ทันทีที่เห็นเฉินทง หัวใจส่วนใหญ่ของหลิวซือฉุนก็กลับไปอยู่ในท้องนางรู้จักสถานะของเฉินทงดี และรู้ด้วยว่าเฉินทงเป็นคนสนิทของหลี่เฉิน ดังนั้นเมื่อเขามาที่นี่ เขาจะไม่วางแผนทำร้ายนางอย่างแน่นอน“รองผู้บัญชาการเฉิน”หลิวซือฉุนโค้งคำนับแบบตื้นๆเมื่อเฉินทงเห็นเช่นนั้นก็รีบหลีกทางในทันที ไม่กล้ารับการคารวะ“ผู้ดูแลหลิวเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องคารวะข้าก็ได้ ไม่ควร ไม่ควรเลย”เฉินทงประเมินว่าองค์รัชทายาทน่าจะสนใจหลิวซือฉุนมากหากสิ่งนี้เป็นความจริง หลิวซือฉุนอาจจะเป็นพระสนมในอนาคตขององค์รัชทายาทก็ได้ และหลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ นางก็จะได้เป็นสนมขั้นเฟย ต่อให้เขาจะถูกทุบตีจนตาย เขาก็ไม่กล้ารับการคารวะของหลิวซือฉุนหรอกความสุภาพของเฉินทง ทำให้หลิวซือฉุนสับสนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางแค่คิดว่ามันเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหลี่เฉิน ดังนั้นนางจึงพูดว่า “ไม่ทราบว่ารองผู้บัญชาการเฉินมาเยือนที่นี่ยามวิกาล มีสิ่งใดให้ข้าน้อยช่วยได้บ้าง?”เฉินทงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหลิวจริงๆ”ขณะที่พูด เฉินทงก็โบกมือ และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปพาตัวคนม
คำพูดของเฉินทง ทำให้ตระกูลหลิวรู้สึกตึงเครียดและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ใช้อำนาจในฐานะองค์รัชทายาทบังคับจำกัดการแต่งงานของหญิงชาวบ้านคนหนึ่งตระกูลหลิวเคยผ่านประสบการณ์มาด้วยตัวเองย่อมรู้ดีว่า แม้จะเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของพวกเขา แต่ถ้าหากเบื้องบนต้องการให้พวกเขาตาย ก็เพียงพูดออกมาแค่คำเดียว ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เลย แค่รองผู้บัญชาการเฉินแห่งองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับสองในหน่วยบูรพา ก็สามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการบีบมดให้ตาย“มีคำกล่าวว่าเมื่อหนึ่งคนบรรลุเต๋า ไก่สุนัขก็ขึ้นสวรรค์ ที่นี่ใครเป็นผู้บรรลุ ใครเป็นไก่สุนัขที่อาบแสงเพื่อขึ้นสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนล้วนมีสติปัญญา ควรจะตระหนักถึงมันได้”“เวลานี้ ผู้ดูแลหลิวกำลังทำงานเพื่อฝ่าบาท และเป็นงานที่สำคัญมาก ฝ่าบาททรงตรัสด้วยองค์เองว่า ไม่ชอบให้คนอื่นมาวุ่นวายกับธุระของตน รบกวนงานของผู้ดูแลหลิวก็เท่ากับรบกวนงานของพระองค์”“วันนี้ข้าจะมอบองครักษ์เสื้อแพรเพื่อเป็นการไว้หน้าผู้ดูแล
“ฝ่าบาท”หลี่เฉินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นจ้าวหรุ่ยถือชามซุปเดินเข้ามา“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว แม้จะยุ่งอยู่ราชกิจของประเทศ แต่ฝ่าบาทก็ควรให้ความสำคัญกับพระพลามัย ควรจะพักผ่อนให้เร็วขึ้นสักหน่อย”จ้าวหรุ่ยส่งชามซุปตรงหน้าให้กับหลี่เฉิน พลางกล่าวเสียงเบาว่า “นี่คือซ่งลู่เหอเถาที่หม่อมฉันตั้งใจต้มมาให้ฝ่าบาท มันเป็นประโยชน์ต่อชี่และสมองของพระองค์มากที่สุด ฝ่าบาททรงดื่มมันในขณะที่ยังร้อนๆ เถอะเพคะ”หลี่เฉินรับชามซุปมา และวางไว้ที่ด้านข้าง ก่อนกล่าวว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ?”จ้าวหรุ่ยกล่าวเสียงเบาว่า “วันนี้ได้พบท่านพ่อท่านแม่ ในใจก็รู้สึกขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกคิดว่าจะรอให้ฝ่าบาททรงพักผ่อนก่อนแล้วจึงกล่าวขอบพระทัย แต่หลังจากรออยู่นาน ฝ่าบาทก็ยังคงยุ่งอยู่ราชกิจ จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดู”“พูดเช่นนี้ ก็เป็นความผิดของข้าแล้ว”หลี่เฉินดึงจ้าวหรุ่ยเข้ามาในอ้อมแขน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วเจ้าวางแผนจะตอบแทนข้าอย่างไร?”จ้าวหรุ่ยหน้าแดงระเรื่อ ขณะที่กล่าวเสียงกระซิบว่า “ก็...ก็ซุปนั่นยังไงล่ะเพคะ?”“ไม่พอ”หลี่เฉินกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ข้าอ่านสาส์นกราบทูล
ทุกวันนี้สถานการณ์กำลังยากลำบาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เกิดขึ้นติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ชาวบ้านแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเก็บภาษีเลย ท้องพระคลังว่างเปล่า แต่ก็จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงราชสำนัก จึงยากจนข้นแค้นอย่างยิ่งราชสำนักยากจน เงินเดือนของขุนนางก็ยิ่งน้อยลงไปด้วยเมื่อก่อนจางเฮ่อจือเป็นหมอหลวงที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่หกคนหนึ่ง ตำแหน่งของเขาไม่ได้สูงมากนัก เงินเดือนของเขาก็ประมาณห้าหรือหกตำลึง ด้วยเงินแค่นี้ ก็พอฝืนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัวได้ แต่ถ้าอยากจะซื้อบ้านสักหลังในเมืองหลวงก็คงทำได้แค่ฝันก่อนหน้านี้หลี่เฉินตบรับรางวัลเป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง ซึ่งเพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวกินอยู่อย่างประหยัดไปได้หลายปี เมื่อรวมกับบ้านหลังนี้แล้ว มันก็เป็นรางวัลที่คนอื่นต้องอิจฉาหลี่เฉินยิ้มจางๆเมื่อหัวหน้าให้ผลประโยชน์กับลูกน้อง ปกติแล้วจะต้องทำในที่โล่ง เพื่อให้ลูกน้องรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณ ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะตระหนักถึงข้อดีในการทำงานให้กับตัวเองได้ได้อย่างไร?หลังจากที่จางเฮ่อจือจากไป หลี่เฉินก็ยืนขึ้นและเดินไปยังพระที่
หลังจากบอกให้รอ หลี่เฉินก็ปล่อยให้ต้วนจิ่นเจียงยืนอยู่นอกตำหนักบูรพาจนถึงเที่ยงไม่มีใครมาแจ้ง จึงไม่มีข่าวว่าองค์รัชทายาทให้เขาเข้าพบหรือไม่ ดังนั้นต้วนจิ่นเจียงจึงไม่ได้จากไป แต่ยืนอยู่ที่นั่น ปล่อยให้เกล็ดหิมะร่วงลงมาใส่เดิมทีวันนี้หิมะไม่ได้ตกหนักมาก แต่หลังจากยืนอยู่ที่นั่นทั้งเช้า ต้วนจิ่นเจียงก็ดูเหมือนมนุษย์หิมะ คิ้วและผมของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งโชคดีที่ต้วนจิ่นเจียงมีประสบการณ์ทางการทหารเมื่อตอนที่ยังหนุ่ม ร่างกายของเขาจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงล้มคว่ำไปแล้วเป็นเช่นนี้จนถึงเที่ยง ตอนนั้นเองที่เฉินทงก็เดินออกมา ซึ่งต้วนจิ่นเจียงก็จวนจะพังทลายลงแล้ว“รองผู้บัญชาการเฉิน ฝ่าบาทตกลงที่จะพบข้าหรือไม่?”ต่อหน้าเฉินทง ต้วนจิ่นเจียงก็ลดท่าทางลง และประสานมือถามเฉินทงแสดงท่าทีสงบนิ่ง ไม่ประจบสอพลอหรือจงใจอวดเบ่ง เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ฝ่าบาทให้เจ้าเข้าไป”“ดี”น้ำเสียงของต้วนจิ่นเจียงฟังไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธเคืองไม่ว่าจะเป็นคนโมโหร้ายแค่ไหน แต่หลังจากยืนอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักตลอดเช้า มันก็ได้ขัดเกลาอารมณ์บ้างแล้วทันทีที่ก้าวเท้า ร่างกาย
“ไม่ต้องพิธีรีตอง”หลี่เฉินมองไปที่เสื้อผ้าของต้วนจิ่นเจียงซึ่งเปียกชื้นไปครึ่งหนึ่ง และน้ำแข็งค้างที่เกาะอยู่ตรงขนคิ้วของเขา จะเห็นได้ชัดว่าสภาพของต้วนจิ่นเจียงนั้นค่อนข้างจะทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย จากนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “ข้ามีหลายสิ่งที่ต้องทำ ปล่อยให้ใต้เท้าต้วนต้องรอนานแล้ว”ต้วนจิ่นเจียงก้มศีรษะลงแล้วประสานมือพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีหลายอย่างที่ต้องทำ กระหม่อมสามารถรอได้”“ข้ารู้สึกโล่งใจมากที่ใต้เท้าต้วนเข้าใจเหตุผลเช่นนี้”รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เฉินก็ค่อยๆ หายไป เขาจ้องมองต้วนจิ่นเจียงแล้วพูดว่า “ระหว่างท่านและข้า ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมอีกต่อไป ท่านมาที่นี่เพื่อต้วนจั่งเหมียนลูกชายของท่านใช่หรือไม่?”ต้วนจิ่นเจียงรีบคุกเข่าลงทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “กระหม่อมอบรมบุตรชายไม่ดีเอง ลูกทรพีนั่นถึงได้ล่วงเกินฝ่าบาทเข้า หากจะบอกว่าสมควรตายก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย เพียงแต่อยากให้ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา เนื่องจากตระกูลต้วนของกระหม่อมมีบุตรชายคนเดียวมาสามรุ่นแล้ว และกระหม่อมก็มีเพียงบุตรชายผู้นี้เท่านั้นที่จะสืบเชื้อสายตระกูลต่อไปได้”“การล่วงเกิน
ความกดดันลึกๆ ในใจ และความลับกว่าสิบปีก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจ ใบหน้าของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเขา แต่ความซีดเซียวนี้ก็หายไปในพริบตา ทว่าในสายตาของหลี่เฉินนั้นมันชัดเจนราวกับไฟ สีหน้าของเขายังคงสงบเยือกเย็น และกล่าวอย่างสงบว่า “เสียงร่ำไห้ของดวงวิญญาณทหารชายแดนนับหมื่นคน และเสียงกรีดร้องของพลเรือนนับหมื่น ยังคงกึกก้องทั่วท้องฟ้าของจักรวรรดิทั้งกลางวันและกลางคืน หากคดีนี้ไม่ได้รับความกระจ่าง ก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะปลอบโยนดวงวิญญาณของคนตายได้” สีหน้าของต้วนจิ่นเจียงพลันซีดลง ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่เฉินกำลังพูดเป็นนัยๆ และทุกคำพูดของเขาก็ราวกับมีด ที่พยายามจะผ่าหน้าอกของเขาออก และเผยให้เห็นความลับที่ลึกที่สุดในใจของเขาที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ฝ่าบาท คดีนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากต้องการเริ่มการสอบสวนใหม่ เราจำเป็นต้องหารือกับสำนักราชเลขาหรือไม่” หลี่เฉินกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าใต้เท้าต้วนก็เป็นสมาชิกของสำนักราชเลขาหรอกหรือ?” ต้วนจิ่นเจียงตกตะลึง และเงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินด้วย
เวลาอากาศข้างนอกหนาวจัดและหิมะตกหนัก แต่ภายในพระที่นั่งสีเจิ้งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่ต้วนจิ่นเจียงไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่น กลับรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกแช่ในน้ำเย็น และยืนรับลมหนาวที่ริมชายฝั่งซึ่งพัดเข้ามา หนาว หนาวไปถึงกระดูกจนทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านสถานการณ์พลิกผัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในแผนการนี้ไม่ใช่การฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด แต่เป็นการทำให้คนที่ยังมีชีวิต ก้าวไปสู่ความสิ้นหวังทีละก้าว องค์รัชทายาทได้เตรียมการอะไรบางอย่าง และหลังจากที่แน่ใจว่าฟู่อวี้จือในสำนักราชเลขาจะไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ผู้ชนะเพียงคนเดียวก็คือตัวเขาเอง ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดหลักในโศกนาฏกรรมในปีนั้น ก่อนที่ต้วนจิ่นเจียงจะเข้าสู่ตำหนักบูรพา เขาไม่เคยคิดว่าองค์รัชทายาทจะใช้กลอุบายบีบบังคับให้เขาตกลงที่จะเปิดการสืบสวนคดีในปีนั้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเทียบเท่ากับการยื่นมีดให้องค์รัชทายาทด้วยตัวเอง และเป็นมีดที่สามารถสังหารคนทั้งกลุ่มได้ เมื่อมองไปทางองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีความสงบนิ่งและเยือกเย็น ต้วนจิ่นเจียงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่จ้าวเสวียนจีพูดกับเขา ในตอนที่เขาไปปรึก