จินเสวี่ยยวนไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลี่เฉินเลยแต่นางรับรู้โดยสัญชาตญาณว่า หลี่เฉินกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ถ้าตะพาบน้อยคือต้วนจั่งเหมียน แล้วตะพาบแก่คือใครล่ะ?ต้วนจิ่นเจียง?ขุนนางคนสำคัญของสำนักราชเลขาปัจจุบัน มหาอำมาตย์เหวินเก๋อ ต้วนจิ่นเจียง?ความคิดนี้ทำให้จินเสวี่ยยวนตกใจนางมองไปที่หลี่เฉินด้วยความหวาดกลัว และอุทานอย่างตกใจว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลังจากปิดหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นมาก หลี่เฉินเอื้อมมือออกจากผ้าห่มแล้วดึงจินเสวี่ยยวนเข้ามา“อย่าคิดมากไปเลย เจ้าควรจะเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงในคืนพรุ่งนี้ และคิดหาวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาทช่วยพวกเจ้า แต่ก่อนหน้านั้น มาสนุกกับข้าอีกสักรอบจะดีกว่า”คำพูดของหลี่เฉินนั้นฟังดูเหมือนลูกค้าที่กำลังหยอกล้อสตรีในหอโคมเขียวหรือซ่องทำให้ศักดิ์ศรีของจินเสวี่ยยวนเหมือนถูกโจมตีอย่างหนักนางพยายามดิ้นหนี ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“ปล่อยข้านะ ไอ้ชาติชั่ว!”“หากบุรุษในใต้หล้าทำตัวเป็นปราชญ์เมธีที่ไม่ใกล้ชิดกับสตรี คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความสูญเสียที่สุดก็คือบุรุษนั่นแหละ หรือเจ้า สตรีเช่นเจ้าที่สามารถทำให้ผู้ชายจ
คำพูดของซูผิงเป่ย ทำให้หลี่เฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ซูผิงเป่ยต้องรอเก้อ“เอาล่ะ ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามนั้นเถอะ”หลี่เฉินมุ่งหน้าออกจากจุดพักแรม เขาเอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “แต่วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก มีหลายสิ่งที่ข้าไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งหมด จึงปล่อยให้เจ้าลงมืออย่างอิสระ ตรรกะความเข้าใจของเจ้าก็ไม่เลว ถือว่ามีไหวพริบเลยทีเดียว”ซูผิงเป่ยยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที“ทั้งหมดนี้ต้องขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมเพียงทำตามขั้นตอนเท่านั้น”“สิ่งที่เจ้าพูด นับว่าต่ำกว่ามาตรฐาน”หลี่เฉินเหลือบมองซูผิงเป่ยแล้วพูดว่า “หากคนที่ข้าใช้งาน รู้แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าใช้งานคนผิดอย่างนั้นหรือ?”ทันใดนั้นซูผิงเป่ยก็ตื่นตระหนกขึ้นมา และไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี แต่หลี่เฉินก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เอาล่ะ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง อย่ากังวลไปนักเลย”หลี่เฉินส่ายหน้า เมื่อสถานะสูงขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลเลยหากจะบอกว่ายิ่งสูงยิ่งโดดเดี่ยว คำพูดธรรมดาบางคำ แต่คนด้านล่างกลับครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเข้าใจมันเมื่อเดินออกจากประตูจุดพักแรม หลี
“อืม”ต้วนจิ่นเจียงครางรับในจมูกเขารับผ้าร้อนที่สาวใช้ส่งมาให้เช็ดมือแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นในจวนบ้าง?”พ่อบ้านรีบตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าเมื่อช่วงบ่ายนี้ คุณชายกลับมาเรียกผู้คุ้มกันยี่สิบกว่าออกไป ไม่รู้ว่าออกไปทำสิ่งใด”ใบหน้าของต้วนจิ่นเจียงมืดลง และตะคอกอย่างเย็นชาว่า “เขายังจะทำสิ่งใดได้อีก? นอกจากทะเลาะเบาะแว้งเรื่องผู้หญิงเพราะอิจฉาคนอื่น ข้าเคยบอกเขามาหลายครั้งแล้วว่า สถานการณ์เมืองหลวงในช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นวายและไม่สงบ แม้แต่ลูกชายของจ้าวเสวียนจีก็ยังทำตัวซื่อสัตย์ขึ้นไม่น้อย แค่ให้เขาหยุดหาเรื่องสักพัก เจ้าลูกทรพีนี่ก็แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด”เมื่อเห็นนายท่านไม่มีความสุข พ่อบ้านก็รีบพูดว่า “นายท่าน คุณชายอายุยังน้อย การทำเรื่องเหลวไหลไปบ้างจึงเป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณชายกลับมา ท่านก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากับเขา อย่าได้โมโหไปเลย มันไม่คุ้มที่จะโกรธจนทำร้ายตัวเองเช่นนี้”“โกรธเหรอ?”ต้วนจิ่นเจียงโยนผ้าเช็ดมือลงในอ่างน้ำ และเดินเข้าไปในจวนพลางพูดว่า “ถ้าข้าโกรธเจ้าลูกทรพีนี่จริงๆ ข้าคงโกรธจนตายไปนานแล้ว”พ่อบ้านกลอกตาแล้วพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า
หลังจากถูกหลี่เฉินโจมตีในวันนั้น แม้ว่าโหวอวี้ซูยังไม่รู้ว่าหลี่เฉินเป็นใครแต่ด้วยคำพูดของซูจิ่นพ่าที่ดังก้องอยู่ในหู โหวอวี้ซูจึงรู้ว่า ถ้าเขาต้องการจะเอาชนะหลี่เฉินที่ไม่ทราบที่มาที่ไป และทำให้ซูจิ่นพ่าผู้ซึ่งมีสายตาที่สูงส่งหันมามองตัวเอง เช่นนั้นเขาจำเป็นจะต้องเข้าสู่ระดับการสอบหน้าพระที่นั่งให้ได้ นี่คือความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของเขา ด้วยคำแนะนำของท่านจิ้งจือ บุคคลสำคัญในแวดวงวรรณกรรม และตราบใดที่เขาได้รับการสนับสนุนจากต้วนจิ่นเจียง เมื่อตนเองเข้าสู่เส้นทางขุนนางก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับซูจิ่นพ่า... คิดได้ดังนั้น ดวงตาของโหวอวี้ซูก็เต็มไปด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยาน“ไม่เลว”หลังจากได้เห็นสายตาของโหวอวี้ซู ต้วนจิ่นเจียงก็ลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย การมีความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี หากไม่มีความทะเยอทะยาน แม้ว่าเจ้าจะเริ่มต้นอาชีพขุนนาง แต่ก็ไม่สามารถไปได้ไกล ข้ารับปากเจ้าว่า ตราบใดที่เจ้าสามารถติดสิบอันแรกของการสอบขุนนาง และมีคุณสมบัติได้สอบหน้าพระที่นั่ง ข้าจะทำให้เจ้าติดหนึ่งในสามอันดับแรก นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สูงเพียง
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ทำให้โหวอวี้ซูที่อยู่ข้างๆ ตกใจ มือที่จับตะเกียบจึงพลอยสั่นไปด้วยเสียงเคร้งดังขึ้น เป็นตะเกียบในมือของโหวอวี้ซูที่ร่วงลงพื้น จนเกิดเสียงดังกังวานขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของพ่อบ้านและต้วนจิ่นเจียงที่จ้องมองมา โหวอวี้ซูก็อยากจะหารอยร้าวบนพื้นแล้วมุดเข้าไปในนั้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขารู้สึกหวาดกลัวถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางของขุนนาง แต่ใครในใต้หล้าบ้างที่ไม่รู้จักความน่ากลัวของหน่วยบูรพา ผู้ที่ถูกจับกุมไปนั้นมีใครเคยกลับมาบ้าง?หน่วยบูรพาจับกุมต้วนจั่งเหมียนและส่งเขาเข้าคุกจริงๆ นี่ไม่ใช่คดีปกติ แต่เป็นเหตุการณ์ทางการเมือง มีคนกำลังมุ่งเป้ามาที่ต้วนจิ่นเจียง“หลานชาย...ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ…”แค่ได้ยินเสียงสายก็ทราบความนัย โหวอวี้ซูได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นมาทันที ประสานมือแล้วกล่าวว่า “อวี้ซูนึกขึ้นได้ว่า ท่านอาจารย์กำลังรอให้อวี้ซูกลับไปรายงาน เช่นนั้นข้าขอลาก่อน”พูดจบ โหวอวี้ซูก็จากไป ต้วนจิ่นเจียงที่ตอนนี้ตกอยู่ในอาการสับสน ยังจะมีแก่ใจอวดความหรูหราของตนกับโหวอวี้ซูต่อหรือ ดังนั้นเขาจึงโบกมือและปล่อยเขาไปรอจนโหวอวี้ซูจาก
หลังจากที่ต้วนจิ่นเจียงวิเคราะห์ พ่อบ้านก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที “นายท่าน ท่านหมายถึง...องค์รัชทายาทกำลังลงมือกับพวกเราหรือ!?”ต้วนจิ่นเจียงมีสีหน้าเคร่งเครียด และพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจนัก มันเป็นเพียงการเดาของข้า แต่การคาดเดานี้ อาจจะเป็นจริงได้...”“เจ้าไปเตรียมรถม้าก่อน ข้าจะไปที่จวนจ้าวสักครา...จากนั้น เจ้าก็คอยสืบข่าวต่อไป อย่างแรกคือค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นที่จุดพักแรมวันนี้ อย่างที่สองคือดูว่าวันนี้องค์รัชทายาทออกจากตำหนักบูรพาหรือไม่ หากมีข่าวใดๆ รีบรายงานข้าตอนกลับมาทันที”“บ่าวจะจัดการทันที”“รีบไป!” ……ตำหนักบูรพา พระที่นั่งสีเจิ้ง“ฝ่าบาท เพิ่งมีข่าวมาถึงว่า ต้วนจิ่นเจียงเดินทางไปที่จวนจ้าวแล้ว”เฉินทงยืนรายงานอย่างนอบน้อมอยู่กลางห้องโถงหลี่เฉินกำลังดูสาส์นกราบทูลข้อราชการของวันนี้ เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็จิบชาในมือแล้วพูดโดยไม่ยกเปลือกตาขึ้นว่า “ข้าทราบแล้ว”เมื่อมองดูสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือของเขา หลี่เฉินก็พูดด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “สาส์นกราบทูลฉบับนี้ เป็นของกวนเหยียนเทา ปลัดมณฑลเจียงเจ้อที่ยื่นมา เขากล่าวว่าการป้องกันทางชายฝั่งมณฑลเจียงเจ้อจำเป็
นั่นเป็นคําพูดที่ชาญฉลาดไม่เพียงแต่แสดงทัศนคติของตนเองเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้สถานการณ์สมบูรณ์แบบอีกด้วยหลี่เฉินยิ้มหลังจากได้ยินสิ่งนี้ แต่ในใจแทบจะให้คะแนนเฉินทงไม่ผ่านเลยเฉินทงแค่คิดมากเกินไปซานเป่ายังฉลาดกว่าเขาหากเป็นสถานการณ์เดียวกัน ถ้าเป็นซานเป่าตอบ เขาคงแสดงความปรารถนาอยากจะมีอำนาจอย่างเปิดเผยอย่างแน่นอนเนื่องจากเฉินทงไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นหลี่เฉินหรือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันผู้ก่อตั้งหน่วยบูรพา ซึ่งยังนอนอยู่บนแท่นมังกร โดยไม่อาจขยับตัวได้ในขณะนี้พวกเราไม่กลัวความทะเยอทะยานของคนที่อยู่ต่ำกว่า แม้กระทั่งยิ่งทะเยอทะยานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้นเพราะมีเพียงคนที่มีความทะเยอทะยานเท่านั้นที่จะคิดทำสิ่งต่างๆ เพื่อควบคุมมันมิฉะนั้นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะมอบอำนาจทั้งหมดของหน่วยบูรพาให้กับซานเป่าได้อย่างไร?“ข้าทราบแล้ว”หลี่เฉินไม่คิดที่จะชี้แนะเลยสักนิดเรื่องแบบนี้ เฉินทงต้องเข้าใจด้วยตัวเอง หากไม่เข้าใจ เขาจะเป็นเพียงผู้บัญชาการขององครักษ์เสื้อแพรไปตลอดชีวิต และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวหน้าได้จากทัศนคติที่สงบของหลี่เฉิน เฉินทงจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหลี่
“ใช่แล้ว นี่แหละ!”หลี่เฉินดีใจมากเวลานี้ ปริมานผลผลิตของจักรวรรดิต้าฉินโดยเฉลี่ยแล้วมีเพียงสองต้านต่อหมู่ เมื่อคำนวณสิ่งนี้ จะมีผลผลิตไม่เกิน 300 ชั่ง[footnoteRef:1] [1: 1 ชั่ง = ครึ่งกก.] เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าสังเวชเลยทีเดียวแต่ไม่มีทางเลือก ก่อนที่ปุ๋ยเคมีและเทคโนโลยีชลประทานจะก้าวหน้า ปริมานผลผลิตเช่นนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นขีดจำกัดโดยพื้นฐานตลอดสมัยศักดินา โดยพื้นฐานแล้วผลผลิตธัญพืชต่อหมู่ไม่ได้มีความผันผวนมากนัก เพราะทั้งหมดนี้ปลูกด้วยกำลังคน และเมล็ดพืชก็มีทั้งดีและไม่ดี การเก็บเกี่ยวจะเป็นเช่นไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการอวยพรของเหล่าทวยเทพ “สิ่งนี้เรียกว่ามันเทศ มันสามารถใช้เป็นอาหารหลักแทนธัญพืชได้ มันมีประโยชน์มาก เพียงแค่ล้างและปอกเปลือก ก็สามารถทานดิบๆ ได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถนำไปปรุงสุกเพื่อรับประทานได้อีกด้วย หรือถ้าหากตากแห้งก็สามารถเก็บไว้ได้นานเช่นกัน หากไม่ได้ผล หลังจากบดเป็นผงแล้ว ก็สามารถเปลี่ยนเป็นอาหารได้หลากหลาย”หลี่เฉินหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมา นี่คือกุญแจสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนในต้าฉิน“สิ่งสำคัญที่สุดคือ เพียงแค่ปลูกสิ่งนี้และดูแลอย่างเ
หลี่จวิ้นเจ๋อสิ้นชีวิตแล้ว เหวินอ๋องย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆในฐานะองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา หลี่เฉินย่อมหนีไม่พ้นที่จะเกี่ยวข้อง แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ได้สำคัญอะไรอย่างไรเสีย การปะทะกันระหว่างเขากับเหวินอ๋องก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคตสิ่งสำคัญคือ เขาทำให้จ้าวเสวียนจีต้องลงมือเองกับมือ ดังนั้น เหวินอ๋องและจ้าวเสวียนจียังจะร่วมมือกันได้อีกหรือ?การล้างแค้นให้บุตรนั้น เป็นความแค้นที่ไม่มีวันให้อภัยได้สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือ การขยี้จ้าวเสวียนจีและเหวินอ๋องให้พวกเขาต้องปะทะกันโดยตรงจ้าวเสวียนจีที่ยืนมองหลี่เฉินอยู่ตรงพระที่นั่ง รู้ดีถึงความตั้งใจของหลี่เฉินแต่ทว่าจ้าวเสวียนจีไม่มีทางเลือกอื่น“กระหม่อมรับพระบัญชา”จ้าวเสวียนจีพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ รับหน้าที่ที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ หลี่เฉินโบกมือกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เลิกประชุมได้”กล่าวจบ หลี่เฉินก็เดินนำออกจากพระที่นั่งไท่เหอทันทีคนที่สองที่ลุกขึ้นคือ จ้าวชิงหลานนางมองจ้าวเสวียนจีด้วยสายตาซับซ้อน แต่เนื่องจากคนมากและสถานการณ์ยังตึงเครียด บิดาและบุตรจึงไม่ได้พูดอะไรกัน ทำได้เพียงเดินออกจากพระที่นั่งไท่เหอไ
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ ล้วนเป็นไปอย่างมีเหตุผลและแฝงไปด้วยความแปลกประหลาดการประชุมเช้ายังไม่เสร็จสิ้น ทุกคนต่างกลับไปยังพระที่นั่งไท่เหอ และดำเนินการประชุมเช้าต่อไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพิ่มเติม มีเพียงบทสนทนาระหว่างหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจีหลี่เฉินเสนอรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้แก่ซูผิงเป่ยและเหล่าทหารที่มีความดีความชอบได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่งหรือมอบรางวัลล้วนผ่านไปโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆแต่จ้าวเสวียนจีก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่จะยอมอ่อนข้อทั้งหมด เขายังแสดงความเห็นคัดค้านต่อประเด็นที่หลี่เฉินเสนอในบางหัวข้อหลี่เฉินเองก็ไม่ได้ยืนกรานในเรื่องนั้นผลสรุปของการประชุมเช้า หลี่เฉินผ่านมติได้สามในห้าข้อ อีกสองข้อที่เกี่ยวกับการโยกย้ายตำแหน่งบุคคลสำคัญถูกจ้าวเสวียนจีปฏิเสธจนกระทั่งใกล้เที่ยงวัน หลี่เฉินกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย“รัฐทายาทเหวินอ๋อง หลี่จวิ้นเจ๋อ นำคนบุกรุกพระที่นั่งไท่เหอ แม้เขาจะถูกตัดสินโทษประหารแล้ว แต่เรื่องนี้ย่อมมีการชี้แนะของเหวินอ๋องอยู่เบื้องหลังแน่นอน”คำพูดนี้ทำให้ขุนนางที่เพิ่งสงบจิตใจลง ต้องกลับมารู้สึกตึงเครียดอีกครั้งเหวินอ๋อง ผู้ซึ่ง
หลี่จวิ้นเจ๋อสะดุ้งเฮือก ราวกับเพิ่งได้สติ เขามองหลี่เฉินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในตอนนี้ เขารู้สึกจริงๆ ว่าหลี่เฉินสามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อไม่เคยคาดคิดเลยว่าชีวิตของตนจะจบลงในที่แห่งนี้ หลี่จวิ้นเจ๋อทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดลง เขาทรุดเข่าลงกับพื้นและร้องไห้ขอชีวิต “ข้าถูกหลอกจนเสียสติ ขอองค์ชายโปรดทรงเมตตา โปรดทรงเมตตา!”แม้ว่าบิดาของเขาเหวินอ๋อง จะมีทหารฝีมือดีอยู่ในกำมือมากมาย และมีความทะเยอทะยานที่จะยึดอำนาจ แต่ในตอนนี้มันไกลเกินกว่าที่จะมาช่วยเขาได้ ทว่าหลี่เฉินผู้ที่อยู่ตรงหน้าสามารถคร่าชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ ดังนั้น เพื่อที่จะมีชีวิตรอด เขายอมทำได้ทุกอย่าง“ถูกหลอกจนเสียสติ?”หลี่เฉินหัวเราะเยาะเบาๆ หรี่ตาลงมองหลี่จวิ้นเจ๋อ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกมา บอกชื่อคนที่หลอกเจ้ามา”“ข้าอยู่ที่นี่ ขุนนางทั้งหลายก็อยู่ที่นี่ หากเจ้าบอกชื่อมา ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า”“แต่เจ้าควรคิดให้ดี หากเจ้าเปิดเผยตัวผู้บงการ บางทีเจ้าอาจจะรอดชีวิต แต่หากไม่พูด วันนี้เจ้าได้ตายแน่!”ภายใต้การข่มขู่ของหลี่เฉิน หลี่จวิ้นเจ๋อกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พลางหันไปมองจ้าวเสวียนจีโดยไม่รู้ตัวในตอ
เมื่อมองไปยังทหารองครักษ์หลวงจำนวนมากที่รีบเร่งเข้ามา และยังมีทหารฝีมือดีจากหน่วยบูรพาที่ถูกเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วน หลี่เฉินรู้ดีว่าได้ข้อสรุปทุกอย่างแล้วเขาหันไปมองหลี่จวิ้นเจ๋อ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "ดูเหมือนว่าเจ้าจะหมดโอกาสแล้ว"หลี่จวิ้นเจ๋อหายใจหนักๆ อย่างยากลำบาก ก่อนพูดว่า "ปล่อยข้าไป ข้าจะหายไปจากสายตาท่านเดี๋ยวนี้"ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้ายและความบ้าคลั่ง พร้อมทั้งกล่าวข่มขู่ว่า "หากท่านฆ่าข้า บิดาของข้าจะไม่มีวันปล่อยท่านไปง่ายๆ แน่นอน"“ท่าทางของเจ้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองในตอนนี้ ต่างจากสภาพอ้อนวอนขอชีวิตก่อนหน้านี้จริงๆ”หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนยกเท้าถีบหลี่จวิ้นเจ๋อจนล้มคว่ำไปกับพื้นหลี่จวิ้นเจ๋อที่ถูกกระแทกเข้าที่ท้อง กุมท้องพลางคุกเข่าลงกับพื้น หน้าผากแตะกับพื้นหิน ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับอวัยวะภายในถูกบดขยี้เส้นเลือดที่ลำคอโป่งขึ้นอย่างชัดเจนเพราะความเจ็บปวด หลี่จวิ้นเจ๋อฝืนเงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉิน พร้อมกัดฟันกล่าวว่า “การฆ่าข้าอาจช่วยให้ท่านได้ระบายความโกรธชั่วครู่ แต่จะนำพาความยุ่งยากไม่รู้จบมาให้ท่าน หา
หลี่จวิ้นเจ๋อในตอนนี้ ใบหน้าบวมเป่งจนเหมือนหัวสุกร เลือด น้ำตา และน้ำมูกไหลปะปนกันจนเลอะเทอะไม่น่าดูยิ่งไปกว่านั้น สภาพสติเลือนลางยังพร่ำร้องขอความเมตตาอย่างน่าสงสาร ชวนให้ผู้เห็นต้องสะเทือนใจเมื่อเปรียบเทียบกับหลี่เฉินที่ยืนอยู่ข้างกันในฉลองพระองค์มังกรสีแดงสด ใบหน้าคมคายดั่งหยก ดวงตาประกายดั่งดวงดาว แสดงออกถึงพลังอำนาจที่พุ่งทะยานราวกับมังกรกำลังทะยานฟ้า ความแตกต่างช่างเด่นชัดราวกับคนหนึ่งจมปลักอยู่ในโคลนตม ส่วนอีกคนยืนอยู่บนเก้าแดนสวรรค์แม้แต่ผู้ที่ภักดีตาบอดและโง่เขลาที่สุด ก็ไม่อาจกล่าวคำใดที่เปรียบหลี่จวิ้นเจ๋อให้เทียบเท่าหลี่เฉินได้เมื่อถูกหลี่เฉินยกตัวขึ้นและบีบคาง หลี่จวิ้นเจ๋อดูเหมือนจะเริ่มได้สติกลับมาบ้างแสงแดดอันเจิดจ้าที่สาดลงบนใบหน้าของเขา ช่วยให้เขามีสติแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อยเขาพยายามลืมตาที่บวมช้ำอย่างยากลำบาก มองไปยังกลุ่มคนที่บิดาของเขาส่งมาช่วยเหลือ พร้อมกับอ้าปากพูดอย่างลำบากว่า “ชะ...ช่วย...ช่วยข้าด้วย”เสียงร้องขอความช่วยเหลือของหลี่จวิ้นเจ๋อ ทำให้บางคนเริ่มได้สติกลับคืนมาในที่สุดพวกเขาพลันตระหนักได้ว่า ตนมาถึงจุดนี้แล้ว สังหารหลี่เฉินก็ตาย ไม่สังหารก
"พอแล้ว...ข้าขอร้องล่ะ อย่าตบข้าเลย..."หลี่จวิ้นเจ๋อที่สมองมึนงง สายตาพร่ามัวเห็นเป็นดวงดาวสีทองระยิบระยับ สลับกับความมืดมัวที่ค่อยๆ เข้าครอบงำ รู้สึกว่าตนกำลังจะหมดสติลงศักดิ์ศรีหรือเล่ห์เหลี่ยมที่เคยมี บัดนี้เขาไม่สนใจอีกต่อไป มีเพียงอย่างเดียวที่เขาต้องการ คือขอให้หลี่เฉินหยุดตบเขาเสียทีเหล่าลูกน้องผู้มีอาวุธครบมือกว่าร้อยคน กลับไม่มีใครกล้าก้าวออกมาขัดขวาง พวกเขาทำได้เพียงมองดูหลี่เฉินฟาดรัฐทายาทของพวกเขาดุจหลานชายทีละฝ่ามือจนมาถึงตรงหน้าพวกเขาองค์…องค์รัชทายาทผู้นี้ ไม่กลัวตายจริงๆ!?ไม่เพียงแต่คนกว่าร้อยคนนั้น แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ที่อยู่ที่นั่นต่างก็หวาดกลัวต่อความโหดเหี้ยมของหลี่เฉินจนตัวสั่นไม่มีใครคาดคิดว่าองค์รัชทายาทจะกล้าหาญและดุดันถึงเพียงนี้หลี่จวิ้นเจ๋อที่ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป รู้สึกว่าหากเขาถูกตีต่อไป เขาคงตายคามือหลี่เฉินแน่นอนเขาทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นกะทันหัน กอดขาหลี่เฉินไว้พลางร้องไห้โฮ "องค์รัชทายาท ได้โปรด อย่าตีข้าอีกเลย ข้าจะตายอยู่แล้ว!"หลี่เฉินลูบฝ่ามือที่ชาดิกของตน ก่อนจะก้มตัวลงเช็ดเลือดที่เปื้อนบนมือกับหัวของหลี่จวิ้นเจ๋ออย่างไม
รัฐทายาทเหวินอ๋องหลี่จวิ้นเจ๋อ ผู้ซึ่งปกติมักวางตัวเรียบง่าย สุภาพอ่อนโยนในสายตาผู้คน บัดนี้กลับถูกหลี่เฉินทรมานจนเกือบเสียสติ เหล่าผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างพากันสะท้านสะเทือนใจอย่างยิ่งเสียงกรีดร้องที่แหลมคมดั่งจะทะลุเมฆาทำให้แก้วหูของผู้คนเจ็บปวดเหล่าขุนนางราชวงศ์ที่อยู่ที่นั่น ต่างรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอโดยไม่รู้ตัว สายตาหันไปมองหญิงสาวผู้มากับแสงแห่งคมดาบหญิงสาวในชุดขาวบริสุทธิ์ พริ้วไหวดุจดอกบัวหิมะบนยอดเขาเทียนซาน งดงามบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด จนแทบไม่เหมือนมนุษย์นางคล้ายดั่งเซียนที่ถูกเนรเทศจากสวรรค์ลงมาจุติยังปฐพีแต่เซียนผู้นั้น กลับถือดาบยาวเย็นเฉียบที่ยังมีเลือดหยดลงมาไว้ในมือสตรีผู้เลอโฉมเช่นนี้ควรคู่กับบทกวี สุรา และภาพวาดอันงดงาม แต่ดาบอันแฝงด้วยความอำมหิตและคราบโลหิตในมือนาง กลับแต่งแต้มความงดงามให้กลายเป็นสีแดงแห่งความสยดสยองในสายตาทุกคนเสียงดังปึงคือ เสียงร่างของชายกำยำที่ไร้ศีรษะล้มลงกระแทกพื้นเลือดสดไหลรินรวมกันเป็นแอ่งโลหิต ก่อนจะแผ่ซ่านไปตามพื้นที่ลาดเอียง แม้ว่าลานกว้างเบื้องหน้าพระที่นั่งไท่เหอจะกว้างขวางและมีอากาศถ่ายเทเพียงใด แต่กลิ่นคาวเลือดยังคงเล
ชายกำยำสูดลมหายใจลึก ก่อนกัดฟันกล่าวว่า "พวกเราเพียงต้องการปกป้องรัฐทายาท"แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ความดุดันของทหารกว่าร้อยนายกลับถูกคำถามเพียงสองข้อของหลี่เฉินกดดันจนแทบหมดสิ้นฉากนี้ ทำให้จ้าวเสวียนจีที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลังเงียบๆ ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินจะกล้าเช่นนี้ และทหารที่เหวินอ๋องส่งมาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นนักรบผู้ไม่กลัวตาย กลับแสดงท่าทีหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหลี่จวิ้นเจ๋อนั้น ไม่มีค่าให้พูดถึงการปรากฏตัวของเขาราวกับมีเพียงเพื่อให้ถูกหลี่เฉินเหยียบไว้ใต้เท้าเท่านั้น"เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?"คำถามที่สองของหลี่เฉินยังคงเปี่ยมด้วยความเย็นชาชายกำยำเหงื่อแตกพลั่กที่หน้าผาก มองไปยังรัฐทายาทที่อยู่ในสภาพเละเทะ ถูกซูเจิ้นถิงจับไว้ขยับตัวไม่ได้ ก่อนจะกัดฟันตอบ "ที่นี่คือพระที่นั่งไท่เหอ""ดีมาก"หลี่เฉินเอ่ยถามคำถามที่สาม "การนำกำลังทหารบุกเข้าพระที่นั่งไท่เหอ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด?"ชายกำยำเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นจ้องหลี่เฉินตาขวาง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงกร้าวว่า "อย่ามาเล่นคำหน่อยเลย จงปล่อยรัฐท
เมื่อหลี่จวิ้นเจ๋อเกือบจะถูกหลี่เฉินทรมานจนตาย ทหารภายนอกก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปพวกเขาเริ่มบุกโจมตีประตูสะพานจินสุ่ยประตูวังมีเพียงทหารรักษาการณ์ธรรมดาไม่กี่คน ซึ่งป้องกันไม่ได้มากนักโดยปกติแล้ว ไม่มีใครกล้าบุกโจมตีประตูวังของพระที่นั่งไท่เหอ เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการกบฏดังนั้น กำลังป้องกันที่นี่จึงมีไว้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์มากกว่าการใช้งานจริงเมื่อกองกำลังหลายร้อยนายที่เหวินอ๋องจัดเตรียมไว้อย่างดีพุ่งเข้ามา ประตูวังก็แตกในเวลาเพียงชั่วครู่ทหารที่ถูกเหวินอ๋องจัดมาให้ติดตามหลี่จวิ้นเจ๋อได้นั้น ย่อมเป็นทหารชั้นยอดในชั้นยอดอยู่แล้วคนกว่าร้อยชีวิตเหล่านี้เดินขบวนด้วยท่วงท่าสง่างาม เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ทุกย่างก้าวเป็นระเบียบราวกับมีรูปแบบยุทธวิธีแฝงอยู่ในนั้น!"คนพวกนี้กล้าบุกโจมตีพระที่นั่งไท่เหอ เท่ากับเป็นกบฏ!"ซูเจิ้นถิงเอ่ยเสียงดังก้อง "แม่ทัพทั้งหลายจะไม่ยอมให้การกบฏเช่นนี้เกิดขึ้น ขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหมด ตามข้ามา!"เมื่อกล่าวจบ ซูเจิ้นถิงก็เป็นคนแรกที่ก้าวออกมา และส่งสายตาให้ซูผิงเป่ยเพื่อบอกให้เขาหาโอกาสออกจากพระที่นั่งไท่เหอเพื่อเรียกกำลังเสริมในสถานการณ์