ทันทีที่เห็นเฉินทง หัวใจส่วนใหญ่ของหลิวซือฉุนก็กลับไปอยู่ในท้องนางรู้จักสถานะของเฉินทงดี และรู้ด้วยว่าเฉินทงเป็นคนสนิทของหลี่เฉิน ดังนั้นเมื่อเขามาที่นี่ เขาจะไม่วางแผนทำร้ายนางอย่างแน่นอน“รองผู้บัญชาการเฉิน”หลิวซือฉุนโค้งคำนับแบบตื้นๆเมื่อเฉินทงเห็นเช่นนั้นก็รีบหลีกทางในทันที ไม่กล้ารับการคารวะ“ผู้ดูแลหลิวเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องคารวะข้าก็ได้ ไม่ควร ไม่ควรเลย”เฉินทงประเมินว่าองค์รัชทายาทน่าจะสนใจหลิวซือฉุนมากหากสิ่งนี้เป็นความจริง หลิวซือฉุนอาจจะเป็นพระสนมในอนาคตขององค์รัชทายาทก็ได้ และหลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ นางก็จะได้เป็นสนมขั้นเฟย ต่อให้เขาจะถูกทุบตีจนตาย เขาก็ไม่กล้ารับการคารวะของหลิวซือฉุนหรอกความสุภาพของเฉินทง ทำให้หลิวซือฉุนสับสนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางแค่คิดว่ามันเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหลี่เฉิน ดังนั้นนางจึงพูดว่า “ไม่ทราบว่ารองผู้บัญชาการเฉินมาเยือนที่นี่ยามวิกาล มีสิ่งใดให้ข้าน้อยช่วยได้บ้าง?”เฉินทงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหลิวจริงๆ”ขณะที่พูด เฉินทงก็โบกมือ และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปพาตัวคนม
คำพูดของเฉินทง ทำให้ตระกูลหลิวรู้สึกตึงเครียดและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ใช้อำนาจในฐานะองค์รัชทายาทบังคับจำกัดการแต่งงานของหญิงชาวบ้านคนหนึ่งตระกูลหลิวเคยผ่านประสบการณ์มาด้วยตัวเองย่อมรู้ดีว่า แม้จะเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของพวกเขา แต่ถ้าหากเบื้องบนต้องการให้พวกเขาตาย ก็เพียงพูดออกมาแค่คำเดียว ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เลย แค่รองผู้บัญชาการเฉินแห่งองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับสองในหน่วยบูรพา ก็สามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการบีบมดให้ตาย“มีคำกล่าวว่าเมื่อหนึ่งคนบรรลุเต๋า ไก่สุนัขก็ขึ้นสวรรค์ ที่นี่ใครเป็นผู้บรรลุ ใครเป็นไก่สุนัขที่อาบแสงเพื่อขึ้นสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนล้วนมีสติปัญญา ควรจะตระหนักถึงมันได้”“เวลานี้ ผู้ดูแลหลิวกำลังทำงานเพื่อฝ่าบาท และเป็นงานที่สำคัญมาก ฝ่าบาททรงตรัสด้วยองค์เองว่า ไม่ชอบให้คนอื่นมาวุ่นวายกับธุระของตน รบกวนงานของผู้ดูแลหลิวก็เท่ากับรบกวนงานของพระองค์”“วันนี้ข้าจะมอบองครักษ์เสื้อแพรเพื่อเป็นการไว้หน้าผู้ดูแล
“ฝ่าบาท”หลี่เฉินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นจ้าวหรุ่ยถือชามซุปเดินเข้ามา“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว แม้จะยุ่งอยู่ราชกิจของประเทศ แต่ฝ่าบาทก็ควรให้ความสำคัญกับพระพลามัย ควรจะพักผ่อนให้เร็วขึ้นสักหน่อย”จ้าวหรุ่ยส่งชามซุปตรงหน้าให้กับหลี่เฉิน พลางกล่าวเสียงเบาว่า “นี่คือซ่งลู่เหอเถาที่หม่อมฉันตั้งใจต้มมาให้ฝ่าบาท มันเป็นประโยชน์ต่อชี่และสมองของพระองค์มากที่สุด ฝ่าบาททรงดื่มมันในขณะที่ยังร้อนๆ เถอะเพคะ”หลี่เฉินรับชามซุปมา และวางไว้ที่ด้านข้าง ก่อนกล่าวว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ?”จ้าวหรุ่ยกล่าวเสียงเบาว่า “วันนี้ได้พบท่านพ่อท่านแม่ ในใจก็รู้สึกขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกคิดว่าจะรอให้ฝ่าบาททรงพักผ่อนก่อนแล้วจึงกล่าวขอบพระทัย แต่หลังจากรออยู่นาน ฝ่าบาทก็ยังคงยุ่งอยู่ราชกิจ จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดู”“พูดเช่นนี้ ก็เป็นความผิดของข้าแล้ว”หลี่เฉินดึงจ้าวหรุ่ยเข้ามาในอ้อมแขน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วเจ้าวางแผนจะตอบแทนข้าอย่างไร?”จ้าวหรุ่ยหน้าแดงระเรื่อ ขณะที่กล่าวเสียงกระซิบว่า “ก็...ก็ซุปนั่นยังไงล่ะเพคะ?”“ไม่พอ”หลี่เฉินกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ข้าอ่านสาส์นกราบทูล
ทุกวันนี้สถานการณ์กำลังยากลำบาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เกิดขึ้นติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ชาวบ้านแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเก็บภาษีเลย ท้องพระคลังว่างเปล่า แต่ก็จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงราชสำนัก จึงยากจนข้นแค้นอย่างยิ่งราชสำนักยากจน เงินเดือนของขุนนางก็ยิ่งน้อยลงไปด้วยเมื่อก่อนจางเฮ่อจือเป็นหมอหลวงที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่หกคนหนึ่ง ตำแหน่งของเขาไม่ได้สูงมากนัก เงินเดือนของเขาก็ประมาณห้าหรือหกตำลึง ด้วยเงินแค่นี้ ก็พอฝืนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัวได้ แต่ถ้าอยากจะซื้อบ้านสักหลังในเมืองหลวงก็คงทำได้แค่ฝันก่อนหน้านี้หลี่เฉินตบรับรางวัลเป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง ซึ่งเพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวกินอยู่อย่างประหยัดไปได้หลายปี เมื่อรวมกับบ้านหลังนี้แล้ว มันก็เป็นรางวัลที่คนอื่นต้องอิจฉาหลี่เฉินยิ้มจางๆเมื่อหัวหน้าให้ผลประโยชน์กับลูกน้อง ปกติแล้วจะต้องทำในที่โล่ง เพื่อให้ลูกน้องรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณ ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะตระหนักถึงข้อดีในการทำงานให้กับตัวเองได้ได้อย่างไร?หลังจากที่จางเฮ่อจือจากไป หลี่เฉินก็ยืนขึ้นและเดินไปยังพระที่
หลังจากบอกให้รอ หลี่เฉินก็ปล่อยให้ต้วนจิ่นเจียงยืนอยู่นอกตำหนักบูรพาจนถึงเที่ยงไม่มีใครมาแจ้ง จึงไม่มีข่าวว่าองค์รัชทายาทให้เขาเข้าพบหรือไม่ ดังนั้นต้วนจิ่นเจียงจึงไม่ได้จากไป แต่ยืนอยู่ที่นั่น ปล่อยให้เกล็ดหิมะร่วงลงมาใส่เดิมทีวันนี้หิมะไม่ได้ตกหนักมาก แต่หลังจากยืนอยู่ที่นั่นทั้งเช้า ต้วนจิ่นเจียงก็ดูเหมือนมนุษย์หิมะ คิ้วและผมของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งโชคดีที่ต้วนจิ่นเจียงมีประสบการณ์ทางการทหารเมื่อตอนที่ยังหนุ่ม ร่างกายของเขาจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงล้มคว่ำไปแล้วเป็นเช่นนี้จนถึงเที่ยง ตอนนั้นเองที่เฉินทงก็เดินออกมา ซึ่งต้วนจิ่นเจียงก็จวนจะพังทลายลงแล้ว“รองผู้บัญชาการเฉิน ฝ่าบาทตกลงที่จะพบข้าหรือไม่?”ต่อหน้าเฉินทง ต้วนจิ่นเจียงก็ลดท่าทางลง และประสานมือถามเฉินทงแสดงท่าทีสงบนิ่ง ไม่ประจบสอพลอหรือจงใจอวดเบ่ง เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ฝ่าบาทให้เจ้าเข้าไป”“ดี”น้ำเสียงของต้วนจิ่นเจียงฟังไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธเคืองไม่ว่าจะเป็นคนโมโหร้ายแค่ไหน แต่หลังจากยืนอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักตลอดเช้า มันก็ได้ขัดเกลาอารมณ์บ้างแล้วทันทีที่ก้าวเท้า ร่างกาย
“ไม่ต้องพิธีรีตอง”หลี่เฉินมองไปที่เสื้อผ้าของต้วนจิ่นเจียงซึ่งเปียกชื้นไปครึ่งหนึ่ง และน้ำแข็งค้างที่เกาะอยู่ตรงขนคิ้วของเขา จะเห็นได้ชัดว่าสภาพของต้วนจิ่นเจียงนั้นค่อนข้างจะทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย จากนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “ข้ามีหลายสิ่งที่ต้องทำ ปล่อยให้ใต้เท้าต้วนต้องรอนานแล้ว”ต้วนจิ่นเจียงก้มศีรษะลงแล้วประสานมือพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีหลายอย่างที่ต้องทำ กระหม่อมสามารถรอได้”“ข้ารู้สึกโล่งใจมากที่ใต้เท้าต้วนเข้าใจเหตุผลเช่นนี้”รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เฉินก็ค่อยๆ หายไป เขาจ้องมองต้วนจิ่นเจียงแล้วพูดว่า “ระหว่างท่านและข้า ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมอีกต่อไป ท่านมาที่นี่เพื่อต้วนจั่งเหมียนลูกชายของท่านใช่หรือไม่?”ต้วนจิ่นเจียงรีบคุกเข่าลงทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “กระหม่อมอบรมบุตรชายไม่ดีเอง ลูกทรพีนั่นถึงได้ล่วงเกินฝ่าบาทเข้า หากจะบอกว่าสมควรตายก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย เพียงแต่อยากให้ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา เนื่องจากตระกูลต้วนของกระหม่อมมีบุตรชายคนเดียวมาสามรุ่นแล้ว และกระหม่อมก็มีเพียงบุตรชายผู้นี้เท่านั้นที่จะสืบเชื้อสายตระกูลต่อไปได้”“การล่วงเกิน
ความกดดันลึกๆ ในใจ และความลับกว่าสิบปีก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจ ใบหน้าของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเขา แต่ความซีดเซียวนี้ก็หายไปในพริบตา ทว่าในสายตาของหลี่เฉินนั้นมันชัดเจนราวกับไฟ สีหน้าของเขายังคงสงบเยือกเย็น และกล่าวอย่างสงบว่า “เสียงร่ำไห้ของดวงวิญญาณทหารชายแดนนับหมื่นคน และเสียงกรีดร้องของพลเรือนนับหมื่น ยังคงกึกก้องทั่วท้องฟ้าของจักรวรรดิทั้งกลางวันและกลางคืน หากคดีนี้ไม่ได้รับความกระจ่าง ก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะปลอบโยนดวงวิญญาณของคนตายได้” สีหน้าของต้วนจิ่นเจียงพลันซีดลง ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่เฉินกำลังพูดเป็นนัยๆ และทุกคำพูดของเขาก็ราวกับมีด ที่พยายามจะผ่าหน้าอกของเขาออก และเผยให้เห็นความลับที่ลึกที่สุดในใจของเขาที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ฝ่าบาท คดีนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากต้องการเริ่มการสอบสวนใหม่ เราจำเป็นต้องหารือกับสำนักราชเลขาหรือไม่” หลี่เฉินกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าใต้เท้าต้วนก็เป็นสมาชิกของสำนักราชเลขาหรอกหรือ?” ต้วนจิ่นเจียงตกตะลึง และเงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินด้วย
เวลาอากาศข้างนอกหนาวจัดและหิมะตกหนัก แต่ภายในพระที่นั่งสีเจิ้งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่ต้วนจิ่นเจียงไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่น กลับรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกแช่ในน้ำเย็น และยืนรับลมหนาวที่ริมชายฝั่งซึ่งพัดเข้ามา หนาว หนาวไปถึงกระดูกจนทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านสถานการณ์พลิกผัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในแผนการนี้ไม่ใช่การฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด แต่เป็นการทำให้คนที่ยังมีชีวิต ก้าวไปสู่ความสิ้นหวังทีละก้าว องค์รัชทายาทได้เตรียมการอะไรบางอย่าง และหลังจากที่แน่ใจว่าฟู่อวี้จือในสำนักราชเลขาจะไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ผู้ชนะเพียงคนเดียวก็คือตัวเขาเอง ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดหลักในโศกนาฏกรรมในปีนั้น ก่อนที่ต้วนจิ่นเจียงจะเข้าสู่ตำหนักบูรพา เขาไม่เคยคิดว่าองค์รัชทายาทจะใช้กลอุบายบีบบังคับให้เขาตกลงที่จะเปิดการสืบสวนคดีในปีนั้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเทียบเท่ากับการยื่นมีดให้องค์รัชทายาทด้วยตัวเอง และเป็นมีดที่สามารถสังหารคนทั้งกลุ่มได้ เมื่อมองไปทางองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีความสงบนิ่งและเยือกเย็น ต้วนจิ่นเจียงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่จ้าวเสวียนจีพูดกับเขา ในตอนที่เขาไปปรึก
“ไม่นานมานี้ ตระกูลหลิวต้องขายทรัพย์สินแทบทั้งหมดเพื่อหาเงินมาลงทุนในธนาคาร ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องหัวเราะเยาะในเมืองหลวง หากองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับพวกเขาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นให้ตระกูลหลิวขายทรัพย์สินเช่นนั้นหรอก?”จ้าวไท่ไหลคิดว่าคำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผลถ้าองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับตระกูลหลิวจริงๆ ก็คงไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องขายทรัพย์สินจนหมดตัวคนพูดเริ่มยุแยงอีกครั้ง “พี่จ้าว สมมติว่าหากพ่อของท่าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ท่านพ่อของพวกข้าก็เป็นคนของผู้อาวุโสและกำลังต่อสู้กับตำหนักบูรพาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หรือ หากท่านสามารถสร้างปัญหาให้ตระกูลหลิวได้ ก็เท่ากับช่วยตระกูลท่านไปในตัวมิใช่หรือ?”เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนกดเสียงต่ำลง “อีกอย่าง ท่านกำลังจะไปจินหลิงในเดือนหน้า ต่อให้มีเรื่องใหญ่ในเมืองหลวง ใครจะสนใจท่านล่ะ?”“หากได้สูตรมา ธุรกิจนี้ทำเงินได้ปีละน้อยสุดก็หลักล้านตำลึง”ยิ่งฟัง จ้าวไท่ไหลยิ่งรู้สึกหวั่นไหวโดยเฉพาะคำว่าธุรกิจปีละล้านตำลึง ทำให้เขาอดใจไม่ไหวอีกต่อไป“ไป! ไปพบกับตระกูลหลิวสักหน่อยดีกว่า!”จ้าวไท่ไหลวางแก้วสุราลงกับโต๊ะเสียงดัง ก่อนลุกขึ้นยืนเหล่าคุณชาย
"ของสิ่งนี้ขายชิ้นละห้าตำลึงเงิน ราคาแพงจนเหลือเชื่อ แต่กลับมีผู้หญิงมากมายต่อแถวซื้อกันจนสินค้าขาดตลาด ที่บ้านข้าก็เหมือนกัน อี๋เหนียงของข้าต้องอ้อนวอนพ่อข้าจนสุดท้ายพ่อข้าต้องใช้เส้นสายหามาให้จนได้""ได้ยินมาว่าตอนนี้ผู้คนที่มีฐานะร่ำรวยในเมืองหลวงใช้จำนวนสบู่ที่ซื้อได้มาอวดกันราวกับเป็นสิ่งแสดงสถานะ"จ้าวเสวียนจีไม่ค่อยสนใจเรื่องผู้หญิง เขามีภรรยาเพียงสองคน ดังนั้นจ้าวไท่ไหลจึงมีอี๋เหนียงเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาจึงไม่ค่อยไวต่อสิ่งของที่ผู้หญิงสนใจนักแต่เมื่อเห็นสหายที่มีอี๋เหนียงหลายคนพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย เขาก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าสบู่นี้คงได้รับความนิยมอย่างมากจริงๆ"มันดีขนาดนั้นเลยหรือ?"จ้าวไท่ไหลขมวดคิ้ว "ห้าตำลึงเงิน ของเช่นนี้ชาวบ้านธรรมดาคงซื้อไม่ได้ แต่พวกคนรวยกลับต่อแถวกันซื้อ?"คนที่เล่าเรื่องสบู่ให้ฟังหัวเราะเยาะก่อนตอบ "ไม่ใช่แค่นั้น คนขายสบู่ยังประกาศชัดเจนว่าสบู่ที่ขายตอนนี้ทำมาเพื่อคนรวยโดยเฉพาะ เอาไว้ลองของใหม่ แต่ต่อไปจะมีสบู่ราคาถูกออกมา ราคาแค่ไม่กี่เหวินเงิน ถึงตอนนั้นจะขายให้คนทั่วไปด้วย แต่ถึงพวกเขาจะบอกชัดเจนว่าเอาเปรียบคนรวย พวกคนรวยก็ยังแ
จ้าวไท่ไหลไม่รอช้า รีบไปหาพ่อบ้านและเบิกตั๋วเงินจำนวนแสนตำลึงทันทีนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ถือเงินสดจำนวนมหาศาลเช่นนี้อย่างเปิดเผย จ้าวไท่ไหลรู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขารีบเรียกพรรคพวกสหายสนิทมารวมตัวทันทีที่สวนอี้เหมยซึ่งเป็นสถานที่จัดงานชุมนุมนักกวีโดยหลี่จวิ้นเจ๋อในอดีต จ้าวไท่ไหลจองห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดไว้ค่าใช้จ่ายสำหรับห้องส่วนตัวเพียงอย่างเดียวก็สูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน สถานที่แห่งนี้ แม้แต่จ้าวไท่ไหลที่ร่ำรวยก็ยังมาไม่บ่อยนักไม่นาน เหล่าคุณชายที่มีพื้นหลังไม่ธรรมดาในเมืองหลวงก็มารวมตัวกัน อาหารและสุราชั้นเลิศก็ถูกยกมาอาหารแต่ละจานที่นี่ราคาไม่น้อยกว่ายี่สิบตำลึงเงินทั้งนั้นสำหรับคนทั่วไป ค่าอาหารจานเดียวในที่แห่งนี้ก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งปีของพวกเขาแล้วหลังจากดื่มสุราและกินอาหารกันจนเต็มอิ่ม จ้าวไท่ไหลที่เริ่มเมาเต็มที่ หน้าตาแดงก่ำ เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าฟังนะ วันนี้พ่อข้าดูแปลกมาก”“เขาบอกให้ข้าทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ และให้เบิกเงินจากบ้านได้ตามใจ ตอนข้าออกมา ข้าเอาเงินมาตั้งแสนตำลึง เขาก็ให้ข้ามาง่ายๆ เลย”จ้าวไท่ไหลจิบสุราอีกคำ ก่อนพูดต่อด้วยน
เมื่อรับจดหมายที่เหวินอ๋องยื่นให้ ต้วนจิ่นเจียงไม่จำเป็นต้องเปิดดู ก็รู้ดีว่าข้อความในจดหมายคืออะไรย่อมเป็นสิ่งที่จ้าวเสวียนจีไม่อยากเห็นที่สุดเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “เหวินอ๋องวางใจ ข้าจะให้คนส่งไปถึงมือจ้าวเสวียนจีโดยเร็วที่สุดอย่างปลอดภัย”...จากจินหลิงถึงเมืองหลวง ระยะทางประมาณแปดร้อยลี้หากใช้ม้าเร็วและเร่งเดินทางแบบไม่หยุดพัก ใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองวันก็สามารถส่งจดหมายไปถึงได้ไม่นานนัก จ้าวเสวียนจีก็ได้รับจดหมายฉบับนี้หลังอ่านเนื้อความในจดหมายจนจบ เขาก็เผาจดหมายทิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉยในขณะนั้น จ้าวไท่ไหลก็เข้ามาคารวะบิดา“ท่านพ่อ”จ้าวไท่ไหลเดินมาหาจ้าวเสวียนจีด้วยท่าทีระมัดระวัง พลางถามว่า “ท่านพ่อ สีหน้าของท่านดูไม่ค่อยดีนัก มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”แม้จ้าวไท่ไหลจะไม่เข้าใจเรื่องการเมือง แต่เขาก็รู้ว่าตนเองเป็นบุตรชายของจ้าวเสวียนจี และในจักรวรรดิต้าฉิน ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เขาเห็นความปั่นป่วนในสถานการณ์ต่างๆ และเห็นบิดาของเขาหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือ หรือพบปะผู้คนมากมาย เหมือนกำลังวางแผนเรื่องสำคัญบางอย่างแต่ไม่ว่าอย่างไร การเห็นสีหน้าเคร่ง
คำพูดของเหวินอ๋องฟังดูราบเรียบ แต่กลับซ่อนความโกรธแค้นและความอาฆาตที่ลุกโชนจากหัวใจของบิดาที่สูญเสียบุตรไปไม่มีความเศร้าใดในโลกที่หนักหนาไปกว่าการที่คนแก่ต้องสูญเสียลูกหลานก่อนเวลาอันควรและในตอนนี้ เหวินอ๋องก็กำลังเผชิญกับชะตากรรมอันเจ็บปวดนี้ต้วนจิ่นเจียงมองเหวินอ๋องที่อยู่ข้างๆ พลันเกิดความคิดขึ้นในใจแม้ว่าหลี่จวิ้นเจ๋อจะไม่ได้เป็นผู้มีปัญญาเลิศล้ำ แต่เขากลับกลัวบิดาของเขาอย่างมาก อีกทั้งยังทำตัวว่านอนสอนง่ายมาตลอด ไม่เช่นนั้นด้วยอุปนิสัยของคนหนุ่มวัยสมัยนี้ จะสามารถอดทนทำตัวสงบเสงี่ยมในเมืองหลวงอันรุ่งเรืองได้หลายปีเช่นนั้นหรือ?ดังนั้น การกระทำของหลี่จวิ้นเจ๋อ รวมถึงการร่วมมือกับจ้าวเสวียนจี ย่อมต้องมีการบอกใบ้หรือชี้นำจากเหวินอ๋องแน่นอน เขาถึงกล้าทำเช่นนั้นถ้าเช่นนั้น เหวินอ๋องอาจจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วตั้งแต่ต้น?ความคิดนี้ทำให้เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผากของต้วนจิ่นเจียง เขายืนนิ่งไม่กล้าขยับตัวเขารู้สึกราวกับว่าเหวินอ๋อง ผู้ที่เขารู้จักมาหลายสิบปี และคิดว่ารู้จักกันดีคนนี้ กลายเป็นคนแปลกหน้า และอาจกลายร่างเป็นอสูรร้ายที่พร้อมจะเขมือบเขาได้ทุกเมื่อ“พูดถึง ต้อง
เหวินอ๋องมีบุตรชายสี่คนและบุตรสาวหกคน นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่เปี่ยมด้วยความอุดมสมบูรณ์แต่ต้วนจิ่นเจียงรู้ดีว่า ในสายตาของเหวินอ๋องผู้เย็นชา ลูกชายและลูกสาวคนอื่นๆ เป็นเพียงเครื่องประดับที่ไม่มีความสำคัญคนที่เหวินอ๋องให้ความสำคัญจริงๆ คือหลี่จวิ้นเจ๋อ บุตรชายคนโตที่เกิดจากพระชายาการเสียชีวิตของพระชายาระหว่างการคลอดหลี่จวิ้นเจ๋อ ทำให้เหวินอ๋องเทความสนใจและความหวังทั้งหมดไปที่เขาและเพราะหลี่จวิ้นเจ๋อมีความสำคัญมาก ต้าสิงฮ่องเต้จึงเก็บตัวเขาไว้ในเมืองหลวงในนามคือเพราะต้าสิงฮ่องเต้ทรงชื่นชอบหลานชายผู้นี้และต้องการอบรมสั่งสอนด้วยพระองค์เองแต่ความจริงแล้ว หลี่จวิ้นเจ๋อถูกจับเป็นตัวประกันเรื่องนี้แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็ยังมองออกและการจับตัวประกันเช่นนี้ เหล่าอ๋องแห่งแคว้นคนอื่นๆ ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แต่อย่างใดนี่แสดงให้เห็นว่าต้าสิงฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงเหวินอ๋องเพียงใดตราบใดที่หลี่จวิ้นเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ ย่อมทำให้เหวินอ๋องต้องระมัดระวังตัวแต่ตอนนี้หลี่จวิ้นเจ๋อได้สิ้นชีวิตลงแล้ว ใครจะรู้ว่าเหวินอ๋องจะทำอะไรต่อไปเพียงชั่วครู่ ต้วนจิ่นเจียงก็คิดไปไกล“เขาตายอย่างไรหรือ?
วั่นเจียวเจียวดีใจจนเนื้อเต้น นางใช้มือประคองคาง พลางมองหลี่เฉินด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม พลางกล่าวว่า “องค์ชาย พระองค์ทรงรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรเพคะ?”“อ่านหนังสือให้มากๆ”หลี่เฉินตอบอย่างไม่ใยดีว่า “เลิกอ่านหนังสือเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ พวกนั้นบ้าง หันไปอ่านหนังสือที่มีประโยชน์เสีย วันก่อนข้าเห็นเจ้ากำลังถือหนังสือเรื่องราวเล่มหนึ่งอ่านอย่างติดใจ เจ้าคงอ่านหนังสือเรื่องราวในวังครบแล้วกระมัง?”วั่นเจียวเจียวทำหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ที่มีอยู่ในวังหม่อมฉันอ่านหมดแล้วเพคะ ช่วงนี้ต้องให้คนช่วยไปหาซื้อจากตลาดข้างนอกมาเพิ่ม มีบางเล่มที่เขียนได้สนุกมากเลยเพคะ”หญิงสาวมักเต็มไปด้วยความฝันในวัยสาว อีกทั้งในยุคนี้ไม่มีสิ่งบันเทิงใจมากมาย ดังนั้นการอ่านหนังสือเรื่องราวความรักหรือเรื่องลี้ลับจึงเป็นทางออกที่นิยมหลี่เฉินไม่ได้เข้มงวดกับวั่นเจียวเจียวมากนัก เมื่อเห็นว่านางชื่นชอบจริงๆ เขาก็ปล่อยไปตามใจ“ส่งคนไปเรียกซูเจิ้นถิงและซูผิงเป่ยมา ข้ามีเรื่องจะหารือกับพวกเขา”...ที่ริมแม่น้ำฉินหวายในจินหลิง สายฝนโปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิ ชายชราอายุราวครึ่งร้อยผู้หนึ่ง ส
มือเรียวงามขาวสะอาดของหลิวซือฉุนจุ่มลงในน้ำใสในอ่างทอง นางเริ่มต้นด้วยการทำให้มือเปียก แล้วใช้สบู่ก้อนนั้นถูจนทั่ว ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาดทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้คำแนะนำของหลี่เฉิน ผู้ที่สอนวิธีการใช้สบู่ก้อนแรกในโลกมนุษย์ไม่นานนัก หลิวซือฉุนก็พบกับความมหัศจรรย์ของสบู่ แม้จะดูมันเยิ้ม แต่กลับมีศักยภาพในการทำความสะอาดสูงมาก หลังจากล้างมือด้วยสบู่แล้ว มือของนางดูสะอาดสดชื่น คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกต่างๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยแม้มือของหลิวซือฉุนจะสะอาดอยู่แล้ว แต่ความสดชื่นที่สบู่นี้มอบให้กลับเป็นความรู้สึกที่นางไม่ค่อยได้สัมผัส นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าสบู่นี้สามารถล้างคราบน้ำมันที่มองไม่เห็นออกจากมือของนางได้หมด“องค์ชาย สิ่งนี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง!?” หลิวซือฉุนแสดงความตื่นเต้น จนวั่นเจียวเจียวที่อยู่ข้างๆ แสดงความอิจฉาออกมาไม่มีสตรีคนใดที่ไม่รักความงามหรือความสะอาดหากไม่ใช่เพราะองค์ชายอยู่ที่นี่ด้วย วั่นเจียวเจียวคงรีบไปลองใช้ด้วยตนเองแล้วหลี่เฉินยิ้มพลางกล่าวว่า “ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือการทำความสะอาด โดยเฉพาะสิ่งที่มีน้ำมัน มันมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม”“ปัจจุบันแม้ตระกูลมั่ง
หลิวซือฉุนพักอยู่ในเมืองหลวง และดูเหมือนจะรู้ดีว่าหลี่เฉินจะเรียกพบนางในไม่ช้า ดังนั้นจึงไม่ไปที่ไหน เพียงแค่รออยู่ที่บ้านครึ่งชั่วยามต่อมา หลิวซือฉุนก็ปรากฏตัวในพระที่นั่งสีเจิ้ง“หม่อมฉันหลิวซือฉุน ขอคารวะองค์รัชทายาท”แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ แต่หลิวซือฉุนยังคงรู้สึกอึดอัดจากบรรยากาศแห่งราชวงศ์ที่หนักแน่นทุกครั้งหลี่เฉินมองดูหลิวซือฉุนที่คำนับอย่างไร้ที่ติ แล้วกล่าวว่า “รูปร่างเจ้าอวบอิ่มขึ้นไม่น้อย”หลิวซือฉุนขมวดคิ้ว ถามว่า “องค์ชายกำลังบอกว่าหม่อมฉันอ้วนหรือเพคะ?”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “หากเป็นคนอื่นคงอ้วน แต่สำหรับเจ้า ไม่เหมือนกัน”หลี่เฉินมองดูหลิวซือฉุนที่มีกลิ่นอายของหญิงสาวนักธุรกิจเด่นชัดขึ้นทุกวัน เขารู้สึกสนุกที่ได้เห็นการเติบโตของนางการที่ได้บ่มเพาะหญิงแกร่งทางการค้าอย่างนี้ด้วยตนเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เลวโดยเฉพาะเมื่อหญิงแกร่งคนนี้ ไม่ว่าอยู่ภายนอกจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ต่อหน้าเขา กลับว่านอนสอนง่ายราวกับลูกแกะต้องบอกว่า...เป็นรัชทายาทนี่มันดีจริง“ช่วงนี้การเปิดธนาคารเผชิญกับอุปสรรคมากมาย เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”หลังจากสล