ภายในพระที่นั่งคังไท่เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดถึงหัวข้อประเภทนี้ บางคนถึงกับกลั้นเสียงลมหายใจของตัวเอง เพราะเกรงว่าจะดึงดูดความสนใจขององค์รัชทายาท ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่หลี่เฉิน ประโยคต่อไปของหลี่เฉิน ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ มันก็จะส่งผลโดยตรงต่อการอยู่รอดของเสียนเฉา แต่หลี่เฉินกลับไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขาหันไปถามซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” นี่คือบทละครที่ทั้งสองคนได้เตรียมไว้ล่วงหน้าซูเจิ้นถิงไม่ได้ตื่นตระหนก เขากำหมัดแล้วพูดว่า “กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะที่จะเห็นด้วยกับคำขอของเสียนเฉา”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา คณะทูตเสียนเฉาแต่ละคนก็เงยหน้าขึ้นมองซูเจิ้นถิง สายตาของพวกเขาแทบจะพ่นไฟออกมา และอยากจะฆ่าซูเจิ้นถิงให้ตาย แต่ซูเจิ้นถิงกลับไม่สะทกสะท้าน เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “สถานการณ์ในประเทศตอนนี้ยังไม่ดีนัก ก่อนหน้านี้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ต่อมาพวกชาวซยงหนูก็พร้อมเคลื่อนทัพสู่ชายแดน สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะดูเหมือนสงบ แต่จริงๆ แล้ว การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็อาจส่งผลต่อทั้งร่างกาย!” “ความ
“ข้าคิดมาตลอดว่านั่นเป็นเพียงตำนาน ปีนั้นปู่ทวดของข้าได้เข้าร่วมกลุ่มค้นหาสมบัติของจักรพรรดิองค์ก่อน หลังจากเสียเวลาและเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ ก็ไม่พบอะไรเลย ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง?” “เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นเรื่องโกหก?” “เหลวไหล ต้าเหลียงหลงเชวี่ยเล่มนี้ ทั่วทั้งใต้หล้ามีอยู่แค่เล่มเดียว ใครสามารถปลอมแปลงมันได้บ้าง? ใครจะกล้าปลอมแปลงมันขึ้นมา?” “แน่นอนว่าต้าเหลียงหลงเชวี่ยเป็นกระบี่ของไท่จู ถ้าหากกล้าปลอมแปลงขึ้นมา ย่อมมีความผิดฐานก่อความไม่สงบ!” ความคิดเห็นต่างๆ นาๆ ได้แพร่กระจายไปทั่วกลุ่มข้าราชบริพารของต้าฉินอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน ทั้งแววตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “ฝ่าบาท!” สวีฉังชิงลุกขึ้นยืน ในฐานะคนกลุ่มแรกๆ ที่ติดตามหลี่เฉิน ไม่ว่าจะตำแหน่งหรือความสามารถ สวีฉังชิงล้วนมีคุณสมบัติที่จะพูดเป็นคนแรกตอนนี้ “เรื่องสมบัติไท่จูเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมคิดว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวัง หากเป็นเรื่องจริง ก็ไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเพื่อนำสมบัติกลับคืนมา แต่ถ้าหากมีใครจงใจใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างความสับสนให้กับสาธารณชนเพื่อบร
ตอนนี้อำนาจขององค์รัชทายาทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ไร้อำนาจที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสำนักราชเลขาอีกต่อไป พระราชโองการขององค์จักรพรรดิที่แต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำให้อำนาจในมือขององค์รัชทายาทยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนที่ปรากฏตัวที่นี่คืนนี้ มีไม่น้อยที่อยากจะเข้าร่วมกับองค์รัชทายาทล่วงหน้า เพื่อรับผลประโยชน์หลังจากมังกรทะยานฟ้า ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากที่พยายามอย่างหนักเพื่อคาดเดาความคิดขององค์รัชทายาท และปรับตัวให้เหมาะสมกับความชอบของเขา ถ้าเดาถูก ก็จะได้รับความชื่นชมจากองค์รัชทายาท แต่ถ้าหากเดาผิด ก็อาจจะประสบกับปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เป็นคนของท่านราชเลขา ที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือ พวกเขาจะทำอย่างไรให้ท่านราชเลขาได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากเหตุการณ์นี้ ในขณะเดียวกันก็สร้างความเสียหายให้กับอำนาจขององค์รัชทายาท ส่วนคณะทูตเสียนเฉายิ่งสนใจการกินดื่มน้อยลงด้วยซ้ำ พวกเขากำลังคาดเดาความคิดขององค์รัชทายาท แม้กระทั่งอธิษฐานขอให้ราชสำนักต้าฉินตกลงที่จะส่งกองทัพออกมา ซึ่งนี่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจสู
ในขณะนี้ รถม้าได้เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าแล้ว รถม้าที่โยกเล็กน้อย ทำให้หลี่เฉินและจินเสวี่ยยวนซึ่งนอนทับกันในรถม้ารู้สึกได้ถึงการกระตุ้นประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยม ในที่สุดหลี่เฉินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนจำนวนมากถึงได้ชอบสวมเครื่องแบบ การแต่งกายของจินเสวี่ยยวนในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกว่าปกติจริงๆ เมื่อเห็นว่ามือเท้าของหลี่เฉินเริ่มไม่ซื่อสัตย์ จินเสวี่ยยวนก็โกรธจัด นางจับมือของหลี่เฉินแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้!” ทั้งดวงตาและน้ำเสียงก็ดูหนักแน่น และการปฏิเสธครั้งนี้ก็เด็ดขาดกว่าครั้งก่อนๆ “ทำไม?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนโกรธจัด นางรู้สึกว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้ ชายผู้นี้จะเป็นคนธรรมดาหรือว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน คนๆ นี้ล้วนหน้าด้านไร้ยางอายอยู่ดี ยังจะกล้าถามอีกว่าทำไม? “เจ้าคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ส่วนข้าคือองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ไม่ก็คือไม่! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะเกิดปัญหาใหญ่เอาได้!” จินเสวี่ยยวนกล่าว หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และถามว่า “เรื่องนี้จะแพร่ออกไปได้อย่างไร?” จินเสวี่ยยวนตกตะลึง และรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย “ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่สายลมเข
เป้าหมายของจินเสวี่ยยวนและเสียนเฉาทั้งหมดมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการทำให้หลี่เฉินใช้อำนาจขององค์รัชทายาทผลักดันข้อสรุปเรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา แต่ปัญหาก็คือ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของต้าฉินในปัจจุบันแล้ว หลี่เฉินจะต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อบังคับส่งทหารออกไป แต่จินเสวี่ยยวนไม่ได้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ นางแค่ต้องการให้ทหารจากต้าฉินเข้าสู่ดินแดนของตัวเอง เพื่อต่อสู้กับตงอิ๋งและกอบกู้ประเทศของนางมันไม่เกี่ยวว่าดีหรือแย่ มันก็แค่สัญชาตญาณเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลังจากทะลุมิติมาแล้ว หลี่เฉินก็ไม่อยากทำตัวเป็นสุนัขเลีย[footnoteRef:1]ผู้หญิงคนไหนอีก [1: เลีย อุปมาว่าประจบสอพลอ ตามเอาอกเอาใจ] ไม่ว่าจะสวยแค่ไหนก็ตาม ถ้าจะเลีย เขาจะต้องเป็นคนที่ถูกเลียเอง คำพูดของหลี่เฉินสมจริงมากจนแทบจะไร้ความปรานี ทำให้จินเสวี่ยยวนที่ต้องการจะหักล้างคำพูด แต่เมื่อความจริงมาวางไว้ตรงหน้า นางก็รู้ตัวว่าไม่ได้คิดจริงๆ ว่าหลี่เฉินจะต้องจ่ายเท่าไรเพื่อสนองความปรารถนาของนาง ดังนั้นความมั่นใจของจินเสวี่ยยวนจึงลดลง “แต่เรื่องแบบนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อชายและหญ
“องค์หญิง...” ขุนนางเสียนเฉาที่มีเคราแพะกำลังจะพูด แต่จินเสวี่ยยวนก้มศีรษะลงและไม่มองฝูงชน นางพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเผลองีบหลับไป รบกวนทุกท่านรอนานแล้ว” พูดจบ จินเสวี่ยยวนก็เหยียบลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กแล้วลงจากรถม้า เพียงแต่ร่างกายของจินเสวี่ยยวนดูเหมือนจะอ่อนแอมาก จู่ๆ ขาของนางก็เกิดอ่อนแรงขึ้นมา จนเกือบจะล้มคว่ำ โชคดีที่สาวใช้ส่วนตัวของจินเสวี่ยยวนหูตาว่องไว จึงประคองนางได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสาวใช้สัมผัสตัวก็รู้สึกว่าพระวรกายขององค์หญิงร้อนผ่าว และใบหน้าอันสวยงามที่หลบเลี่ยงสายตาของทุกคน ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงระเรื่อและเหงื่อเล็กๆ นี่มันคนเพิ่งตื่นที่ไหนกัน มันเหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จมากกว่า แต่สาวใช้คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า องค์หญิงจะสามารถออกกำลังแบบไหนในรถม้าได้? “องค์หญิง พระองค์สบายดีหรือไม่?” สาวใช้ถามอย่างกังวล “สะ สบายดี” เพียงจินเสวี่ยยวนเปิดปากพูด สาวใช้ที่เติบโตมาข้างกายจินเสวี่ยยวนก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียงนี้นุ่มนิ่มเกินไป...นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่ได้ฟังก็ยังรู้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้าง “กลับไปกันเถอะ” จินเสวี่ยย
“ค่อนข้างน่าสนใจ” หลี่เฉินรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “พูดมา เจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าสังหารเจ้า และทำไมเจ้าถึงยอมเสี่ยงขนาดนี้?”ก่อนที่โจวผิงอันจะพูด หลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ามีโอกาสแค่สามประโยคเท่านั้น” โจวผิงอันหยุดชั่วคราว และกลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากลงไป หลังจากนั้นไม่นาน โจวผิงอันก็พูดว่า “ผิงอันมีพี่น้องอยู่สามคน และผิงอันเป็นคนเล็กสุด พี่ใหญ่ทำการค้าในต้าฉิน...ทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ” “ประโยคที่หนึ่ง” หลี่เฉินหรี่ตาลงขณะพูด การค้าเกี่ยวกับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน หากประชาชนแตะต้องสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องตาย ตามกฎหมายของต้าฉิน ผู้ที่ไม่สวมเครื่องแบบราชการ หากพกอาวุธเดินอยู่บนถนนจะถูกโบยสามสิบไม้ หากในบ้านซุกซ่อนชุดเกราะหรืออาวุธเกินสามชิ้น จะถูกลงโทษด้วยข้อหาอาชญากรรมร้ายแรง สถานเบาถูกส่งตัวไปยังชายแดน สถานหนักยึดของกลางและประหารทั้งตระกูล และโจวผิงอันก็เปิดเผยความจริงที่ว่าพี่ชายคนโตของเขาทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ เมื่อกลับไป หลี่เฉินจะส่งหน่วยบูรพาไปตรวจสอบ โจวผิงอันสูดหายใจเข้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “พี่รองทำงานเป็นที่ปรึกษาในจวนอ๋องห
“เจ้าอยากทำอะไร?” หลี่เฉินถาม “ผิงอันเคยกล่าวว่าสำเร็จวิชาบุ๋นบู๊ และขายตัวเองให้กับราชวงศ์ของจักรพรรดิ” โจวผิงอันตอบอีกครั้ง หลี่เฉินหัวเราะและถามว่า “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร” โจวผิงอันตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “สิ่งที่ผิงอันเพิ่งบอกฝ่าบาทไปนั้น คือความจริงใจของผิงอัน ส่วนความสามารถของผิงอันนั้น...ภายในหนึ่งเดือน ผิงอันสามารถปราบกบฏมณฑลซีซานลงได้ โดยไม่เสียเลือดใดๆ” หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค้อมกายคำนับ และไม่พูดอะไร คำสัญญาของโจวผิงอันนั้นยากยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงอาวุธของกลุ่มกบฏในมณฑลซีซาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ของเขาจัดหามาให้ และผู้บงการเบื้องหลังอย่างอ๋องหนิงหรือสายลับที่ซ่อนอยู่อย่างพี่รอง ดูเหมือนเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของหลี่เฉินนั้น การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของโจวผิงอัน ก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่น้อยไปกว่ากบฏในมณฑลซีซานเลย สามพี่น้องนี้ แต่ละคนต่างดำรงตำแหน่งสำคัญในสาขาอาชีพของตน และก้าวไปสู่ระดับที่สูงมาก พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หลี่เฉินไม่พูด ส่วนโจวผิงอันก็รักษาท่าทางโค้งคำนับไว้ไม่เคลื่อนไหว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ร