หลี่เฉินนั่งอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มองไปที่ซานเป่าแล้วยกจอกชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดว่า “การเดินทางในครั้งนี้ คงจะฆ่าคนไปไม่น้อย กลิ่นเลือดบนตัวเจ้าถึงได้แรงมาก” ซานเป่ารีบกล่าวว่า “ได้ฆ่าขุนนางทรยศไปบางส่วน บ่าวควรจะอาบน้ำชำระล้างกลิ่นสกปรกก่อนจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทำให้พระเนตรของฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน บ่าวสมควรตาย” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เล่ามา สถานการณ์ในมณฑลซีซานทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซานเป่ากล่าวด้วยสายตาที่เฉียบคมว่า “หลังจากที่บ่าวไปถึงมณฑลซีซาน พบว่าสถานการณ์จริงนั้นร้ายแรงกว่านี้มาก” “ไท่หยวน หยางชวี และเซียงติ้ง ทั้งสามอำเภอได้ล่มสลายลงแล้ว และขนาดของกลุ่มกบฏก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หลายคนจึงเข้าร่วมกับพวกเขาทุกวัน ในช่วงเวลานี้ ขนาดของกบฏได้เพิ่มขึ้นจากหลายหมื่นเป็นเกือบ 100,000 คน ตอนที่บ่าวจากมา พวกเขาก็โจมตีต้าถงฟู่ที่อยู่ห่างจากซีซานไปร้อยลี้” “ทุกที่ที่พวกกบฏผ่านไป ขุนนางและทหารต่างก็หวาดกลัวและแทบไม่สามารถต้านทานได้ พวกเขายังโจมตีและสังหารผู้มีอำนาจด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีคติขวัญว่า “แผ่นดินเป็นของประชาชน”
หลังจากส่งซานเป่าออกไปแล้ว หลี่เฉินก็ออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง และกลับไปที่พระที่นั่งร้อยบุปผา เวลานี้จ้าวหรุ่ยกำลังพักผ่อนอยู่ แต่หลังจากที่รู้ว่าองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว นางก็ลุกลงจากเตียงทันที เพื่อปรนนิบัติหลี่เฉินด้วยการถอดชุด “ได้ยินคนด้านล่างบอกว่า วันนี้เจ้าไปพบมารดาของเจ้าอีกแล้วหรือ?” หลี่เฉินถามอย่างสบายๆ จ้าวหรุ่ยพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่เพิ่งมาถึงที่นี่และไม่คุ้นเคยกับทุกอย่างในเมืองหลวง นอกจากนี้ บิดาก็ออกไปชานเมืองเพื่อดูแลผู้ประสบภัย จึงไม่มีคนรู้จักที่สามารถพูดคุยได้ หม่อมฉันจึงออกไปเยี่ยมสักรอบ” หลี่เฉินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในฐานะลูกสาว เจ้าควรมีความกตัญญู คราวหน้าถ้าเจ้าจะออกไปอีกครั้ง ก็ไปเลือกของขวัญในคลังเพื่อนำติดตัวไปด้วย ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากข้า” จ้าวหรุ่ยยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนมารดาเพคะ”“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บิดาของเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าได้รับข่าวสารทุกวันว่า การจัดการค่ายชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัยพิบัตินั้นเป็นไปอย่างมีระเบียบ แม้แต่สวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนก็ยังยกย่องพ่อของเจ้าสำหรับความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา จริงๆ
เกิดความโกลาหลในพระที่นั่งไท่เหอ พวกขุนนางตกใจมากจนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ในพระที่นั่งไท่เหอในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดเริ่มกระซิบกระซาบกัน ในดวงตาฉายแววตกใจและไม่เชื่อ ขุนนางส่วนใหญ่ไม่ทราบรายละเอียดของงานเลี้ยงในตำหนักบูรพาเมื่อคืนนี้ และพวกเขาไม่มีหูเป็นตาที่จะบอกข่าวนี้ ดังนั้น ยกเว้นขุนนางหลักที่แท้จริงบางคน เช่น มหาอำมาตย์สำนักราชเลขาและคนสนิทของหลี่เฉิน ข้าราชบริพารส่วนใหญ่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “กระหม่อมบังอาจถามฝ่าบาทสักประโยค ต้าเหลียงหลงเชวี่ยเป็นกระบี่ของไท่จูในปีนั้นหรือไม่? และมันหายไปพร้อมกับสมบัติของไท่จูมิใช่หรือ?” ในพระที่นั่งไท่เหอ ชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งประสานมือถามขึ้นมาหลี่เฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ชายผู้นี้อายุเจ็ดสิบปีแล้ว เขารับใช้ราชสำนัก และไม่มีอำนาจที่แท้จริงมากนัก แต่ชื่อเสียงของเขาสูงส่งมาก ปกติแล้วเขาจะไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง และอยู่ในกลุ่มที่เป็นกลางซึ่งไม่ได้รุกรานใคร และไม่มีใครกล้าเป็นฝ่ายเริ่มรุกรานเขา หลี่เฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “กระบี่เล่มนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง และไม่มีใครกล้าเลียนแบบมัน ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบ
สามคำที่เรียบง่ายและเกือบจะหยาบคาย ทำให้พระที่นั่งไท่เหอตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจและก้มศีรษะลง แต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดกลับไปรวมกันที่หูเริ่มแล้ว!ความขัดแย้งระหว่างสำนักราชเลขาและองค์รัชทายาทเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ผลลัพธ์ของความขัดแย้งในครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญ และเกี่ยวข้องกับฝ่ายที่เป็นกลางในราชสำนักที่ยังคงเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ว่าจะวางชิปของตัวเองที่ฝ่ายไหนพวกเขาไม่อาจเป็นแบบหัวหน้าผู้อาวุโสกั๋วจื่อเจี้ยนซึ่งเป็นผู้อาวุโสสามรัชกาลได้ เพราะไม่ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายชนะ หรือสำนักราชเลขาจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้าย ก็ไม่มีใครจะโต้เถียงกับชายชราคนนี้ เพราะมันเสียไม่คุ้มได้ และยังเป็นการล่วงเกินบัณฑิตเป็นจำนวนมากอีกด้วย เนื่องจากพวกเขาอยู่ในราชสำนัก เมื่อลมพายุซัดเข้ามา พวกเขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้หลี่เฉินสบตากับจางปี้อู่และพูดเสียงราบเรียบว่า “ข้าให้เจ้าพูดหรือ?”จู่ๆ หลี่เฉินก็ตวาดเสียงดังว่า “ช่างอวดดีจริงๆ!”“นี่คือพระที่นั่งไท่เหอ เมื่อข้ายืนอยู่ที่นี่ ข้าคือตัวแทนเสด็จพ่อ ใช้อำนาจของจักรพรรดิและอำนาจของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อข้ายังพูดไม่จบ มันถึงตาเจ
“กระหม่อมน้อมรับบทลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”จางปี้อู่ประสานมือตอบหลี่เฉินกวาดสายตาไปทั่วพระที่นั่งไท่เหออันเงียบสงบ โดยเพ่งความสนใจไปที่จ้าวเสวียนจีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสียงเรียบว่า“ข้าได้พิจารณาขอเรียกร้องของเสียนเฉาที่ให้ส่งทหารออกไปอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งมันมีข้อเสียสองประการ”“ประการแรก ตอนนี้ต้าฉินมีภัยพิบัติทางธรรมชาติในประเทศติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะประชาชนหรือราชสำนัก ก็ไม่สามารถแบกรับการทำสงครามระยะไกลได้”“ประการที่สอง ท้องพระคลังของประเทศว่างเปล่า กองทหารม้าทุกแห่งแทบจะไม่สามารถรักษาการจ่ายค่าจ้างของทหารได้ เมื่อทหารเคลื่อนตัว เงินและทองคำนับไม่ถ้วนก็ไหลออกดุจสายน้ำ นอกจากนี้การทำสงครามย่อมมีคนตาย ซึ่งการใช้ลูกชายต้าฉินไปต่อสู้เพื่อประเทศอื่น ก็ดูจะไม่ฉลาดเท่าไหร่”เขาจ้องมองไปที่จางปี้อู่อีกครั้ง และหลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ที่ใต้เท้าจางคัดค้านความคิดนี้ คงเป็นเพราะสองประเด็นนี้สินะ?”จางปี้อู่พูดด้วยสีหน้าแข็งๆ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา คิดทุกอย่างได้ถี่ถ้วน เป็นกระหม่อมที่คิดมากเอง”โดยไม่สนใจคำพูดติดหอกพกกระบองของจางปี้อู่ หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็นว่า “แต่ทุกอย่างม
เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามโดยตรงจากหลี่เฉินผู้หยิ่งผยองและไร้เหตุผล ซึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางการเมืองขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ จางปี้อู่ก็อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเขาเคยจินตนาการถึงวิธีที่องค์รัชทายาทจะดำเนินการนับไม่ถ้วน เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อต้านที่รุนแรงจากสำนักราชเลขา แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะแข็งกร้าวเช่นนี้ในเมื่อไม่สามารถเล่นไปตามกฎของสำนักราชเลขาได้ เช่นนั้นก็ล้มกฎไปซะนี่เป็นวิธีการขององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? ในอดีต แม้องค์จักรพรรดิจะอยู่ในราชสำนัก แต่จางปี้อู่ก็ยังกล้าที่จะแข็งขืนเพราะเขารู้ว่าองค์จักรพรรดิชื่นชอบในการรักษาชื่อเสียงของตัวเอง และเกรงว่าราชสำนักจะไม่มั่นคง จึงเน้นไปที่การประนีประนอมกับสำนักราชเลขาทุกเรื่องสามารถประนีประนอมได้นี่เป็นความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างสำนักราชเลขาและอำนาจของจักรพรรดิแต่องค์รัชทายาทไม่ใช่องค์จักรพรรดิวิธีการของเขานั้นหยาบคายยิ่งกว่าจักรพรรดิไม่รู้กี่เท่า หากองค์จักรพรรดิเป็นปรมาจารย์ด้านการวางแผนและการวางอุบาย เช่นนั้นการกระทำขององค์รัชทายาทก็เหมือนกับเด็กอายุสามขวบแต่น่าเสียดายที่เด็กอายุ
ประโยคนี้เน้นไปที่ประเทศ เพราะเป็นหลี่เฉินที่ยืนกรานว่าจะส่งทหารไปยังเสียนเฉา ซึ่งจะนำความวุ่นวายมาสู่จักรวรรดิ หรือหลี่เฉินจะแสดงตัวเป็นคนหัวร้อน ซึ่งการฆ่าเขาโดยตรงจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อประเทศ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนนั้น ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจนการคุกคามโดยตรงและโหดร้ายเช่นนี้ ลอกเลียนสไตล์ของหลี่เฉินไม่มีเสียงระฆังหรือว่านกหวีด มีเพียงแค่การวางไพ่จะฆ่าหรือถอยไม่มีทางเลือกที่สามจ้าวเสวียนจีพูดเพียงประโยคเดียว ก็โยนทางเลือกที่ยากลำบากมาใส่มือของหลี่เฉิน หากสังหารจ้าวเสวียนจีก็ถือว่าเป็นการทำลายเสถียรภาพของประเทศแต่ถ้าหากถอย บารมีขององค์รัชทายาทก็จะลดลงอย่างมากสุนัขจิ้งจอกเฒ่าก็เป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ หลี่เฉินหรี่ตาและยิ้ม“การทำงานหนักของท่านราชเลขามีส่วนช่วยอย่างมากต่อประเทศ ตัวข้านั้นมองเห็น และเหล่าขุนนางตลอดจนประชาชนล้วนมองเห็น”ต้าเหลียงหลงเชวี่ยค่อยๆ ถอยออกจากบ่าของจ้าวเสวียนจีในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้คงจะจบลงด้วยการล่าถอยขององค์รัชทายาท แม้แต่จ้าวเสวียนจีเองก็คิดเช่นนั้น แต่จู่ๆ หลี่เฉินก็สะบัดข้อมือฝักกระบี่ร่วงลงมากระแทกพื
ตั้งแต่สมัยโบราณ แม่ทัพพิชิตใต้หล้า ส่วนข้าราชการก็ปกครองประเทศเส้นทางเลื่อนตำแหน่งระหว่างแม่ทัพและข้าราชการ ถูกกำหนดแล้วว่ามีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่จะรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่วุ่นวายจะสงบลงเสมอ เมื่อโลกสงบสุขมากขึ้น ก็เป็นเรื่องยากสำหรับท่านแม่ทัพที่จะสร้างคุณูปการและผลงานการรบได้ จุดนี้จะมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้าราชการ ไท่จูผู้ก่อตั้งประเทศมีอำนาจแข็งแกร่งเกินไป หลังจากที่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา กองทัพก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น สามารถสังหารประเทศศัตรูอย่างซยงหนู อาณาจักรเหลียว อาณาจักรจินและประเทศอื่นๆ จนพวกมันกลัวจนตัวสั่น และไม่กล้ารุกรานต้าฉินเป็นเวลากว่าร้อยปี ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมาการคุกคามเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เวลานี้ สายเลือดทหารอันเร่าร้อนขององค์จักรพรรดิรุ่นแรกได้เหี่ยวเฉาลงไปแล้ว และมีแม่ทัพเพียงไม่กี่คนในจักรวรรดิที่สามารถยืนหยัดได้ ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองของเสียงเรียกร้องแห่งสันติภาพ พวกแม่ทัพก็ไม่สามารถบรรลุผลการรบใดๆ ได้ ข้าราชการค่อยๆ ระงับสถานะของพวกเขา ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี แต่ตอนนี้ คำพูดของหลี่เฉินนั้นย่อมโดนใจเหล่าแม่ทัพท