เวลานี้ ณ.ห้องลับในห้องหนังสือ ต้วนจิ่นเจียงกำลังยืนอยู่ต่อหน้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตัวเองราวเจ็ดแปดส่วน เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน หากบอกว่าเป็นฝาแฝดกันก็คงมีคนเชื่อ แต่ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือ บรรยากาศ ต้วนจิ่นเจียงดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน จึงมีบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น กลับมีท่าทีระมัดระวังมากเกินไป และหลังค้อมเล็กน้อย จึงดูเหมือนชาวนาธรรมดาที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาอะไรคนตรงหน้า ถูกต้วนจิ่นเจียงค้นพบโดยบังเอิญ เขาเก็บบุคคลนี้ไว้ในจวนของเขาด้วยความตั้งใจ หลายปีผ่านมายกเว้นตัวเขาเอง ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้วนจิ่นเจียงเลี้ยงดู 'ตัวสำรอง' ไว้ในบ้านของเขา บางทีอาจเป็นเพราะคิดมากเกินไป แต่ต้วนจิ่นเจียงมักรู้สึกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะประสบปัญหา ดังนั้นเขาจึงเตรียมไพ่ตายใบสุดท้ายนี้ไว้ แต่ไม่คาดว่าจะได้ใช้จริงๆ“แม้การให้เจ้าปลอมตัวเป็นข้าจะเสี่ยงไปบ้าง แต่ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย และข้าสัญญากับเจ้าว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าจะมอบเงินหนึ่งพันตำลึงให้แก่เจ้า และส่งเจ้ากลับไปหาครอบครัวของเจ้า เงินพันตำลึงนี้ก็เพียงพอที่พวกเจ้าจะใช้ช
สีหน้าของคนสนิทดูสงบ เขาก้มศีรษะลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ทุกอย่างจะเป็นไปตามประสงค์ของใต้เท้า” ต้วนจิ่นเจียงกล่าว “เช่นนั้นก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้เถอะ” พูดจบ ต้วนจิ่นเจียงก็หลับตาลง คนสนิทยกไม้กระดานขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ขออภัย”กล่าวจบ เขาก็ปิดร่างของต้วนจิ่นเจียงด้วยไม้กระดาน หลังจากใช้กลไกปิดล็อกดีแล้ว เขาก็นำศพของต้วนจั่งเหมียนกลับมาวางไว้ในโลงตามเดิม นอกเสียจากจะมีคนทุบโลงศพ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครรู้ว่าโลงศพนี้มีสองชั้น หลังจากนั้นจวนต้วนก็เริ่มเตรียมการเคลื่อนย้ายศพอย่างจริงจัง เพื่อขนศพคุณชายใหญ่กลับไปฝังที่บ้านเก่า ร้านอาหารตรงข้ามจวนต้วน ชั้นสองทั้งหมดถูกปิด ซานเป่ารับผิดชอบภารกิจนี้ด้วยตัวเอง ทั้งชั้นสองก็เต็มไปด้วยผู้คน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นองครักษ์เสื้อแพรซานเป่ายืนพิงหน้าต่างพลางยกจอกสุราขึ้นมา ปลายนิ้วของเขาถูขอบจอกสุราอุ่นเบาๆ ที่ข้างโต๊ะของซานเป่า มีสายลับคนหนึ่งกำลังรายงานสถานการณ์ให้ฟัง“ท่านกวางกง เราสืบทราบว่าจวนต้วนจะเคลื่อนศพเร็วๆ นี้ โดยมีต้วนจิ่นเจียงคุมขบวนส่งด้วยตัวเอง ขบวนศพจะออกจากเมืองหลวงทางประตูตงจื๋อ จากนั้นก็จะอ้อมไปทางตะว
ฝนธนูถูกยิงอย่างต่อเนื่องและกินเวลานับร้อยลมหายใจหลังจากถุงหนังใส่ลูกศรทั้งสองถุงที่ติดตัวนักธนูทุกคนว่างเปล่า ซานเป่าก็สั่งให้องครักษ์เสื้อแพรด้านหลังของเขาเข้าไปในที่เกิดเหตุเมื่อเข้ามาในที่เกิดเหตุ พวกเขาก็ชักดาบออกมาซ้ำ ตลอดทางที่ควบม้าผ่าน ตราบใดที่มีคนนอนอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเขาทั้งหมดจะถูกแทงในจุดสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าตายสนิท ซานเป่าขี่ม้ามาถึงใจกลางขบวนแห่ศพซึ่งมีศพนอนระเกระกะอยู่ที่พื้น ต้วนจิ่นเจียงได้รับการปกป้องจากผู้คุ้มกันส่วนตัวหลายคนที่ใช้ร่างกายของพวกเขาเป็นเกราะป้องกัน ขณะนี้เขายังมีลมหายใจเหลืออยู่ซานเป่าซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ามองดูการดิ้นรนอย่างต่อเนื่องท่ามกลางทะเลเลือด ต้วนจิ่นเจียงคล้ายต้องการจะพูดบางอย่าง แต่เนื่องจากคอของเขาได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ดังนั้นจึงไม่สามารถเปล่งวาจาใดๆ ออกมาได้ ซานเป่าจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าต้วน บ่าวได้รับคำสั่งให้มาส่งท่านไปพบกับลูกชายของท่าน” “ฝนตกฟ้าร้อง ล้วนแล้วแต่เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ใต้เท้าต้วนโปรดเดินทางอย่างปลอดภัย”ซานเป่าพูดจบ แสงกระบี่ก็สว่างวูบ จากนั้นหัวของต้วนจิ่นเจียงก็
“บิดาเจ้าเป็นคนมีความสามารถ” คำพูดของหลี่เฉินไม่ได้มีคำชมมากเกินไป แต่เนื่องจากเขามีสถานะที่สูงศักดิ์ สำหรับจ้าวหรุ่ยแล้วมันกลับสร้างความมั่นใจได้อย่างยอดเยี่ยม นางกล่าวอย่างมีความสุขว่า “หากท่านพ่อได้ยินประโยคนี้ ไม่รู้ว่าจะดีใจมากเพียงใด”“ถ้าข้าอยากให้เขามีความสุข ก็แค่เลื่อนตำแหน่งขุนนางให้กับเขา นี่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่ถ้าเขาอยากทำให้ข้ามีความสุข นั่นกลับไม่ง่ายเลย”หลี่เฉินพูดกับจ้าวหรุ่ยว่า “บิดาเจ้ามีความสามารถ ข้าจึงให้ความสำคัญ แต่จะใช้การได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง” จ้าวหรุ่ยรีบพูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัย ท่านพ่อของหม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ และจะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง” หลี่เฉินยิ้มและไม่พูดอะไร เขารู้ดีว่าความรู้สึกในปัจจุบันของจ้าวหรุ่ยที่มีต่อเขา น่าจะมาจากบิดาของนางสักแปดเก้าส่วน สำหรับนางแล้ว ครอบครัวของนางสำคัญที่สุด แต่หลี่เฉินก็ไม่สนใจ เมื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ความรักระหว่างชายหญิงก็เป็นสิ่งนอกกายตราบใดที่มีอำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหรุ่ยหรือหญิงอื่นมันก็ไม่สำคัญ ปัญหามันอยู่ที่ว่าหลี่เฉินต้องการมันหรือไม่ ไม
“องค์หญิงเสด็จมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนเม้มปากแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อทูลลาฝ่าบาท” หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรเลยจินเสวี่ยยวนจึงกล่าวต่อไปว่า “สถานการณ์ภายในประเทศกำลังวิกฤต และตอนนี้เราก็ขาดแคลนคน ดังนั้นเสวี่ยยวนจึงไม่ต้องการอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลานาน ดังนั้นหม่อมฉันจึงมาขออนุญาตจากฝ่าบาท”หลี่เฉินกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าเข้าใจความกระตือรือร้นของเจ้าที่อยากจะกลับประเทศ และตกลงตามนั้น”เมื่อเห็นหลี่เฉินไม่คิดจะยับยั้ง จินเสวี่ยยวนก็แอบสะเทือนใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางกล่าวว่า “ขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทเพคะ” ณ จุดนี้ บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็เริ่มเย็นชาเมื่อเห็นหลี่เฉินไม่พูดอะไร จินเสวี่ยยวนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ โจวผิงอันไท่พูแห่งเสียนเฉาได้ลาออกจากเสียนเฉาแล้ว เขาบอกว่าเขามีความทะเยอทะยานอื่น และไม่ต้องการเป็นขุนนางในเสียนเฉาอีกต่อไป หม่อมฉันบังอาจถาม ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่?” “รู้” หลี่เฉินยอมรับอย่างไม่ลังเล“เขาทำงานให้ข้า”จินเสวี่ยยวนพูดด้วยความโกรธว่า “ต้าฉินเป็นถิ่นกำเนิดอัจฉ
การที่ว่าที่กษัตริย์ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับราชวงศ์หรือประเทศใดๆเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ถ้าหาตัวผู้กระทำความผิดได้ก็ช่างเถอะ สถานเบาอาจจะโดนฆ่าทันที สถานหนักอาจถูกประหารเก้าชั่วโคตร แต่ถ้าหากไม่พบผู้กระทำความผิด กรมยุติธรรม ศาลต้าหลี่และสำนักตรวจการจะจัดตั้งสามฝ่ายขึ้นมาเพื่อดำเนินการสืบสวน ซึ่งระดับการสืบสวนนั้นจะเข้มงวดมาก และขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิเท่านั้น ไม่ว่ากรมใดหรือใครก็ไม่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ มิฉะนั้นจะติดร่างแหเข้าไปด้วย แม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นองค์หญิงจากประเทศเล็กๆ แต่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหน ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของต้าฉินเลยจินเสวี่ยยวนไม่ใช่คนโง่ นางนึกถึงรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของนางโดยทันที ประตูเมืองหลวงถูกปิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ถนนหลักหลายสายอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก แม้กระทั่งที่หน้าประตูจุดพักแรมก็มีทหารสองกลุ่มยืนอยู่ ว่ากันว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา แต่จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไปตามถนนโดยไม่ได้รับอนุญา
“มองจากตรงนี้แล้ว ทิวทัศน์แตกต่างไปหรือไม่?” หลี่เฉินพูดกับจินเสวี่ยยวนโดยวางคางบนไหล่ของจินเสวี่ยยวนที่กำลังหวาดกลัวร่างกายของจินเสวี่ยยวนตึงเครียดราวกับสายธนูที่ง้างไว้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน นางก็มองไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวตำแหน่งนี้อยู่ตรงข้ามประตูใหญ่ของพระที่นั่งสีเจิ้ง เนื่องจากพระที่นั่งสีเจิ้งเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ติดต่อหรือเรียนรู้กิจของรัฐขององค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ขนาดของห้องจึงใหญ่เป็นอันดับสองรองจากพระที่นั่งไท่เหอและพระที่นั่งอู่อิงที่องค์จักรพรรดิ์ใช้ฐานของพระที่นั่งทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 1.8 จั้ง และมีบันไดหินอ่อนสีขาว 6 ขั้น ยาว 17 ก้าว ภายในห้องโถงกว้าง 18.9 จั้ง และลึก 6.9 จั้ง เสาแกะสลักมังกรเคลือบสีแดงสิบเจ็ดเสาซึ่งมีขนาดเท่าชายแข็งแกร่งสามคนโอบ คอยประคองห้องโถงนี้เสาเหล่านี้ล้วนทำจากไม้จันทน์แดงที่ดีที่สุด ซึ่งถูกขุดขึ้นจากภูเขาลึกด้วยกำลังคน แล้วใช้เงินจำนวนมากเพื่อส่งเข้าเมืองหลวง ใดๆ คือ สิ่งนี้ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ไม่สามารถวัดค่าได้ด้วยเงินหินทั้งหมดทำจากหินอ่อนสีขาวคุณภาพสูงทั่วทั้งห้องโถง และไม้ทั้งหมดทำจากไม้กฤษณาและไม้หวางฮวาหลีซึ่งจะไ
“ฝ่าบาท ไม่ได้!” จินเสวี่ยยวนพยายามลุกขึ้น แต่กลับถูกหลี่เฉินคว้าเอวเอาไว้ “ตะโกนทำไม หรือเจ้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าองค์หญิงแห่งเสียนเฉาและองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินกำลังทำเรื่องบัดสีในพระที่นั่งสีเจิ้ง?” คำพูดของหลี่เฉินทำให้จินเสวี่ยยวนทั้งอับอายทั้งโมโห“ทำเรื่องบัดสี...ฝ่าบาททรงตรัสสิ่งใดออกมา ช่างไม่น่าฟังยิ่งนัก... คำพูดแบบพยายามปกปิดของจินเสวี่ยยวนทำให้หลี่เฉินหัวเราะขึ้นมา“ใช่ ข้าเสียมารยาทไปแล้ว เจ้าและข้าเพียงพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดเท่านั้นเอง”คางของหลี่เฉินกดทับกระดูกไหปลาร้าที่นุ่มนวลและเรียบเนียนของจินเสวี่ยยวน แก้มของหลี่เฉินสัมผัสกับใบหน้าขาวนวลราวกับปอกเปลือกไข่อย่างชัดเจน และหลี่เฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนบนแก้มของเขา เมื่อถูแก้มนางกับตนเองก็รู้สึกถึงความอัศจรรย์ที่ยอดเยี่ยม การสัมผัสเช่นนี้ ทำให้จินเสวี่ยยวนไวต่อประสาทสัมผัสสุดขีด สถานที่เช่นนี้ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ล้วนกระตุ้นจินเสวี่ยยวน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่เฉินถึงได้กล้าเช่นนี้หากใครมาเห็นฉากนี้เข้า นางคงจะแย่ยิ่งกว่าตาย และหลี่เฉินก็จะสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียง คิดถึงตรงนี้ จินเสวี่ยยวนก็ใช
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ
มือปืนทั้งสามแถวพอยิงพร้อมกันเสร็จสิ้นรอบหนึ่ง ก็รีบควานเอาสิ่งของกลมดำสนิทสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่คล้องอยู่ข้างกายเจ้าสิ่งนั้นดูแล้วไร้ค่าเสียยิ่งกว่าท่อนไม้ในมือของพวกเขา เป็นของที่ต่อให้ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแลแต่เมื่อมีตัวอย่างของท่อนไม้ที่กลับกลายเป็นปืนปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนของสิ่งนี้“นั่นคือสิ่งใดกัน?”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกไม่สู้ดีถาโถมเข้ามาในใจทันทีก่อนหน้านี้ที่เห็นปืนดินปืน แม้จะทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียขวัญก่อนอื่น ปืนดินปืนนั้นมิใช่ของแปลกใหม่เสียทีเดียว จักรวรรดิต้าฉินในอดีตก็เคยคิดค้นของเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเล็งได้ไม่แม่น แถมยังต้องเสียเวลายัดดินปืนใส่เข้าไป จึงมิได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายหรือพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้คนล้วนเห็นว่าอย่างไรก็ยังสู้ฝึกมือธนูที่มีกำลังแขนมากหน่อยไม่ได้และการที่หลี่เฉินนำปืนดินปืนกลับมาพัฒนาใหม่นั้นก็หาใช่ความลับไม่ ขุนนางมากมายต่างตำหนิเจ้าชายรัชทายาทว่าเอาแต่เล่นจนเสียงาน ริหลงใหลในกลไกแปลกประหลาดซึ่งถือเป็นศาสตร์นอกลู่นอกทางหลี่อิ๋นห
“ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห