“เจ้าพูดเช่นนี้ หากข้าไม่ให้รางวัลเจ้าจริงๆ เจ้าจะไม่เสียใจทีหลังหรือ?” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดีหลิวซือฉุนพูดด้วยความเคารพ “ไม่เสียใจในภายหลังเพคะ”หลังจากมองหลิวซือฉุนอย่างลึกซึ้งแล้ว หลี่เฉินจึงพูดว่า “ในอนาคต เมื่อสิ่งนี้ได้รับการส่งเสริมเป็นวงกว้าง ข้าจะแบ่งกำไรให้ตระกูลหลิวหนึ่งส่วน”คำสัญญานี้มีค่ามากกว่าทองหนึ่งพันชั่งแม้แต่คนโง่ก็รู้ว่า ถ้ามันเทศนี้ให้ผลผลิตสูงจริงๆ แม้กำไรหนึ่งส่วนจะฟังดูน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะฆ่าคนได้ใบหน้างามของหลิวซือฉุนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง นางโค้งตัวไปข้างหน้าและพูดว่า “ขอบพระทัยองค์รัชทายาท!”“แค่นี้เองหรือ?”หลี่เฉินยกมือเชยคางของหลิวซือฉุนขึ้น เพื่อให้นางเงยหน้าสบตาเขา จากนั้นก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ไม่มีอย่างอื่นเลยหรือ?”หลิวซือฉุนใจสั่น และก้าวถอยหลังเพื่อหลีกเลี่ยงมือของหลี่เฉินตามสัญชาตญาณ นางก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันจะกลับไปสั่งคนให้รวบรวมมันเทศ หากฝ่าบาทไม่มีธุระอื่นใดแล้ว หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”หลี่เฉินหรี่ตาเล็กน้อยเขาโลภเสน่ห์สาวใหญ่ของหลิวซือฉุนมาเป็นเวลานานแล้วสตรีที่เหมือนท้อสุกประเภทนี้ เต็มไปด้วยออร่าอันแ
“พี่รอง วันนี้แตกต่างจากในอดีต พวกเรามีเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงต้องคิดคำนวนอย่างระมัดระวังเป็นธรรมดา” หลิวซือฉุนขมวดคิ้วเล็กน้อย และอธิบายอย่างอดทนคำพูดนี้หากไม่พูดออกมาน่าจะดีกว่า เพราะทันทีที่พูดออกมา ชายหนุ่มก็โกรธจัดทันที“เจ้ายังกล้าจะพูดอีกเหรอ?”“เมื่อก่อนครอบครัวหลิวของพวกเราใช้ชีวิตแบบไหน แล้วตอนนี้พวกเราใช้ชีวิตแบบไหน?”“เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าชื่นชอบขวดยานัตถุ์เครื่องเครือบอันหนึ่งแต่กลับไม่มีเงินซื้อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าของร้านมองข้าด้วยสายตาแบบไหน? เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เพียงแค่ข้ามาถึง พวกเขาก็กระดิกหางเข้ามาประจบข้าเหมือนสุนัข แต่มันเป็นเพราะความคิดโง่ๆ ของเจ้า ตอนนี้ครอบครัวของเราจึงยากจน ไม่ว่าข้าจะไปที่ไหนก็ถูกผู้คนมองอย่างดูแคลน!”ชายหนุ่มคนนั้นยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ยิ่งพูดยิ่งเสียงดังคนในตระกูลที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งก็ดึงแขนเสื้อของเขา พลางกระซิบพูดว่า “นายท่านรอง หยุดพูดได้แล้ว”แต่ชายหนุ่มคนนั้นก็สะบัดมือแล้วกล่าวว่า “เจ้าจะหยุดข้าทำไม? ข้าเก็บคำพูดเหล่านี้ไว้นานแล้ว และอยากจะพูดมันมาตั้งนาน”“ให้เขาพูด!”หลิวซือฉุนตะโกน ดวงตาเมล็ดซิ่งพลันเบิกกว้าง นางนั่งอย
ประโยคนี้ หลิวซือฉุนไม่ได้พูดเร็วเลย ระดับน้ำเสียงก็ไม่ได้สูงด้วย แต่ในหูของทุกคนตระกูลหลิว กลับได้ยินเสียงดังฟังชัดประหนึ่งฟ้าร้องพวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่สมาชิกตระกูลเฉินและตระกูลหูมากกว่าร้อยคน ยืนเรียงแถวเพื่อถูกตัดหัวหน้าตลาดทีละคน ในเวลานั้น ผู้คนรอบข้างต่างปรบมือและโห่ร้องเสียงดังเมื่อเผชิญหน้ากับฉากนองเลือดนี้ ทว่าขนบนตัวพวกเขากลับลุกชัน เหงื่อเย็นๆ ก็ไหลอาบหน้า“พวกเจ้ายังมีหน้ามาด่าข้าลับหลังว่าไร้ยางอาย ที่ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลหลิวให้แก่องค์รัชทายาท ถึงขั้นไม่รู้จักอายที่ใส่พานยกถึงหน้าประตูบ้าน คำพูดไม่น่าฟังเหล่านั้นเจ้านึกว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”หลิวซือฉุนเยาะเย้ย “ข้าแค่ไม่สนใจเรื่องนี้จริงๆ แค่ตระกูลสามารถอยู่ต่อได้ ก็สามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง ในสายตาของข้า เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่ามานั่งโต้เถียงเรื่องงี่เง่ากับพวกเจ้า”ทั่วทั้งห้องพลันเงียบกริบคำพูดของหลิวซือฉุนแม้จะดูหยาบคาย แต่ทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นความจริงเพียงแต่ยังมีบางคนที่ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงที่ว่า โชคลาภของครอบครัวตกต่ำลงเมื่อเทียบกับอดีตเมื่อไม่มีใครพูด หลิว
ตบนี้ หลิวซือฉุนลงมือด้วยความโกรธจัดใบหน้าขาวผ่องของหลิวซือต๋าก็บวมแดงขึ้นมาทันที หลิวซือต๋าที่ถูกตบก็ตะลึงด้วยเช่นกัน เขายกมือกุมหน้า และมองหลิวซือฉุนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ใช้เวลาสักพักกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าตบข้า!? เจ้ากล้าตบข้า!? ข้าคือพี่รองของเจ้า นายท่านสองของตระกูลหลิว แต่เจ้ากลับกล้าตบข้า!? เจ้ายังมีลำดับชั้นผู้ใหญ่อยู่ในสายตาบ้างไหม!?”“อะไรที่เรียกว่าลำดับชั้นผู้ใหญ่?!”หลิวซือฉุนกัดฟันด้วยความโกรธ และกล่าวเสียงแหลมว่า “ข้าคือผู้รับผิดชอบตระกูล ถ้าพูดถึงลำดับชั้นแล้ว ข้าอยู่เหนือกว่าเจ้า แล้วมันผิดตรงไหนที่ข้าจะตบเจ้า?”“ในฐานะพี่รอง เจ้าทรยศน้องสาวของเจ้าเพื่อเงินเพียงสองพันตำลึง ข้าควรตบเจ้าไหม?”“ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลิว เจ้าร่วมมือกับคนนอกเพื่อจัดการกับผู้รับผิดชอบตระกูล เจ้าสมควรโดนตบไหม?”ใบหน้าของหลิวซือฉุนเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และยังพูดต่อว่า “ตบนี้ ยังเบาเกินไปด้วยซ้ำ!”“เข้ามา!”สิ้นเสียงของหลิวซือฉุน ประตูก็เปิดออก จากนั้นก็มีข้ารับใช้สองสามคนที่พอมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้างเดินเข้ามา ครอบครัวหลิวเป็นพ่อค้า จึงเลี่ยงไม
ทันทีที่เห็นเฉินทง หัวใจส่วนใหญ่ของหลิวซือฉุนก็กลับไปอยู่ในท้องนางรู้จักสถานะของเฉินทงดี และรู้ด้วยว่าเฉินทงเป็นคนสนิทของหลี่เฉิน ดังนั้นเมื่อเขามาที่นี่ เขาจะไม่วางแผนทำร้ายนางอย่างแน่นอน“รองผู้บัญชาการเฉิน”หลิวซือฉุนโค้งคำนับแบบตื้นๆเมื่อเฉินทงเห็นเช่นนั้นก็รีบหลีกทางในทันที ไม่กล้ารับการคารวะ“ผู้ดูแลหลิวเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องคารวะข้าก็ได้ ไม่ควร ไม่ควรเลย”เฉินทงประเมินว่าองค์รัชทายาทน่าจะสนใจหลิวซือฉุนมากหากสิ่งนี้เป็นความจริง หลิวซือฉุนอาจจะเป็นพระสนมในอนาคตขององค์รัชทายาทก็ได้ และหลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ นางก็จะได้เป็นสนมขั้นเฟย ต่อให้เขาจะถูกทุบตีจนตาย เขาก็ไม่กล้ารับการคารวะของหลิวซือฉุนหรอกความสุภาพของเฉินทง ทำให้หลิวซือฉุนสับสนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางแค่คิดว่ามันเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหลี่เฉิน ดังนั้นนางจึงพูดว่า “ไม่ทราบว่ารองผู้บัญชาการเฉินมาเยือนที่นี่ยามวิกาล มีสิ่งใดให้ข้าน้อยช่วยได้บ้าง?”เฉินทงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหลิวจริงๆ”ขณะที่พูด เฉินทงก็โบกมือ และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปพาตัวคนม
คำพูดของเฉินทง ทำให้ตระกูลหลิวรู้สึกตึงเครียดและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ใช้อำนาจในฐานะองค์รัชทายาทบังคับจำกัดการแต่งงานของหญิงชาวบ้านคนหนึ่งตระกูลหลิวเคยผ่านประสบการณ์มาด้วยตัวเองย่อมรู้ดีว่า แม้จะเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของพวกเขา แต่ถ้าหากเบื้องบนต้องการให้พวกเขาตาย ก็เพียงพูดออกมาแค่คำเดียว ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เลย แค่รองผู้บัญชาการเฉินแห่งองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับสองในหน่วยบูรพา ก็สามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการบีบมดให้ตาย“มีคำกล่าวว่าเมื่อหนึ่งคนบรรลุเต๋า ไก่สุนัขก็ขึ้นสวรรค์ ที่นี่ใครเป็นผู้บรรลุ ใครเป็นไก่สุนัขที่อาบแสงเพื่อขึ้นสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนล้วนมีสติปัญญา ควรจะตระหนักถึงมันได้”“เวลานี้ ผู้ดูแลหลิวกำลังทำงานเพื่อฝ่าบาท และเป็นงานที่สำคัญมาก ฝ่าบาททรงตรัสด้วยองค์เองว่า ไม่ชอบให้คนอื่นมาวุ่นวายกับธุระของตน รบกวนงานของผู้ดูแลหลิวก็เท่ากับรบกวนงานของพระองค์”“วันนี้ข้าจะมอบองครักษ์เสื้อแพรเพื่อเป็นการไว้หน้าผู้ดูแล
“ฝ่าบาท”หลี่เฉินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นจ้าวหรุ่ยถือชามซุปเดินเข้ามา“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว แม้จะยุ่งอยู่ราชกิจของประเทศ แต่ฝ่าบาทก็ควรให้ความสำคัญกับพระพลามัย ควรจะพักผ่อนให้เร็วขึ้นสักหน่อย”จ้าวหรุ่ยส่งชามซุปตรงหน้าให้กับหลี่เฉิน พลางกล่าวเสียงเบาว่า “นี่คือซ่งลู่เหอเถาที่หม่อมฉันตั้งใจต้มมาให้ฝ่าบาท มันเป็นประโยชน์ต่อชี่และสมองของพระองค์มากที่สุด ฝ่าบาททรงดื่มมันในขณะที่ยังร้อนๆ เถอะเพคะ”หลี่เฉินรับชามซุปมา และวางไว้ที่ด้านข้าง ก่อนกล่าวว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ?”จ้าวหรุ่ยกล่าวเสียงเบาว่า “วันนี้ได้พบท่านพ่อท่านแม่ ในใจก็รู้สึกขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกคิดว่าจะรอให้ฝ่าบาททรงพักผ่อนก่อนแล้วจึงกล่าวขอบพระทัย แต่หลังจากรออยู่นาน ฝ่าบาทก็ยังคงยุ่งอยู่ราชกิจ จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดู”“พูดเช่นนี้ ก็เป็นความผิดของข้าแล้ว”หลี่เฉินดึงจ้าวหรุ่ยเข้ามาในอ้อมแขน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วเจ้าวางแผนจะตอบแทนข้าอย่างไร?”จ้าวหรุ่ยหน้าแดงระเรื่อ ขณะที่กล่าวเสียงกระซิบว่า “ก็...ก็ซุปนั่นยังไงล่ะเพคะ?”“ไม่พอ”หลี่เฉินกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ข้าอ่านสาส์นกราบทูล
ทุกวันนี้สถานการณ์กำลังยากลำบาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เกิดขึ้นติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ชาวบ้านแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเก็บภาษีเลย ท้องพระคลังว่างเปล่า แต่ก็จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงราชสำนัก จึงยากจนข้นแค้นอย่างยิ่งราชสำนักยากจน เงินเดือนของขุนนางก็ยิ่งน้อยลงไปด้วยเมื่อก่อนจางเฮ่อจือเป็นหมอหลวงที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่หกคนหนึ่ง ตำแหน่งของเขาไม่ได้สูงมากนัก เงินเดือนของเขาก็ประมาณห้าหรือหกตำลึง ด้วยเงินแค่นี้ ก็พอฝืนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัวได้ แต่ถ้าอยากจะซื้อบ้านสักหลังในเมืองหลวงก็คงทำได้แค่ฝันก่อนหน้านี้หลี่เฉินตบรับรางวัลเป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง ซึ่งเพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวกินอยู่อย่างประหยัดไปได้หลายปี เมื่อรวมกับบ้านหลังนี้แล้ว มันก็เป็นรางวัลที่คนอื่นต้องอิจฉาหลี่เฉินยิ้มจางๆเมื่อหัวหน้าให้ผลประโยชน์กับลูกน้อง ปกติแล้วจะต้องทำในที่โล่ง เพื่อให้ลูกน้องรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณ ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะตระหนักถึงข้อดีในการทำงานให้กับตัวเองได้ได้อย่างไร?หลังจากที่จางเฮ่อจือจากไป หลี่เฉินก็ยืนขึ้นและเดินไปยังพระที่