ด้านในพระที่นั่งคังไท่ ตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสัน แม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่ด้านในพระที่นั่งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ มีคณะดนตรีบรรเลงเพลง และนางกำนัลที่เดินไปมา นำสมาชิกของทูตเสียนเฉาแต่ละคนไปยังตำแหน่งของตนตามลำดับ บนโต๊ะมีเครื่องเคียงหลายอย่าง แม้ว่าจะไม่หรูหรามากนัก แต่แต่ละจานก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิเสทปรุงอย่างพิถีพิถัน ทั้งรูป รส กลิ่น ล้วนสมบูรณ์แบบ...แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครไร้มารยาทพอที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อน จินเสวี่ยยวนในฐานะองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะทูต ดังนั้นที่นั่งของนางจึงอยู่ด้านล่างทางขวามือของที่นั่งองค์รัชทายาท ซึ่งอยู่ตรงกลางด้านบนสุด ส่วนที่นั่งฝั่งซ้ายมือเป็นของขุนนางต้าฉิน และเนื่องจากเป็นงานเลี้ยงตำหนักบูรพา ดังนั้นขุนนางที่มาจึงมีตำแหน่งไม่ค่อยสูง ด้วยเหตุนี้จึงไม่เห็นขุนนางสำนักราชเลขาเลยสักคน เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่นั่งทางซ้ายมือระดับเดียวกับจินเสวี่ยยวนนั้นว่างเปล่า หลังจากที่คณะทูตเสียนเฉาเข้ามาในพระที่นั่งคังไท่ เหล่าทูตคนอื่นๆ ก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับเหล่าขุนนางในงานเลี้ยงทันที เห็นได้ชัดว่าไม่รู้
“เจ้าอยากตายรึ!” จินเสวี่ยยวนตกใจมาก ขนในกายถึงกับลุกพึ่บ ก่อนหน้านี้แม้หลี่เฉินจะแสดงความกล้าที่บ้าระห่ำออกมา แต่ก็ยังรู้จักหลบเลี่ยงคน แต่ที่นี่คือที่ไหน? ตำหนักบูรพา!พระที่นั่งคังไท่! เป็นสถานที่ที่องค์รัชทายาทให้การต้อนรับคณะทูตของเสียนเฉา! ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกคณะทูตเสียนเฉาของตัวเองเลย มีขุนนางขั้นที่ 5 ขึ้นไปประมาณ 5-6 คนอยู่ที่นี้ และยังมีนางกำนัลกับองค์รักษ์ที่กระจายตัวอยู่รอบๆ อย่างแน่นขนัด แต่หลี่เฉินก็ยังกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูนางอีก ท่าทางดังกล่าวได้ทำลายการป้องกันระหว่างชายหญิงสมัยโบราณแม้แต่ในหมู่ประชาชน ถ้าชายหรือหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จินเสวี่ยยวนจึงตกใจกลัวมาก นางผลักหลี่เฉินออกไปราวกับโดนไฟฟ้าช็อต และพูดอย่างตกใจปนกลัวว่า “จริงจังหน่อยสิ! หากถูกคนอื่นเห็นเข้า พวกเราจะมีปัญหา!” หลี่เฉินมองท่าทางเหมือนกระต่ายตื่นตูมของจินเสวี่ยยวนอย่างขำๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ข้าจริงจังก็ได้ แต่เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย เจ้ากำลังคิดถึงข้าอยู่หรือไม่?” จินเสว
คำพูดของจินเสวี่ยยวน ทำให้หลี่เฉินประหลาดใจ“ร่วมมือ?” หลี่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างสนใจว่า “เจ้าลองพูดมาสิ?” จินเสวี่ยยวนได้ยินบรรยากาศในพระที่นั่งคังไท่ที่ค่อยๆ คึกคักขึ้นเมื่อซูเจิ้นถิงมาถึง นางก็รู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จึงกัดฟันพูดไปว่า “สมบัติ! สมบัติของไท่จู!” “ตราบใดที่องค์รัชทายาทยินยอมส่งกองทัพไปยังเสียนเฉา ราชวงศ์เสียนเฉาก็เต็มใจที่จะบอกองค์รัชทายาทเกี่ยวกับสมบัติของไท่จู” หลี่เฉินตาเป็นประกาย เขาจ้องมองจินเสวี่ยยวนด้วยดวงตาดุจเหยี่ยว ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ หลี่เฉินก็พูดว่า “มันเป็นสมบัติจริงหรือปลอม?” “พวกเจ้าวางแผนที่จะใช้สมบัติปลอมเพื่อหลอกให้ต้าฉินส่งทหารออกไป แล้วค่อยคิดถึงแผนการและการชดใช้เพื่อระงับความพิโรธของต้าฉินในภายหลังใช่หรือไม่?”นี่เป็นครั้งแรกที่จินเสวี่ยยวนเพิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าบ้ากามตรงหน้านั้นช่างน่ากลัวมาก ประกายในดวงตาของเขาราวกับดาบที่สามารถทิ่มแทงจิตวิญญาณของนางได้โดยตรง จินเสวี่ยยวนรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ต่อมา นางก็รวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “จริงหรือปลอม ข้าก็มีวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาท
หัวใจทุกคนพลันเต้นแรง ทุกคนต่างแสดงท่าทางที่เคร่งขรึมโดยสัญชาตญาณ จิตสำนึกของพวกเขาสั่งให้ก้มหน้าลงและจัดท่าทางให้เรียบร้อย เพราะการเสียมารยาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทนั้น ถือเป็นโทษหนักไม่น้อย คนหลายสิบคนในพระที่นั่งคังไท่ต่างพากันเงียบกริบ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและมั่นคง ก่อนที่เงาร่างหนึ่ง จะเดินไปยังที่นั่งสูงตรงกลางจากทางด้านข้างของพระที่นั่ง จินเสวี่ยยวนก้มหัวต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่เดินไปยังที่นั่งสูงสุดอย่างองอาจ นางรู้ว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านี้ คือกุญแจสำคัญของการเดินทางมาที่นี่ของตัวเอง องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน จากสภาพร่างกายในปัจจุบันขององค์จักรพรรดิ คงอีกไม่นานที่เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของต้าฉิน รับผิดชอบขุนเขาธาราที่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้ และปกครองปวงประชานับหมื่นนับแสนคน กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า และเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในโลก ถึงแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิง แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างทั้งสอง ไม่ต้องพูดถึงตัวเองเลย แม้แต่เสด็จพ่อของนาง ราชาอาณาจักรเสียนเฉาหากมาอยู่ต่อหน้าเขา ก็ทำได้แค่ถ
คำพูดของหลี่เฉินไพเราะมาก ไม่เพียงแต่จะแสดงสถานะของต้าฉิน แต่ยังให้หน้าเสียนเฉาอีกด้วย ช่วยให้เสียนเฉาไม่ต้องกระอักกระอ่วนจนเกินไป ส่วนการเปรียบเทียบทะเลกับลำธาร อาทิตย์และจันทรา ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่แล้ว เสียนเฉาสถาปนาเป็นอาณาจักรได้ก็เพราะมีต้าฉินคอยหนุน ยิ่งไม่ต้องพูดระบบสังคม ทหาร และวัฒนธรรมในเสียนเฉา ที่แทบจะลอกระบบของต้าฉินมาทั้งหมด การที่ต้าฉินเป็นผู้นำและเป็นประเทศที่เหนือกว่านั้น นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วในสายตาของชาวเสียนเฉา เมื่อหลี่เฉินพูดจบ ก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มก่อน จากนั้นขุนนางต้าฉินและคณะทูต ก็พากันยกจอกสุราบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมา แล้วหันไปคารวะทางหลี่เฉิน พร้อมเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันว่า “กระหม่อม...จดจำคำสอนของฝ่าบาท” ตามมารยาททางการทูตของต้าฉิน จบคำกล่าวเปิดงาน ดื่มจอกแรกเสร็จ งานเลี้ยงก็เข้าสู่ช่วงถัดไปที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่า ตราบใดที่หลี่เฉินซึ่งอยู่ด้านบนไม่พูด คนด้านล่างก็สามารถดื่มคารวะกันเองได้อย่างผ่อนคลาย แน่นอนว่า สุราจอกแรกจำเป็นต้องดื่มคารวะหลี่เฉินก่อน หลี่เฉินจะดื่มหรือไม่ดื่มก็ได้ เพราะโดยพื้นฐานแล
การแนะนำของจินเสวี่ยยวนเล่าออกมาอย่างไพเราะดุจเสียงธารใส “เพื่อรักษารากทั้งหมดของโสมนี้ให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่สร้างความเสียหายเลย เราจึงทำให้ยอดเขาทั้งลูกแบนราบลงหกชุ่น[footnoteRef:1] เนื่องจากภูเขาสูงเกินไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะขนส่งอุปกรณ์ด้วยล่อและม้า และเกือบทั้งหมดต้องยกอุปกรณ์ขึ้นไหล่ของคนงาน จากนั้นก็ใช้พลั่วแงะเปิดดินทีละน้อย จนในที่สุดก็สามารถเอาโสมหายากนี้ออกมาได้ จากการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และอาวุโสที่สุดในเสียนเฉา โสมนี้มีอายุมากกว่า 280 ปี และมีคุณสมบัติทางยามากกว่าโสมอายุร้อยปีทั่วไปถึงสามเท่า โสมอายุร้อยปีก็เป็นสมบัติที่หายากอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้ หายากยิ่งกว่านั้นอีก” [1: 1 ชุ่น = 1.312] จินเสวี่ยยวนประคองกล่องไม้ด้วยสองมือแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ “โสมนี้ ขอถวายแด่ต้าฉิน ขอให้ต้าฉินเจริญรุ่งเรืองตลอดไป” หลี่เฉินรู้สึกพอใจกับโสมหายากนี้เช่นกัน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ยอดเยี่ยม” “เวลานี้เสด็จพ่อยังทรงประชวรอยู่ โสมนี้สามารถให้หมอหลวงนำไปใช้รักษาเสด็จพ่อได้ องค์หญิงจินช่างใส่ใจ” กล่าวจบ หลี่เฉินก็โบกมือ จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามารับโสมไปอย่
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท!” ตอนนี้เองซูเจิ้นถิงก็ประสานมือขึ้นกล่าว หลี่เฉินมองซูเจิ้นถิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เหตุใดท่านแม่ทัพซูจึงมีความสุข?”ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไท่จูเป็นยอดบุรุษเมื่อสามร้อยปีก่อน สติปัญญาและความกล้าหาญของเขา ไม่มีใครในประวัติศาสตร์หัวเซี่ยกว่าพันปีสามารถเทียบเคียงได้ ตอนนี้กระบี่ของไท่จูได้ปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง และกลับมาอยู่ในมือขององค์รัชทายาท จะเห็นได้ว่าไท่จูทรงปกปักษ์คุ้มครององค์รัชทายาท นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เหล่าขุนนางจะเจริญรุ่งเรือง ความรุ่งโรจน์กำลังจะกลับมาอีกครั้ง และจะยิ่งใหญ่กว่าเดิม!” ฟังสิๆ อะไรที่เรียกว่าเยินยอ? นี่สิคือการเยินยอที่แท้จริงช่างเป็นทักษะประจบประแจงขั้นสูง จนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง แม้แต่หลี่เฉินก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุขหลังจากที่ได้ยินมัน ไม่มีข้าราชบริพารคนใดที่โง่เขลา พวกเขาไม่สามารถประจบได้ก่อนเป็นคนแรก อีกทั้งไม่มีใครกล้าแข่งกับซูเจิ้นถิง แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดพวกเขาจากการเติมดอกไม้ แต่ละคนต่างก็ยกมือขึ้น และพูดเสียงดังว่า “ขอแสดงความยินดีกั
ไห่ตงชิงตัวนี้ เมื่อเทียบกับโสมก่อนหน้านี้ หรือโดยเฉพาะต้าเหลียงหลงเชวี่ยแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแต่สำหรับหลี่เฉินแล้ว มันเหมาะกับเขาที่สุด ความสุขนั้นเกินคำบรรยาย หลี่เฉินยกมือขึ้น จากนั้นก็มีองค์รักษ์เดินเข้ามารับกรงจากในมือของจินเสวี่ยยวน แต่ทว่า เมื่อไห่ตงชิงเห็นคนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาของมันก็ระเบิดความดุร้ายออกมา กางปีกออกเล็กน้อย อยู่ในท่าเตรียมพร้อมจู่โจม จินเสวี่ยยวนกล่าวว่า “นกตัวนี้มีจิตวิญญาณ หากคนทั่วไปเดินเข้ามาใกล้ มันก็จะโจมตีทันที หม่อมฉันจำเป็นต้องถวายมันให้กับฝ่าบาทด้วยตัวเอง” ขุนนางบางคนขมวดคิ้วและพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น หากมันทำร้ายฝ่าบาทขึ้นมาจะทำเช่นไร?” จินเสวี่ยยวนส่ายหน้า “ในเมื่อมีจิตวิญญาณ มันย่อมรู้ว่าฝ่าบาทคือเจ้าของของมันในอนาคต เมื่อมันยอมรับเป็นเจ้าของ มันก็จะจำเจ้าของไปตลอดชีวิต” ในขณะที่พูด จินเสวี่ยยวนก็เดินมาที่หน้าโต๊ะของหลี่เฉิน หลี่เฉินลังเลเล็กน้อย เมื่อมองอย่างใกล้ชิดก็จะเห็นกรงเล็บและจงอยปากที่แหลมคมของไห่ตงชิง ซึ่งคมกว่าดาบหรือกระบี่ ดวงตาที่ดุร้ายของมันกำลังจ้องมองมาที่ตน ทำเป็นเล่นไปกรงเล็บนี่ส