การค้นพบนี้ทำให้จ้าวหรุ่ยรู้สึกกังวล “จินเสวี่ยยวนองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ถวายบังคมฮองเฮาแห่งต้าฉิน ฮองเฮาทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ” ต่อหน้าจ้าวชิงหลาน จินเสวี่ยยวนพยายามสงวนท่าทางที่ต่ำต้อยมากที่สุด นางโค้งคำนับก่อน แต่ในขณะที่ก้มศีรษะลง ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของนางหากพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว คนตรงหน้าอายุมากกว่าตัวเองเพียงสองปีเท่านั้น และฮองเฮาที่งดงามเช่นนี้ก็คือแม่สามีของนางหรือเปล่า? วินาทีต่อมา จินเสวี่ยยวนก็อยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด นางรู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอายมากที่มีความคิดเช่นนั้น ไอ้สารเลวนั่นตายไปซะถึงจะดี จ้าวชิงหลานมองไปที่จินเสวี่ยยวนด้วยสายตาเยือกเย็นครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ลุกขึ้นเถอะ”นางไม่นึกว่าหลี่เฉินกำลังพูดคุยกับองค์หญิงแห่งเสียนเฉาอยู่จริงๆ เพียงแต่ว่าด้วยสัญชาตญาณของนาง จ้าวชิงหลานจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าต้องมีบางอย่างอยู่ในกอไผ่เมื่อก้าวเข้าสู่พระที่นั่งสีเจิ้ง นางก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆ ภายในห้อง ส่วนหลี่เฉินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อจมูกสวยดมกลิ่น จ้าวชิงหลานก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีกลิ่นแปลกๆ อยู่ในอากาศท่าทางละเอียดอ่อน
จ้าวชิงหลานไม่ได้ปฏิเสธคำขอของหลี่เฉินที่จะพูดคุยกันตามลำพัง และยอมให้คนอื่นๆ ถูกหลี่เฉินไล่ออกไป ไม่ช้า ภายในพระที่นั่งสีเจิ้งจึงเหลือแค่หลี่เฉินกับจ้าวชิงหลานเพียงสองคน “คุยกันแบบตรงไปตรงมาเถอะ”หลี่เฉินมองจ้าวชิงหลานด้วยสายตาที่เฉยชา และพูดอย่างไม่ลังเลใจว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะส่งเสริมเรื่องส่งทหารไปยังเสียนเฉา” “และการขัดขวางเรื่องนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า” นี่เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากที่จ้าวชิงหลานจะได้เปรียบหลี่เฉิน เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของหลี่เฉิน ในใจของจ้าวชิงหลานก็รู้สึกมีความสุขมาก ในที่สุดก็ถึงคราวที่คนสารเลวอย่างเจ้าไม่มีปัญญาทำอะไรได้บ้างแล้วสินะ? “ในฐานะที่ข้าคือฮองเฮาแห่งต้าฉิน แน่นอนว่าข้าไม่สามารถเฝ้าดูเจ้าใช้ท้องพระคลังของประเทศที่กำลังอ่อนแออย่างสุรุ่ยสุร่ายแบบไร้ยางอายได้!”คำพูดของจ้าวชิงหลาน ทำให้หลี่เฉินยกยิ้มขึ้นมา เขากล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ประโยคนี้น่าเบื่อมาก ประเทศก็คือประเทศ และยังเป็นประเทศของตระกูลหลี่ข้า มิใช่ตระกูลจ้าวของเจ้า” จ้าวชิงหลานเลิกคิ้วสวย และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “องค์รัชทายาทพูดเช่นนี้ แสดงว่าไม่เชื่อฟัง”
แต่การกำจัดองค์รัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่ายจนถึงตอนนี้ หลังจากการประนีประนอมและยอมถอยอยู่หลายครั้ง อำนาจของตำหนักบูรพาก็ขยายตัวออกไป องค์รัชทายาทในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยเป็นอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ใช่องค์รัชทายาทที่ไร้ประโยชน์ที่ถูกผู้คนมองข้ามอีกต่อไป เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งในตอนนั้นมีแต่ชื่อเปล่าๆ ในตอนนี้ องค์รัชทายาททรงปีกกล้าขาแข็งอย่างเต็มที่แล้ว เขาไม่ใช่คนที่นางและพ่อของนางสามารถกำจัดได้อีกต่อไปหากต้องการ แต่เป็นว่าที่กษัตริย์ที่มีอิทธิพลต่อจักรวรรดิอย่างแท้จริง แต่...แล้วอย่างไรล่ะ? จ้าวชิงหลานมองตรงไปที่หลี่เฉิยโดยไม่ยอมถอยนางรู้ว่าเรื่องนี้แม้ไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อนางทำไปแล้ว นางจะไม่ยอมถอยอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันหลี่เฉินก็มองไปที่จ้าวชิงหลานด้วยเช่นกันดวงตาของเขาสงบนิ่งราวกับเหวลึกที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ และดวงตาสีดำดุจหมึกคู่นั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่จู่ๆ หลี่เฉินก็ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนี้ ทำให้อากาศที่เกือบจะกลายเป็นน้ำแข็งในพระที่นั่งสีเจิ้งเริ่มไหลเวียนขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับโลก
สำนักคุมประพฤติเป็นตำแหน่งลอยที่มีไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์สายรอง ค่าตอบแทนสูงมีงานน้อย แต่ไม่มีอำนาจ ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือดูแลเรื่องภายในราชวงศ์ ทำหน้าที่แต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ จัดพระราชพิธีพระบรมศพ จัดพิธีอภิเษกสมรส เป็นต้นในราชวงศ์ตอนนี้ ไม่มีพระราชพิธีพระบรมศพหรือพิธีอภิเษกสมรสสำหรับองค์ชายและองค์หญิง บวกกับมีขันทีถือพู่กันที่รับหน้าที่ร่างพระราชโองการเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งยังเรียกสมาชิกของสำนักราชเลขามาด้วย ดังนั้นจะต้องมีการแต่งตั้งกันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ถือเป็นเรื่องใหญ่เสมอหากเป็นการแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์หญิง โดยปกติแล้วจะเริ่มต้นจากการเป็นจวิ้นจู่ และจุดสูงก็อยู่ที่กงจู่ แต่จะไม่มีอำนาจใดๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเรียกสำนักราชเลขามาปรึกษา เว้นแต่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ชาย หากองค์ชายได้รับการแต่งตั้ง ขั้นต่ำก็จะเป็นจวิ้นอ๋องซึ่งทุกคนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่า องค์ชายพระองค์ไหนที่โชคดีถูกแต่งตั้งในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้? เดาก็ส่วนเดา แต่งานก็ต้องทำ มีบางคนตอบรับทันที ก่อนจะจากไปเรียกคน ดว
คำตอบของจ้าวหรุ่ย ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธจัด นางหวังว่าจะได้ฆ่าจ้าวหรุ่ยในทันทีสายตาที่เย็นชาจ้องมองไปที่จ้าวหรุ่ยซึ่งไม่กล้าสบตาตัวเอง จ้าวชิงหลานก็ยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปมองหลี่เฉินแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?” “เสด็จแม่ทรงมีพระเมตตากับลูก ลูกต้องขอบพระทัยเสด็จแม่อย่างแน่นอน” สิ้นเสียงของหลี่เฉิน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ผู้อาวุโสของราชวงศ์จากสำนักคุมประพฤติ มหาอำมาตย์จากสำนักราชเลขาสองสามท่าน ต่างพากันทยอยเดินเข้ามา กลับเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินก็นั่งที่หัวโต๊ะ ส่วนจ้าวชิงหลานก็นั่งอยู่ข้างๆหลี่เฉินกวาดสายตามองไปยังจ้าวเสวียนจีและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อทรงมีทายาทมากมาย ซึ่งในบรรดาน้องชายและน้องสาวของข้าก็มีคนที่มีความสามารถอยู่ไม่น้อย แต่เนื่องจากพระอาการของเสด็จพ่ออยู่ในช่วงวิกฤติมาก มากเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะมอบบรรดาศักดิ์ให้เหล่าน้องชายด้วยซ้ำ บัดนี้ ฮองเฮาได้เสนอขึ้นว่าควรจะแต่งตั้งองค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ให้เป็นจ้าวอ๋อง นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจึงเชิญทุกท่านมาหารือเรื่องนี้” คนเหล่านี้เกือบจะเป็นบุคคลชั้นนำในปิร
“ง่ายมาก แต่งตั้งเป็นอ๋องก่อน” มุมปากของหลี่เฉินยกขึ้นเล็กน้อย ล้อเล่นน่า ถ้าหลี่อิ๋นหู่เป็นอ๋องแต่ไม่มีศักดินา เช่นนั้นเขาก็ถูกกำหนดให้เป็นท่านอ๋องว่างงานไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีอำนาจที่แท้จริงของท่านอ๋อง มันก็แค่มอบหัวโขนใหม่ให้กับเขาไม่ใช่หรือแต่ทว่า ดินแดนศักดินามันเกี่ยวข้องกับแผนการของอำนาจหลัก และเป็นไปไม่ได้เลยที่หลี่เฉินจะพยักหน้าเห็นด้วย หลี่เฉินยังไม่โง่ขนาดนั้นตราบใดที่แต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง และมีศักดินาเป็นของตัวเอง หลี่อิ๋นหู่ก็สามารถเป็นเจ้าของภาษีและอำนาจทางทหารของดินแดนศักดินาได้อย่างถูกกฎหมาย เช่นนี้แล้วมันแตกต่างจากจักรพรรดิท้องถิ่นตรงไหน?“สำนักคุมประพฤติจะเขียนลงทะเบียนราชวงศ์ว่า องค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจ้าวอ๋องอย่างเป็นทางการ และเลือกวันประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ นอกจากนี้ เนื่องจากเสด็จพ่อไม่สามารถจัดการราชกิจได้ชั่วคราว ดังนั้น เรื่องศักดินาจึงค่อยว่ากันทีหลัง รอจนกว่าเสด็จพ่อจะฟื้นขึ้นมาตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง”“แต่ก่อนหน้านั้น จ้าวอ๋องจะประทับอยู่ในเมืองหลวงชั่วคราว แต่เนื่องจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง จึงไม่อาจ
ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มีการพลิกผันเกิดขึ้น จินเสวี่ยยวนที่กลายเป็นธาตุอากาศตรงมุมห้องก็รู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ นางไม่ใช่คนในเกม แต่ด้วยสถานะและมุมมองที่เหนือชั้น นางจึงมองทุกอย่างได้อย่างชัดเจนนางดูออกว่าการต่อสู้ทางการเมืองในระดับสูงสุดของต้าฉินนั้น ก็คือการต่อสู้ระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ซึ่งตอนนี้มาถึงจุดที่เลวร้ายแล้ว ไม่มีการประนีประนอมระหว่างพวกเขานางอาจไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องการแต่งตั้งท่านอ๋อง แต่กลับมองออกว่าหลี่เฉินถูกบีบให้เห็นด้วย และถึงแม้ว่าจะเห็นด้วย แต่ด้วยไหวพริบทางการเมืองของหลี่เฉินนั้นก็สามารถค้นพบตะปูดอกหนึ่งในนั้นได้ การไม่ยอมมอบศักดินา คือเส้นตายของหลี่เฉินแล้วส่วนสำนักราชเลขาก็ร้ายกาจพอๆ กัน หลังจากที่เห็นว่าไม่สามารถได้ดินแดนศักดินาแล้วจริงๆ ก็รีบโยนขีดจำกัดของตัวเองออกมา นั่นก็คือต้องมีทหารส่วนตัว มิฉะนั้นอ๋องไม่เป็นอ๋อง องค์ชายไม่เป็นองค์ชาย และจะกลายเป็นที่หยามหยันของใต้หล้าแต่ทว่า ถึงแม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นคนนอกก็ยังเข้าใจว่า การมีทหารส่วนตัวสามร้อยคนในเมืองหลวง มันหมายความว่าอะไรอำนาจของสำนักราชเลขาทรงพลังมาก ซึ่งมาจากการ
ในไม่ช้า สวีเว่ย ผู้บังคับกองร้อยองค์รักษ์ก็รีบมาเข้าเฝ้าทันทีในฐานะองค์รักษ์วังหลวง ทั้งยังเป็นผู้บังคับกองร้อย สวีเว่ยอาจกล่าวได้ว่ามีอำนาจทหารในวังหลวง แต่ยศไม่สูง แค่ขั้นที่ 9 เท่านั้น แต่ทว่าขุนนางจะมีอำนาจมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถดูเพียงขั้นอย่างเดียวเท่านั้น บรรณาธิการเล็กๆ คนหนึ่งในสำนักฮั่นหลิน มีตำแหน่งเริ่มต้นที่ขุนนางขั้นที่ 7 แต่ในแง่ของอำนาจ ก็ยังเทียบกับนายอำเภอซึ่งมียศขั้นที่ 9 ไม่ได้สวีเว่ยกุมอำนาจรักษาความปลอดภัยที่ประตูเฉินอู่อาจกล่าวได้ว่าช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างมีความสุข ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เฉินผู้ซึ่งมอบทั้งหมดนี้ให้กับเขา ความเคารพและความกตัญญูในใจจึงไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ “กระหม่อมสวีเว่ย คารวะองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ!”หลี่เฉินรู้สึกพอใจ เมื่อเห็นสวีเว่ยคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพคนที่สนับสนุนขึ้นมาอย่างส่งๆ ในตอนนั้น ได้รับความสนใจจากหน่วยบูรพามาโดยตลอด เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่หน่วยบูรพาส่งรายงานมาให้อ่าน สวีเว่ยผู้นี้ใช้การได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้งานเขา หลี่เฉินก็จำเป็นต้องทุบค้อนบ้าง “ช่วงนี้เจ้า