“ฝ่าบาท เราต้องไม่ปล่อยให้ต้วนจิ่นเจียงทำเรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้” ซูเจิ้นถิงยังคงมีสติ และเข้าใจประเด็นสำคัญในทันที เขารีบเอ่ยปากแนะนำหลี่เฉินไม่พูดอะไร สายตาของเขาจ้องมองไปที่ซานเป่า “จากที่นี่ไปเรือนจำไกลแค่ไหน?”ซานเป่าไม่กล้าหยุดคิด เขาหลุดปากพูดทันทีว่า “ใช้ม้าเร็วก็ประมาณครึ่งเค่อ”“เจ้ารีบไปพาต้วนจิ่นเจียงมาหาข้าที่นี่” หลี่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมซานเป่าโขกหัวให้หลี่เฉินอีกครั้ง จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อไปจัดการธุระหลี่เฉินหันไปพูดกับซูเจิ้นถิงว่า “ท่านแม่ทัพซู เตรียมห้องที่เงียบสงบให้ข้าจัดการเรื่องราวต่างๆ หน่อย”“มีห้องข้างพร้อมพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อซูเจิ้นถิงกล่าวจบ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบพูดว่า “ต้วนจิ่นเจียงผู้นั้นดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการมาหลายปี แต่ต่อมา ก็ถูกเสนอชื่อให้เป็นมหาอำมาตย์ในสำนักราชเลขา อำนาจของเขาในกรมยุทธนาการค่อนหยั่งลึกมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นคนของเขา แม้แต่จ้าวเสวียนจีก็ไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ ควรจะให้ผิงเป่ยเคลื่อนหน่วยองครักษ์อวี่หลินเข้ามาในเมืองหลวงหรือไม่?”หลี่เฉินหยุดชั่วคราวและโบกมือ “ไม่จำเป็น ต้วนจิ่นเจียงไม่กล้าขนาดน
“เจ้าแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ แต่ข้าตั้งใจจะสู้ตาย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้ทำผิด!”คนรุ่นเดียวกันก้มหน้ามองคอเสื้อของตัวเองที่ถูกกระชาก เวลานี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับเช่นไรดี แต่ตอนนั้นเองซานเป่าก็มาถึงซานเป่าเฆี่ยนม้าเร็วอย่างว่องไว แทบจะเหาะมายังที่เกิดเหตุและตามมาด้วยองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพากลุ่มใหญ่“ข้าน้อยพบท่านกวางกง!”ท่ามกลางเสียงทักทายดังเซ็งแซ่ ซานเป่าก็เดินหน้าอึมครึมมาหาต้วนจิ่นเจียงต้วนจิ่นเจียงรู้ว่าเจ้านายตัวจริงกำลังมา เขาจึงปล่อยหัวหน้าคนนั้นไปทั้งสองสบตากันชั่วครู่ แต่จู่ๆ ซานเป่าก็ยิ้มออกมาเขาชี้ไปที่บาดแผลบนหน้าผากแล้วพูดว่า “ใต้เท้าต้วน ท่านเห็นนี่ไหม?”ต้วนจิ่นเจียงพูดอย่างเย็นชา “ไปพาลูกชายของข้าออกมา!”ซานเป่าคล้ายกับว่าไม่ได้ยิน เขาถามเองตอบเองว่า “ฝ่าบาททรงใช้หนังสือปาใส่”“ไปพาลูกชายของข้าออกมา!!” ต้วนจิ่นเจียงขึ้นเสียง ความอดทนของเขาถึงขีดสุดสิ้นเสียงของเขา เหล่าผู้คุ้มกันคนสนิทหลายสิบนาย ก็ชักอาวุธออกมาองครักษ์เสื้อแพรเห็นดังนั้นก็รีบตีวงล้อมทันที แต่ละคนต่างวางมือที่ดาบข้างเอวสถานการณ์ตึงเครียดทุกขณะซานเป่ายกมือขึ้น เพื่อให้องครัก
แม้เขาจะรู้ว่าลูกชายของตัวเองโชคร้ายมากกว่าดี แต่ต้วนจิ่นเจียงก็ยังไม่อยากจะยอมรับ แม้ว่าหลี่เฉินจะยืนยันด้วยตัวเองก็ตามเขาหลั่งน้ำตา และทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องที่น่าสังเวชออกมา ร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดหลี่เฉินมองดูต้วนจิ่นเจียงอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เขาร้องไห้จนเสร็จแล้วพูดว่า “คนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ ขอแสดงความเสียใจกับใต้เท้าต้วนด้วย”ต้วนจิ่นเจียงเงยหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นถึงกระดูก และเต็มไปด้วยน้ำตาพลางพูดว่า “ลูกชายข้าอยู่ในคุก ฝ่าบาททรงรับปากข้าว่าเขาจะปลอดภัย!” “ใต้หล้านี้ ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ จ้าวเสวียนจีควบคุมราชสำนักมาหลายปี การจะแทรกตัวหมากสักตัวเข้ามาในหน่วยบูรพา มันเป็นเรื่องยากจริงหรือ?” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบเรื่องเช่นนี้ นอกจากจ้าวเสวียนจีแล้ว หลี่เฉินก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครที่มีแรงจูงใจและความสามารถทำเช่นนั้นได้เขาต้องการกำจัดต้วนจิ่นเจียงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงจัดการตนเองด้วยการสังหารต้วนจั่งเหมียนนั้น ทำให้ต้วนจิ่นเจียงคลุ้มคลั่งและหาทางแก้แค้นเขายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เป็นแผนการที่รวดเร็วและได้ผลโดยพลันพยัคฆ์แก่ตัวนี้หมอ
ทหารเดนตายสามพันนายการข่มขู่นี้ ทั้งน่ากลัวและตรงไปตรงมายิ่งกว่าคำขู่อื่นๆ อย่างแน่นอนต้วนจิ่นเจียงดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเคียดแค้น เขาพูดว่า “ตระกูลต้วนของข้าสิ้นสุดลงแล้ว อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ! สามารถลากคนอื่นๆ ลงหลุมตามไปด้วยมากมาย ข้าต้วนจิ่นเจียงหรือลูกชายของข้าต้วนจั่งเหมียน ก็จะทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์!”หลี่เฉินหรี่ตาและตะโกนเรียกอย่างเย็นชา “ซานเป่า!”ด้านนอก ซานเป่าผู้ที่ไม่กล้าจะออกห่างจากประตูแม้แต่ชุ่นเดียวก็พุ่งเข้ามา เขาคุกเข่าต่อหน้าหลี่เฉินอย่างนอบน้อม และเอาหัวโขกศีรษะด้วยท่าทางที่ถ่อมตัว ต้วนจิ่นเจียงมองเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา และแสดงท่าทางไม่สนใจในความคิดของเขา ตัวเองนั้นก็เหมือนตายไปแล้ว ไม่ว่าหลี่เฉินจะทำอะไร เขาก็ไม่กลัวทั้งนั้นหากผู้คนไม่แสวงหา ก็จะไม่มีความปรารถนา และจะไม่มีช่องโหว่การประนีประนอมก่อนหน้านี้ของต้วนจิ่นเจียงนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตต้วนจั่งเหมียนลูกชายของเขา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทรยศต่อจ้าวเสวียนจี และส่งเสริมการสืบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินอย่างแข็งขัน เพราะรู้ว่าหลี่เฉินต้อ
คำพูดของหลี่เฉินแทบจะทำให้ต้วนจิ่นเจียงเปลือยเปล่าอันที่จริง หลังจากที่ลูกชายเกิดเรื่อง เขาก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของหลี่เฉินในการทรยศจ้าวเสวียนจี ดังนั้นเขาจึงเริ่มหาทางออกแล้วดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธนาการและเป็นมหาอำมาตย์แห่งสำนักราชเลขาในราชสำนักมาหลายปี ต้วนจิ่นเจียงย่อมมีวิธีลับเป็นของตัวเองกรมยุทธนาการเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจมากที่สุด รองจากกรมขุนนางเท่านั้นเขาสามารถควบคุมกรมยุทธนาการมาหลายปีแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ จ้าวเสวียนจีที่คิดจะแทรกแซงกรมยุทธนาการก็ยังไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทางเมืองหรือความสามารถที่แท้จริง ต้วนจิ่นเจียงก็นับอยู่ในระดับสูงสุดดังนั้นหลังจากที่เขาตระหนักว่าตัวเองจะต้องทรยศต่อจ้าวเสวียนจี และรู้ว่า ไม่ว่าตำหนักบูรพาหรือสำนักราชเลขาจะชนะในท้ายที่สุด ตัวเองนั้นไม่มีทางจบลงด้วยดีดังนั้นเขาจึงวางแผนเส้นทางหลบหนี จัดเตรียมทหารเดนตายเข้าสู่เมืองหลวง หากเรื่องราวถึงจุดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือหนี สำหรับการก่อกบฏนั้น เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ และไม่กล้าที่จะคิดไม่ว่าใต้หล้าจะวุ่นวายเพียงใด มันก็เป็นใต้หล้าของต้าฉิน เป็นข
ต้วนจิ่นเจียงรับการโจมตีที่ท้อง เขาแหกปากดังลั่นแล้วล้มลงไปที่พื้นแต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด เขาก็กล่าวอย่างตกใจ “จะทำอย่างไรดี?”“ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ?”หลี่เฉินกล่าวเสียงเย็นชา “มันสายเกินไปแล้วที่จะพูดอะไรตอนนี้ จ้าวเสวียนจีคงจะฉวยโอกาสชุลมุนตัดหัวข้า!”ซูเจิ้นถิงพูดอย่างใจร้อนว่า “ฝ่าบาท รีบเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดธรรมดา กระหม่อมจะส่งฝ่าบาทเสด็จออกจากเมืองหลวงอย่างปลอดภัย”“ออกจากเมืองหลวง? เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง?”หลี่เฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเขาไม่ได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น และไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพียงเพื่ออวดตัวตรงกันข้าม ยิ่งสถานการณ์ตึงเครียด จิตใจของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นหลังจากลูกเตะแห่งความเกลียดชัง หลี่เฉินก็เหมือนได้ระบายความโกรธออกมา และตอนนี้เขาก็สงบลงแล้ว“ข้าออกไปไม่ได้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถออกไปได้ แต่ยังต้องรอพวกเขาอยู่ที่นี่อย่างเปิดเผย”หลี่เฉินเงยหน้ามองซูเจิ้นถิงแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพซู ท่านมั่นใจแค่ไหนเรื่องกองทัพ?”ซูเจิ้นถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “หากเป็นกองทัพอื่น กระหม่อมมั่นใจห้าส่วน แต่ถ้าเป็นค่ายหนานต้า กระหม่อมมั่นใจมากที่สุดแค่หนึ่งส่ว
ตอนนี้เอง ประตูหลักของจวนแม่ทัพใหญ่ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขณะเปิดออก ข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งก็เดินออกมา และแยกกันยืนทั้งสองฝั่ง จากนั้นซูผิงเป่ยก็นำกลุ่มองครักษ์ส่วนตัวออกมาจากจวนหลังจากนั้น ซูเจิ้นถิงและคนอื่นๆ ก็เดินออกมา ก่อนจะแยกออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาเพื่อเข้าร่วมการปกป้ององค์รัชทายาทกับซูผิงเป่ย เว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ จากนั้นหลี่เฉินก็ก้าวเท้าออกมาพร้อมด้วยซูจิ่นพ่า และยืนอยู่หน้าประตูจวนแม่ทัพใหญ่ หากมองอย่างเป็นกลาง การปรากฏตัวของทหารองครักษ์อวี่หลินค่ายหนานต้า ดูดีกว่าค่ายเป่ยต้าอยู่ไม่น้อยไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาแต่ละคนกล้าหาญและมีทักษะมากเพียงใด แต่อย่างน้อยจิตวิญญาณของทหารก็ยังมีอยู่ และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยไม่ตื่นตระหนกในขณะที่เคลื่อนพลเข้ามาพร้อมกัน ทหารนับพันก็ไม่มีความวุ่นวาย ราวกับว่าพวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแค่จุดนี้เพียงอย่างเดียว ก็สามารถมองออกได้ว่าผู้นำของค่ายหนานต้าเป็นคนมีความสามารถเมื่อหลี่เฉินยืนนิ่ง ทหารนับพันคนก็ยืนนิ่ง ซึ่งมีผู้นำสองสามคนคอยบัญชา ในบรรดาคนเหล่านั้น มีชายร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่งที่มีใบหน้าดุร้ายก้าวออกมาเมื่อพิจารณาจา
เสียงตะโกนถามนี้ ดังกึกก้องราวอสนีบาตร เจือไปด้วยความน่าเกรงขามหลี่เฉินเพียงคนเดียว แม้จะต้องเผชิญหน้ากับทหารชั้นสูงของต้าฉินนับพัน แต่กลับไม่แสดงความขลาดกลัวออกมา พลังอำนาจของเขาไม่ได้ถูกลดทอนแต่อย่างได้การแสดงออกเช่นนี้ ก็สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจบางส่วนในใจของเว่ยตังเซียงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ม้าศึกคู่กายคล้ายจะสัมผัสถึงความไม่มั่นใจของเจ้าของมันได้ มันจึงย่ำกีบอย่างกระสับกระส่าย ส่ายหัวแล้วพ่นจมูกการพ่นจมูกนี้ ได้ทำลายความเงียบสงบในทันที เว่ยตังเซียงเปิดปากพูด “องค์รัชทายาททรงไร้คุณธรรม ตั้งแต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็สังหารขุนนางไปไม่รู้มากมายเพียงใด ทำให้ผู้คนในราชสำนักจิตใจไม่สงบ คงจะดีไม่น้อยหากสามารถบรรลุความสำเร็จทางการเมืองได้ แต่จวบจนถึงตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ยังเสพติดอยู่กับการฆ่าฟัน ไม่เพียงแต่ไม่สร้างคุณูปการให้กับประเทศ แต่ยังก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง เจ้าดูผู้ประสบภัยในใต้หล้าสิว่ามีมากเพียงใด ประชาชนอดอยากลำเข็ญ เจ้าในฐานะองค์รัชทายาทกลับไม่คิดจะช่วยประชาชน แต่กลับปากหวานก้นเปรี้ยวไปวันๆ!”“องค์จักรพรรดิเป็นราชันย์ทรงพระปรีชา เพียงแต่ตอนนี้พระวรกายมังก