่เฉินยอมรับอย่างไม่ลังเล“เขาทำงานให้ข้า”จินเสวี่ยยวนพูดด้วยความโกรธว่า “ต้าฉินเป็นถิ่นกำเนิดอัจฉ
การที่ว่าที่กษัตริย์ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับราชวงศ์หรือประเทศใดๆเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ถ้าหาตัวผู้กระทำความผิดได้ก็ช่างเถอะ สถานเบาอาจจะโดนฆ่าทันที สถานหนักอาจถูกประหารเก้าชั่วโคตร แต่ถ้าหากไม่พบผู้กระทำความผิด กรมยุติธรรม ศาลต้าหลี่และสำนักตรวจการจะจัดตั้งสามฝ่ายขึ้นมาเพื่อดำเนินการสืบสวน ซึ่งระดับการสืบสวนนั้นจะเข้มงวดมาก และขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิเท่านั้น ไม่ว่ากรมใดหรือใครก็ไม่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ มิฉะนั้นจะติดร่างแหเข้าไปด้วย แม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นองค์หญิงจากประเทศเล็กๆ แต่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหน ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของต้าฉินเลยจินเสวี่ยยวนไม่ใช่คนโง่ นางนึกถึงรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของนางโดยทันที ประตูเมืองหลวงถูกปิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ถนนหลักหลายสายอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก แม้กระทั่งที่หน้าประตูจุดพักแรมก็มีทหารสองกลุ่มยืนอยู่ ว่ากันว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา แต่จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไปตามถนนโดยไม่ได้รับอนุญา
“มองจากตรงนี้แล้ว ทิวทัศน์แตกต่างไปหรือไม่?” หลี่เฉินพูดกับจินเสวี่ยยวนโดยวางคางบนไหล่ของจินเสวี่ยยวนที่กำลังหวาดกลัวร่างกายของจินเสวี่ยยวนตึงเครียดราวกับสายธนูที่ง้างไว้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน นางก็มองไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวตำแหน่งนี้อยู่ตรงข้ามประตูใหญ่ของพระที่นั่งสีเจิ้ง เนื่องจากพระที่นั่งสีเจิ้งเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ติดต่อหรือเรียนรู้กิจของรัฐขององค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ขนาดของห้องจึงใหญ่เป็นอันดับสองรองจากพระที่นั่งไท่เหอและพระที่นั่งอู่อิงที่องค์จักรพรรดิ์ใช้ฐานของพระที่นั่งทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 1.8 จั้ง และมีบันไดหินอ่อนสีขาว 6 ขั้น ยาว 17 ก้าว ภายในห้องโถงกว้าง 18.9 จั้ง และลึก 6.9 จั้ง เสาแกะสลักมังกรเคลือบสีแดงสิบเจ็ดเสาซึ่งมีขนาดเท่าชายแข็งแกร่งสามคนโอบ คอยประคองห้องโถงนี้เสาเหล่านี้ล้วนทำจากไม้จันทน์แดงที่ดีที่สุด ซึ่งถูกขุดขึ้นจากภูเขาลึกด้วยกำลังคน แล้วใช้เงินจำนวนมากเพื่อส่งเข้าเมืองหลวง ใดๆ คือ สิ่งนี้ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ไม่สามารถวัดค่าได้ด้วยเงินหินทั้งหมดทำจากหินอ่อนสีขาวคุณภาพสูงทั่วทั้งห้องโถง และไม้ทั้งหมดทำจากไม้กฤษณาและไม้หวางฮวาหลีซึ่งจะไ
“ฝ่าบาท ไม่ได้!” จินเสวี่ยยวนพยายามลุกขึ้น แต่กลับถูกหลี่เฉินคว้าเอวเอาไว้ “ตะโกนทำไม หรือเจ้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าองค์หญิงแห่งเสียนเฉาและองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินกำลังทำเรื่องบัดสีในพระที่นั่งสีเจิ้ง?” คำพูดของหลี่เฉินทำให้จินเสวี่ยยวนทั้งอับอายทั้งโมโห“ทำเรื่องบัดสี...ฝ่าบาททรงตรัสสิ่งใดออกมา ช่างไม่น่าฟังยิ่งนัก... คำพูดแบบพยายามปกปิดของจินเสวี่ยยวนทำให้หลี่เฉินหัวเราะขึ้นมา“ใช่ ข้าเสียมารยาทไปแล้ว เจ้าและข้าเพียงพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดเท่านั้นเอง”คางของหลี่เฉินกดทับกระดูกไหปลาร้าที่นุ่มนวลและเรียบเนียนของจินเสวี่ยยวน แก้มของหลี่เฉินสัมผัสกับใบหน้าขาวนวลราวกับปอกเปลือกไข่อย่างชัดเจน และหลี่เฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนบนแก้มของเขา เมื่อถูแก้มนางกับตนเองก็รู้สึกถึงความอัศจรรย์ที่ยอดเยี่ยม การสัมผัสเช่นนี้ ทำให้จินเสวี่ยยวนไวต่อประสาทสัมผัสสุดขีด สถานที่เช่นนี้ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ล้วนกระตุ้นจินเสวี่ยยวน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่เฉินถึงได้กล้าเช่นนี้หากใครมาเห็นฉากนี้เข้า นางคงจะแย่ยิ่งกว่าตาย และหลี่เฉินก็จะสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียง คิดถึงตรงนี้ จินเสวี่ยยวนก็ใช
คนรายงานด้านนอกก็ไม่ส่งเสียงขึ้นมาอีก องค์รัชทายาททรงมีพระอารมณ์ที่ไม่แน่นอน ทุกคนในตำหนักจึงเข้าใจตรงกันว่าอย่าทำให้พระองค์ทรงพิโรธ ส่วนเรื่องขบวนเสด็จของฮองเฮานั้น ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่สนใจ แล้วบ่าวไพร่อย่างพวกเขาจะทำสิ่งใดได้? แม้ว่าจะไม่มีเสียงจากด้านนอกอีก แต่จินเสวี่ยยวนก็รู้ว่าเรื่องนี้มันยังไม่จบ นางได้ยินอย่างชัดเจนว่า ฮองเฮากำลังเสด็จมานางตกใจจนขวัญกระเจิง และยื่นมือออกไปต่อต้านหลี่เฉินที่อยู่ด้านหลัง “ฮองเฮากำลังเสด็จ เจ้า เจ้ารีบออกไปเร็ว” น้ำเสียงของจินเสวี่ยยวนนั้นใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มที “เร็วเข้า” หลี่เฉินจับมือของจินเสวี่ยยวนแล้วโน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูนางว่า “ปากว่าอย่า แต่ร่างกายของเจ้ากลับซื่อสัตย์มาก เสวี่ยยวนวันนี้เจ้าดูอ่อนไหวไปหน่อยนะ?”เสียงที่ไม่พึงประสงค์ลอยเข้าหูพร้อมกับการเคลื่อนไหวของหลี่เฉิน ซึ่งจินเสวี่ยยวนรู้ว่าหลี่เฉินหมายถึงอะไรใบหน้าของนางแดงก่ำราวกับเลือดและหลับตาลงด้วยความโกรธและอับอาย ปฏิเสธที่จะพูดอะไรอีกต่อไป ได้แต่หวังว่าปีศาจที่อยู่ข้างหลังนางจะรีบจบเรื่องสักที ตอนนี้เอง ด้านนอกของพระที่นั่งสีเจิ้ง ขบวนเสด็จข
เสียงเกรี้ยวกราดของจ้าวชิงหลานดังมาจากด้านนอก“อ๊า!” จินเสวี่ยยวนร้องออกมาเบาๆ ในที่สุดร่างกายของนางก็ผ่านจุดวิกฤตนี้ไปได้ หลี่เฉินครางเบาๆ ก่อนจะกอดจินเสวี่ยยวนแน่น และรู้สึกว่าเขาจะไม่ยอมแลกช่วงเวลาที่งดงามเช่นนี้กับสิ่งใด เมื่อทั้งสองสิ้นสุดกิจกรรม ต่างก็นั่งตัวอ่อนบนเก้าอี้ ครั้งนี้ มันตึงเครียดและน่าตื่นเต้นกว่าครั้งก่อนๆ มาก หลังจากความตื่นเต้นผ่านพ้นไป ความตื่นตระหนกก็มาแทนที่ จะเกิดอะไรขึ้นกับหลี่เฉินนั้น จินเสวี่ยยวนไม่รู้ แต่นางรู้แค่ว่าตัวเองกลัวมากจริงๆนางไม่กล้านึกภาพเลยว่าจุดจบของนางจะจบลงอย่างน่าสังเวชเพียงใด หากฮองเฮาแห่งต้าฉินบุกเข้ามาในนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ความอับอายในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ทำให้นางฆ่าตัวตายได้แล้วไม่มีเวลาจัดแจงตัวเองแล้ว จินเสวี่ยยวนลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่อ่อนล้า หลังจากสวมเสื้อผ้าและจัดผมเผ้าเสร็จเรียบร้อย นางกลับเห็นหลี่เฉินนั่งเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ และท่าทางพออกพอใจนั่นก็ทำให้นางทั้งโกรธทั้งอาย “อย่ากลัวไปเลย” หลี่เฉินค่อยๆ จัดระเบียบตัวเองแล้วพูดว่า “นางไม่กล้าบุกเข้ามาหรอก” จินเสวี่ยยวนชะงัก นี่เ