เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหลี่เฉินโผล่หน้าออกมาจากทางหน้าต่าง ต้วนจั่งเหมียนกัดฟันจนแทบแตก แม้จะพบกันเพียงแค่สองครั้ง แต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ต้วนจั่งเหมียนก็ถูกชายผู้นี้สั่งให้ลูกน้องโยนเขาออกไปเหมือนกับทิ้งขยะ ตอนนี้เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาพบกัน ทว่าตัวเขานั้นกลับกลายเป็นนักโทษไปแล้วแม้ต้วนจั่งเหมียนจะแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา แต่หน้าตาของเขาก็ถูกทำลายจนยับเยินไปแล้ว“เจ้าเป็นใคร!”ต้วนจั่งเหมียนในตอนนี้มีหรือจะมองไม่ออกว่าการที่ซูผิงเป่ยปรากฏตัวที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับหลี่เฉินโดยตรง แต่เขาคิดจนหัวแทบแตกก็ยังนึกไม่ออกว่า ตัวตนของหลี่เฉินเป็นใครกันแน่ ถึงได้ทำให้ซูผิงเป่ยคอยปรนนิบัติรับใช้เช่นนี้ได้หลี่เฉินเหลือบมองต้วนจั่งเหมียนด้วยสายตาเนื่อยๆ เขาไม่สนใจจะพูดคุยกับคุณชายเสเพลพวกนี้หรอกขณะที่หลี่เฉินกำลังจะพูด เรียวแขนดุจรากบัวหิมะก็ยื่นออกมาจ่อที่ปากของเขา ในนิ้วกลมมนนั้นถือองุ่นที่ปอกเปลือกแล้วไว้ลูกหนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคน หลี่เฉินก็เปิดปากของเขาและกินองุ่นที่ถูกป้อนมาฉากนี้ ทำให้ต้วนจั่งเหมียนอิจฉาจนแทบคลั่งเขารู้ว่า ห้องนั้นคือห้องของจินเสวี่ยยวน องค์หญิง
จินเสวี่ยยวนไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลี่เฉินเลยแต่นางรับรู้โดยสัญชาตญาณว่า หลี่เฉินกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ถ้าตะพาบน้อยคือต้วนจั่งเหมียน แล้วตะพาบแก่คือใครล่ะ?ต้วนจิ่นเจียง?ขุนนางคนสำคัญของสำนักราชเลขาปัจจุบัน มหาอำมาตย์เหวินเก๋อ ต้วนจิ่นเจียง?ความคิดนี้ทำให้จินเสวี่ยยวนตกใจนางมองไปที่หลี่เฉินด้วยความหวาดกลัว และอุทานอย่างตกใจว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลังจากปิดหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นมาก หลี่เฉินเอื้อมมือออกจากผ้าห่มแล้วดึงจินเสวี่ยยวนเข้ามา“อย่าคิดมากไปเลย เจ้าควรจะเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงในคืนพรุ่งนี้ และคิดหาวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาทช่วยพวกเจ้า แต่ก่อนหน้านั้น มาสนุกกับข้าอีกสักรอบจะดีกว่า”คำพูดของหลี่เฉินนั้นฟังดูเหมือนลูกค้าที่กำลังหยอกล้อสตรีในหอโคมเขียวหรือซ่องทำให้ศักดิ์ศรีของจินเสวี่ยยวนเหมือนถูกโจมตีอย่างหนักนางพยายามดิ้นหนี ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“ปล่อยข้านะ ไอ้ชาติชั่ว!”“หากบุรุษในใต้หล้าทำตัวเป็นปราชญ์เมธีที่ไม่ใกล้ชิดกับสตรี คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความสูญเสียที่สุดก็คือบุรุษนั่นแหละ หรือเจ้า สตรีเช่นเจ้าที่สามารถทำให้ผู้ชายจ
คำพูดของซูผิงเป่ย ทำให้หลี่เฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ซูผิงเป่ยต้องรอเก้อ“เอาล่ะ ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามนั้นเถอะ”หลี่เฉินมุ่งหน้าออกจากจุดพักแรม เขาเอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “แต่วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก มีหลายสิ่งที่ข้าไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งหมด จึงปล่อยให้เจ้าลงมืออย่างอิสระ ตรรกะความเข้าใจของเจ้าก็ไม่เลว ถือว่ามีไหวพริบเลยทีเดียว”ซูผิงเป่ยยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที“ทั้งหมดนี้ต้องขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมเพียงทำตามขั้นตอนเท่านั้น”“สิ่งที่เจ้าพูด นับว่าต่ำกว่ามาตรฐาน”หลี่เฉินเหลือบมองซูผิงเป่ยแล้วพูดว่า “หากคนที่ข้าใช้งาน รู้แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าใช้งานคนผิดอย่างนั้นหรือ?”ทันใดนั้นซูผิงเป่ยก็ตื่นตระหนกขึ้นมา และไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี แต่หลี่เฉินก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เอาล่ะ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง อย่ากังวลไปนักเลย”หลี่เฉินส่ายหน้า เมื่อสถานะสูงขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลเลยหากจะบอกว่ายิ่งสูงยิ่งโดดเดี่ยว คำพูดธรรมดาบางคำ แต่คนด้านล่างกลับครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเข้าใจมันเมื่อเดินออกจากประตูจุดพักแรม หลี
“อืม”ต้วนจิ่นเจียงครางรับในจมูกเขารับผ้าร้อนที่สาวใช้ส่งมาให้เช็ดมือแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นในจวนบ้าง?”พ่อบ้านรีบตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าเมื่อช่วงบ่ายนี้ คุณชายกลับมาเรียกผู้คุ้มกันยี่สิบกว่าออกไป ไม่รู้ว่าออกไปทำสิ่งใด”ใบหน้าของต้วนจิ่นเจียงมืดลง และตะคอกอย่างเย็นชาว่า “เขายังจะทำสิ่งใดได้อีก? นอกจากทะเลาะเบาะแว้งเรื่องผู้หญิงเพราะอิจฉาคนอื่น ข้าเคยบอกเขามาหลายครั้งแล้วว่า สถานการณ์เมืองหลวงในช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นวายและไม่สงบ แม้แต่ลูกชายของจ้าวเสวียนจีก็ยังทำตัวซื่อสัตย์ขึ้นไม่น้อย แค่ให้เขาหยุดหาเรื่องสักพัก เจ้าลูกทรพีนี่ก็แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด”เมื่อเห็นนายท่านไม่มีความสุข พ่อบ้านก็รีบพูดว่า “นายท่าน คุณชายอายุยังน้อย การทำเรื่องเหลวไหลไปบ้างจึงเป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณชายกลับมา ท่านก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากับเขา อย่าได้โมโหไปเลย มันไม่คุ้มที่จะโกรธจนทำร้ายตัวเองเช่นนี้”“โกรธเหรอ?”ต้วนจิ่นเจียงโยนผ้าเช็ดมือลงในอ่างน้ำ และเดินเข้าไปในจวนพลางพูดว่า “ถ้าข้าโกรธเจ้าลูกทรพีนี่จริงๆ ข้าคงโกรธจนตายไปนานแล้ว”พ่อบ้านกลอกตาแล้วพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า
หลังจากถูกหลี่เฉินโจมตีในวันนั้น แม้ว่าโหวอวี้ซูยังไม่รู้ว่าหลี่เฉินเป็นใครแต่ด้วยคำพูดของซูจิ่นพ่าที่ดังก้องอยู่ในหู โหวอวี้ซูจึงรู้ว่า ถ้าเขาต้องการจะเอาชนะหลี่เฉินที่ไม่ทราบที่มาที่ไป และทำให้ซูจิ่นพ่าผู้ซึ่งมีสายตาที่สูงส่งหันมามองตัวเอง เช่นนั้นเขาจำเป็นจะต้องเข้าสู่ระดับการสอบหน้าพระที่นั่งให้ได้ นี่คือความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของเขา ด้วยคำแนะนำของท่านจิ้งจือ บุคคลสำคัญในแวดวงวรรณกรรม และตราบใดที่เขาได้รับการสนับสนุนจากต้วนจิ่นเจียง เมื่อตนเองเข้าสู่เส้นทางขุนนางก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับซูจิ่นพ่า... คิดได้ดังนั้น ดวงตาของโหวอวี้ซูก็เต็มไปด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยาน“ไม่เลว”หลังจากได้เห็นสายตาของโหวอวี้ซู ต้วนจิ่นเจียงก็ลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย การมีความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี หากไม่มีความทะเยอทะยาน แม้ว่าเจ้าจะเริ่มต้นอาชีพขุนนาง แต่ก็ไม่สามารถไปได้ไกล ข้ารับปากเจ้าว่า ตราบใดที่เจ้าสามารถติดสิบอันแรกของการสอบขุนนาง และมีคุณสมบัติได้สอบหน้าพระที่นั่ง ข้าจะทำให้เจ้าติดหนึ่งในสามอันดับแรก นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สูงเพียง
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ทำให้โหวอวี้ซูที่อยู่ข้างๆ ตกใจ มือที่จับตะเกียบจึงพลอยสั่นไปด้วยเสียงเคร้งดังขึ้น เป็นตะเกียบในมือของโหวอวี้ซูที่ร่วงลงพื้น จนเกิดเสียงดังกังวานขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของพ่อบ้านและต้วนจิ่นเจียงที่จ้องมองมา โหวอวี้ซูก็อยากจะหารอยร้าวบนพื้นแล้วมุดเข้าไปในนั้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขารู้สึกหวาดกลัวถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางของขุนนาง แต่ใครในใต้หล้าบ้างที่ไม่รู้จักความน่ากลัวของหน่วยบูรพา ผู้ที่ถูกจับกุมไปนั้นมีใครเคยกลับมาบ้าง?หน่วยบูรพาจับกุมต้วนจั่งเหมียนและส่งเขาเข้าคุกจริงๆ นี่ไม่ใช่คดีปกติ แต่เป็นเหตุการณ์ทางการเมือง มีคนกำลังมุ่งเป้ามาที่ต้วนจิ่นเจียง“หลานชาย...ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ…”แค่ได้ยินเสียงสายก็ทราบความนัย โหวอวี้ซูได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นมาทันที ประสานมือแล้วกล่าวว่า “อวี้ซูนึกขึ้นได้ว่า ท่านอาจารย์กำลังรอให้อวี้ซูกลับไปรายงาน เช่นนั้นข้าขอลาก่อน”พูดจบ โหวอวี้ซูก็จากไป ต้วนจิ่นเจียงที่ตอนนี้ตกอยู่ในอาการสับสน ยังจะมีแก่ใจอวดความหรูหราของตนกับโหวอวี้ซูต่อหรือ ดังนั้นเขาจึงโบกมือและปล่อยเขาไปรอจนโหวอวี้ซูจาก
หลังจากที่ต้วนจิ่นเจียงวิเคราะห์ พ่อบ้านก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที “นายท่าน ท่านหมายถึง...องค์รัชทายาทกำลังลงมือกับพวกเราหรือ!?”ต้วนจิ่นเจียงมีสีหน้าเคร่งเครียด และพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจนัก มันเป็นเพียงการเดาของข้า แต่การคาดเดานี้ อาจจะเป็นจริงได้...”“เจ้าไปเตรียมรถม้าก่อน ข้าจะไปที่จวนจ้าวสักครา...จากนั้น เจ้าก็คอยสืบข่าวต่อไป อย่างแรกคือค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นที่จุดพักแรมวันนี้ อย่างที่สองคือดูว่าวันนี้องค์รัชทายาทออกจากตำหนักบูรพาหรือไม่ หากมีข่าวใดๆ รีบรายงานข้าตอนกลับมาทันที”“บ่าวจะจัดการทันที”“รีบไป!” ……ตำหนักบูรพา พระที่นั่งสีเจิ้ง“ฝ่าบาท เพิ่งมีข่าวมาถึงว่า ต้วนจิ่นเจียงเดินทางไปที่จวนจ้าวแล้ว”เฉินทงยืนรายงานอย่างนอบน้อมอยู่กลางห้องโถงหลี่เฉินกำลังดูสาส์นกราบทูลข้อราชการของวันนี้ เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็จิบชาในมือแล้วพูดโดยไม่ยกเปลือกตาขึ้นว่า “ข้าทราบแล้ว”เมื่อมองดูสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือของเขา หลี่เฉินก็พูดด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “สาส์นกราบทูลฉบับนี้ เป็นของกวนเหยียนเทา ปลัดมณฑลเจียงเจ้อที่ยื่นมา เขากล่าวว่าการป้องกันทางชายฝั่งมณฑลเจียงเจ้อจำเป็
นั่นเป็นคําพูดที่ชาญฉลาดไม่เพียงแต่แสดงทัศนคติของตนเองเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้สถานการณ์สมบูรณ์แบบอีกด้วยหลี่เฉินยิ้มหลังจากได้ยินสิ่งนี้ แต่ในใจแทบจะให้คะแนนเฉินทงไม่ผ่านเลยเฉินทงแค่คิดมากเกินไปซานเป่ายังฉลาดกว่าเขาหากเป็นสถานการณ์เดียวกัน ถ้าเป็นซานเป่าตอบ เขาคงแสดงความปรารถนาอยากจะมีอำนาจอย่างเปิดเผยอย่างแน่นอนเนื่องจากเฉินทงไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นหลี่เฉินหรือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันผู้ก่อตั้งหน่วยบูรพา ซึ่งยังนอนอยู่บนแท่นมังกร โดยไม่อาจขยับตัวได้ในขณะนี้พวกเราไม่กลัวความทะเยอทะยานของคนที่อยู่ต่ำกว่า แม้กระทั่งยิ่งทะเยอทะยานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้นเพราะมีเพียงคนที่มีความทะเยอทะยานเท่านั้นที่จะคิดทำสิ่งต่างๆ เพื่อควบคุมมันมิฉะนั้นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะมอบอำนาจทั้งหมดของหน่วยบูรพาให้กับซานเป่าได้อย่างไร?“ข้าทราบแล้ว”หลี่เฉินไม่คิดที่จะชี้แนะเลยสักนิดเรื่องแบบนี้ เฉินทงต้องเข้าใจด้วยตัวเอง หากไม่เข้าใจ เขาจะเป็นเพียงผู้บัญชาการขององครักษ์เสื้อแพรไปตลอดชีวิต และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวหน้าได้จากทัศนคติที่สงบของหลี่เฉิน เฉินทงจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหลี่