ตอนนี้อำนาจขององค์รัชทายาทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ไร้อำนาจที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสำนักราชเลขาอีกต่อไป พระราชโองการขององค์จักรพรรดิที่แต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำให้อำนาจในมือขององค์รัชทายาทยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนที่ปรากฏตัวที่นี่คืนนี้ มีไม่น้อยที่อยากจะเข้าร่วมกับองค์รัชทายาทล่วงหน้า เพื่อรับผลประโยชน์หลังจากมังกรทะยานฟ้า ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากที่พยายามอย่างหนักเพื่อคาดเดาความคิดขององค์รัชทายาท และปรับตัวให้เหมาะสมกับความชอบของเขา ถ้าเดาถูก ก็จะได้รับความชื่นชมจากองค์รัชทายาท แต่ถ้าหากเดาผิด ก็อาจจะประสบกับปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เป็นคนของท่านราชเลขา ที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือ พวกเขาจะทำอย่างไรให้ท่านราชเลขาได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากเหตุการณ์นี้ ในขณะเดียวกันก็สร้างความเสียหายให้กับอำนาจขององค์รัชทายาท ส่วนคณะทูตเสียนเฉายิ่งสนใจการกินดื่มน้อยลงด้วยซ้ำ พวกเขากำลังคาดเดาความคิดขององค์รัชทายาท แม้กระทั่งอธิษฐานขอให้ราชสำนักต้าฉินตกลงที่จะส่งกองทัพออกมา ซึ่งนี่จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจสู
ในขณะนี้ รถม้าได้เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าแล้ว รถม้าที่โยกเล็กน้อย ทำให้หลี่เฉินและจินเสวี่ยยวนซึ่งนอนทับกันในรถม้ารู้สึกได้ถึงการกระตุ้นประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยม ในที่สุดหลี่เฉินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนจำนวนมากถึงได้ชอบสวมเครื่องแบบ การแต่งกายของจินเสวี่ยยวนในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกว่าปกติจริงๆ เมื่อเห็นว่ามือเท้าของหลี่เฉินเริ่มไม่ซื่อสัตย์ จินเสวี่ยยวนก็โกรธจัด นางจับมือของหลี่เฉินแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้!” ทั้งดวงตาและน้ำเสียงก็ดูหนักแน่น และการปฏิเสธครั้งนี้ก็เด็ดขาดกว่าครั้งก่อนๆ “ทำไม?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนโกรธจัด นางรู้สึกว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้ ชายผู้นี้จะเป็นคนธรรมดาหรือว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน คนๆ นี้ล้วนหน้าด้านไร้ยางอายอยู่ดี ยังจะกล้าถามอีกว่าทำไม? “เจ้าคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ส่วนข้าคือองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ไม่ก็คือไม่! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะเกิดปัญหาใหญ่เอาได้!” จินเสวี่ยยวนกล่าว หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และถามว่า “เรื่องนี้จะแพร่ออกไปได้อย่างไร?” จินเสวี่ยยวนตกตะลึง และรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย “ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่สายลมเข
เป้าหมายของจินเสวี่ยยวนและเสียนเฉาทั้งหมดมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการทำให้หลี่เฉินใช้อำนาจขององค์รัชทายาทผลักดันข้อสรุปเรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา แต่ปัญหาก็คือ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของต้าฉินในปัจจุบันแล้ว หลี่เฉินจะต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อบังคับส่งทหารออกไป แต่จินเสวี่ยยวนไม่ได้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ นางแค่ต้องการให้ทหารจากต้าฉินเข้าสู่ดินแดนของตัวเอง เพื่อต่อสู้กับตงอิ๋งและกอบกู้ประเทศของนางมันไม่เกี่ยวว่าดีหรือแย่ มันก็แค่สัญชาตญาณเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลังจากทะลุมิติมาแล้ว หลี่เฉินก็ไม่อยากทำตัวเป็นสุนัขเลีย[footnoteRef:1]ผู้หญิงคนไหนอีก [1: เลีย อุปมาว่าประจบสอพลอ ตามเอาอกเอาใจ] ไม่ว่าจะสวยแค่ไหนก็ตาม ถ้าจะเลีย เขาจะต้องเป็นคนที่ถูกเลียเอง คำพูดของหลี่เฉินสมจริงมากจนแทบจะไร้ความปรานี ทำให้จินเสวี่ยยวนที่ต้องการจะหักล้างคำพูด แต่เมื่อความจริงมาวางไว้ตรงหน้า นางก็รู้ตัวว่าไม่ได้คิดจริงๆ ว่าหลี่เฉินจะต้องจ่ายเท่าไรเพื่อสนองความปรารถนาของนาง ดังนั้นความมั่นใจของจินเสวี่ยยวนจึงลดลง “แต่เรื่องแบบนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อชายและหญ
“องค์หญิง...” ขุนนางเสียนเฉาที่มีเคราแพะกำลังจะพูด แต่จินเสวี่ยยวนก้มศีรษะลงและไม่มองฝูงชน นางพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเผลองีบหลับไป รบกวนทุกท่านรอนานแล้ว” พูดจบ จินเสวี่ยยวนก็เหยียบลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กแล้วลงจากรถม้า เพียงแต่ร่างกายของจินเสวี่ยยวนดูเหมือนจะอ่อนแอมาก จู่ๆ ขาของนางก็เกิดอ่อนแรงขึ้นมา จนเกือบจะล้มคว่ำ โชคดีที่สาวใช้ส่วนตัวของจินเสวี่ยยวนหูตาว่องไว จึงประคองนางได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสาวใช้สัมผัสตัวก็รู้สึกว่าพระวรกายขององค์หญิงร้อนผ่าว และใบหน้าอันสวยงามที่หลบเลี่ยงสายตาของทุกคน ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงระเรื่อและเหงื่อเล็กๆ นี่มันคนเพิ่งตื่นที่ไหนกัน มันเหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จมากกว่า แต่สาวใช้คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า องค์หญิงจะสามารถออกกำลังแบบไหนในรถม้าได้? “องค์หญิง พระองค์สบายดีหรือไม่?” สาวใช้ถามอย่างกังวล “สะ สบายดี” เพียงจินเสวี่ยยวนเปิดปากพูด สาวใช้ที่เติบโตมาข้างกายจินเสวี่ยยวนก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียงนี้นุ่มนิ่มเกินไป...นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่ได้ฟังก็ยังรู้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้าง “กลับไปกันเถอะ” จินเสวี่ยย
“ค่อนข้างน่าสนใจ” หลี่เฉินรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “พูดมา เจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าสังหารเจ้า และทำไมเจ้าถึงยอมเสี่ยงขนาดนี้?”ก่อนที่โจวผิงอันจะพูด หลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ามีโอกาสแค่สามประโยคเท่านั้น” โจวผิงอันหยุดชั่วคราว และกลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากลงไป หลังจากนั้นไม่นาน โจวผิงอันก็พูดว่า “ผิงอันมีพี่น้องอยู่สามคน และผิงอันเป็นคนเล็กสุด พี่ใหญ่ทำการค้าในต้าฉิน...ทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ” “ประโยคที่หนึ่ง” หลี่เฉินหรี่ตาลงขณะพูด การค้าเกี่ยวกับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน หากประชาชนแตะต้องสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องตาย ตามกฎหมายของต้าฉิน ผู้ที่ไม่สวมเครื่องแบบราชการ หากพกอาวุธเดินอยู่บนถนนจะถูกโบยสามสิบไม้ หากในบ้านซุกซ่อนชุดเกราะหรืออาวุธเกินสามชิ้น จะถูกลงโทษด้วยข้อหาอาชญากรรมร้ายแรง สถานเบาถูกส่งตัวไปยังชายแดน สถานหนักยึดของกลางและประหารทั้งตระกูล และโจวผิงอันก็เปิดเผยความจริงที่ว่าพี่ชายคนโตของเขาทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ เมื่อกลับไป หลี่เฉินจะส่งหน่วยบูรพาไปตรวจสอบ โจวผิงอันสูดหายใจเข้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “พี่รองทำงานเป็นที่ปรึกษาในจวนอ๋องห
“เจ้าอยากทำอะไร?” หลี่เฉินถาม “ผิงอันเคยกล่าวว่าสำเร็จวิชาบุ๋นบู๊ และขายตัวเองให้กับราชวงศ์ของจักรพรรดิ” โจวผิงอันตอบอีกครั้ง หลี่เฉินหัวเราะและถามว่า “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร” โจวผิงอันตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “สิ่งที่ผิงอันเพิ่งบอกฝ่าบาทไปนั้น คือความจริงใจของผิงอัน ส่วนความสามารถของผิงอันนั้น...ภายในหนึ่งเดือน ผิงอันสามารถปราบกบฏมณฑลซีซานลงได้ โดยไม่เสียเลือดใดๆ” หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค้อมกายคำนับ และไม่พูดอะไร คำสัญญาของโจวผิงอันนั้นยากยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงอาวุธของกลุ่มกบฏในมณฑลซีซาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ของเขาจัดหามาให้ และผู้บงการเบื้องหลังอย่างอ๋องหนิงหรือสายลับที่ซ่อนอยู่อย่างพี่รอง ดูเหมือนเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของหลี่เฉินนั้น การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของโจวผิงอัน ก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่น้อยไปกว่ากบฏในมณฑลซีซานเลย สามพี่น้องนี้ แต่ละคนต่างดำรงตำแหน่งสำคัญในสาขาอาชีพของตน และก้าวไปสู่ระดับที่สูงมาก พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หลี่เฉินไม่พูด ส่วนโจวผิงอันก็รักษาท่าทางโค้งคำนับไว้ไม่เคลื่อนไหว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ร
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ”ฟู่อวี้จือเป็นคนแรกที่พูด เขาลูบเคราแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “องค์รัชทายาทกำลังวางแผนการที่ลึกล้ำบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมบัติไท่จู เขาอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท ก็ต้องอยากนำสมบัติไท่จูกลับคืนมา...หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดเขาได้ และเมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ก็จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาจากการขึ้นครองบัลลังก์ได้ ถึงตอนนั้นแค่โยนคำพูดสองสามคำอย่างไท่จูปกปักษ์ออกไป ยังจะมีใครกล้าปฏิเสธอีก?” “ในความคิดของข้า องค์รัชทายาทจะทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อค้นหาสมบัติไท่จูโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ต้องจ่าย” ตอนนี้เอง จางปี้อู่ก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “และถ้าอยากไปค้นหาสมบัติไท่จูเพื่อนำกลับคืนมา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือส่งทหารไปที่เสียนเฉา เพื่อปราบปรามความโกลาหลในเสียนเฉา” “ดังนั้น เรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา พวกเราจะต้องหยุดมันเอาไว้” คำพูดของฟู่อวี้จือและจางปี้อู่ ทำให้จ้าวเสวียนจีพยักหน้าช้าๆ จากนั้นเขาก็หันไปมองต้วนจิ่นเจียงที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ เมื่อเห็นท่าทางฟุ้งซ่านของฝ่ายหลังจึงพูดว่า “ใต้เท้าต้วน ท่านยังกังวลเกี่ยวกับลูก
หลี่เฉินนั่งอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มองไปที่ซานเป่าแล้วยกจอกชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดว่า “การเดินทางในครั้งนี้ คงจะฆ่าคนไปไม่น้อย กลิ่นเลือดบนตัวเจ้าถึงได้แรงมาก” ซานเป่ารีบกล่าวว่า “ได้ฆ่าขุนนางทรยศไปบางส่วน บ่าวควรจะอาบน้ำชำระล้างกลิ่นสกปรกก่อนจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทำให้พระเนตรของฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน บ่าวสมควรตาย” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เล่ามา สถานการณ์ในมณฑลซีซานทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซานเป่ากล่าวด้วยสายตาที่เฉียบคมว่า “หลังจากที่บ่าวไปถึงมณฑลซีซาน พบว่าสถานการณ์จริงนั้นร้ายแรงกว่านี้มาก” “ไท่หยวน หยางชวี และเซียงติ้ง ทั้งสามอำเภอได้ล่มสลายลงแล้ว และขนาดของกลุ่มกบฏก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หลายคนจึงเข้าร่วมกับพวกเขาทุกวัน ในช่วงเวลานี้ ขนาดของกบฏได้เพิ่มขึ้นจากหลายหมื่นเป็นเกือบ 100,000 คน ตอนที่บ่าวจากมา พวกเขาก็โจมตีต้าถงฟู่ที่อยู่ห่างจากซีซานไปร้อยลี้” “ทุกที่ที่พวกกบฏผ่านไป ขุนนางและทหารต่างก็หวาดกลัวและแทบไม่สามารถต้านทานได้ พวกเขายังโจมตีและสังหารผู้มีอำนาจด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีคติขวัญว่า “แผ่นดินเป็นของประชาชน”