เวลาอากาศข้างนอกหนาวจัดและหิมะตกหนัก แต่ภายในพระที่นั่งสีเจิ้งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่ต้วนจิ่นเจียงไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่น กลับรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกแช่ในน้ำเย็น และยืนรับลมหนาวที่ริมชายฝั่งซึ่งพัดเข้ามา หนาว หนาวไปถึงกระดูกจนทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านสถานการณ์พลิกผัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในแผนการนี้ไม่ใช่การฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด แต่เป็นการทำให้คนที่ยังมีชีวิต ก้าวไปสู่ความสิ้นหวังทีละก้าว องค์รัชทายาทได้เตรียมการอะไรบางอย่าง และหลังจากที่แน่ใจว่าฟู่อวี้จือในสำนักราชเลขาจะไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ผู้ชนะเพียงคนเดียวก็คือตัวเขาเอง ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดหลักในโศกนาฏกรรมในปีนั้น ก่อนที่ต้วนจิ่นเจียงจะเข้าสู่ตำหนักบูรพา เขาไม่เคยคิดว่าองค์รัชทายาทจะใช้กลอุบายบีบบังคับให้เขาตกลงที่จะเปิดการสืบสวนคดีในปีนั้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเทียบเท่ากับการยื่นมีดให้องค์รัชทายาทด้วยตัวเอง และเป็นมีดที่สามารถสังหารคนทั้งกลุ่มได้ เมื่อมองไปทางองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีความสงบนิ่งและเยือกเย็น ต้วนจิ่นเจียงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่จ้าวเสวียนจีพูดกับเขา ในตอนที่เขาไปปรึก
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แรงกดดันของต้วนจิ่นเจียงก็เพิ่มขึ้นทุกขณะ เมื่อหลี่เฉินดื่มชาเสร็จ ก็มีเสียงรายงานจากเฉินทงดังมาจากนอกห้องโถง “ฝ่าบาท” เมื่อได้รับอนุญาตจากหลี่เฉิน หลังจากเฉินทงเดินเข้ามาในห้องโถงก็โค้งคำนับ จากนั้นก็เหลือบมองต้วนจิ่นเจียง และลังเลที่จะพูด “พูดมาเถอะ” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็น เฉินทงประสานมือรายงานว่า “ในคุก ต้วนจั่งเหมียนทนไม่ไหวกับการทรมาน จึงชนกำแพงตาย” ต้วนจิ่นเจียงเบิกตากว้าง และถามอย่างกังวลว่า “ตอนนี้ลูกชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เฉินทงไม่สนใจเขา แต่รอคำพูดของหลี่เฉิน หลี่เฉินแทบจะหัวเราะออกมาดังๆ ต้วนจั่งเหมียนหนอต้วนจั่งเหมียน เลือกเวลาฆ่าตัวตายได้เหมาะสมที่สุด “แล้วตายหรือยัง?” หลี่เฉินถาม เฉินทงตอบ “เขาถูกพบได้ทันเวลา และได้รับการช่วยเหลือแล้ว เพียงแต่จิตใจของเขาเริ่มบ้าเล็กน้อย กระหม่อมเกรงว่าเขาจะทนอยู่ได้ไม่นาน” จากนั้นหลี่เฉินก็เหลือบมองไปที่ต้วนจิ่นเจียง แต่ไม่ทันที่หลี่เฉินจะได้พูด ต้วนจิ่นเจียงก็คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “กระหม่อมจะทำทุกอย่างที่ฝ่าบาทพระราชดำรัสสั่ง” เมื่อวางถ้วยชาลง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าข
“เฉินทง...” หลี่เฉินตะโกนโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเขาก็จำได้ว่า ตัวเองให้เฉินทงไปทำงานบางอย่างให้ หลี่เฉินส่ายหัวและรู้สึกว่ามีคนในมือให้ใช้น้อยเกินไป และรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องหาทหารองค์รักษ์เดินหน้าขบวน โดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงเรียกขันทีที่ปฏิบัติหน้าที่นอกห้องโถง “เจ้าไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ ไปตามหาซูเจิ้นถิงแล้วบอกว่า คืนนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักบูรพาเพื่อต้อนรับคณะทูตเสียนเฉา จึงขอเชิญท่านแม่ทัพใหญ่ให้มาก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม ข้ามีเรื่องบางอย่างจะหารือกับเขา” ขันทีตัวเล็กปากแดงฟันขาวคำนับอย่างเคารพ แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ……ขณะเดียวกัน ณ จุดพักแรม ในลานบ้านซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของทูตเสียนเฉา ซึ่งมีบรรยากาศที่เคร่งขรึม จินเสวี่ยยวนนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน เราต้องคิดกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้แน่ใจว่าองค์รัชทายาทจะทรงเห็นด้วยกับคำขอของเรา ที่ส่งทหารไปยังเสียนเฉา” ในห้องโถงปิด ชายวัยกลางคนที่นั่งถัดจากจินเสวี่ยหยวนก็ยกมือขึ้นมาลูบเคราของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “เ
โจวไท่พูแบมือแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่ากระหม่อมไม่คิดหาวิธี ตรงกันข้าม นี่คือข้อสรุปที่กระหม่อมได้รับหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้” “จริงๆ แล้วเราสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจักรวรรดิต้าฉินใช่ว่าจะมีช่วงเวลาที่ดี ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำให้จักรวรรดิต้าฉินที่ดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองก็เต็มไปด้วยรูพรุน พวกเราเข้ามาจากทางเหลียวตง ไม่ต้องพูดถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติเลย แค่เจ้าหน้าที่กับทหารท้องถิ่นพวกนั้น ก็ไม่ได้รับเงินเดือนมานานแล้ว เราเห็นฉากประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่มากพออีกหรือ?” “ทุกสิ่งในเมืองหลวงยังคงสงบสุข แต่นี่เป็นเพราะเมืองหลวงเป็นแกนกลางของต้าฉิน ไม่ว่าที่อื่นจะวุ่นวายแค่ไหน ไม่ว่าที่อื่นจะเลวร้ายเพียงใด ก็ส่งผลกระทบต่อเมืองหลวงน้อยมาก เมืองหลวงเป็นอย่างไร องค์จักรพรรดิก็สามารถมองเห็นสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ที่อื่นล่ะ จักรพรรดิ์สามารถมองเห็นจักรวรรดิต้าฉินอันกว้างใหญ่ได้มากเพียงใด?” “มาพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองกันดีกว่า สถานการณ์ทางการเมืองของต้าฉินในตอนนี้ จะบอกว่าชัดเจนก็ชัดเจน จะบอกว่าเข้าใจยากก็เข้า
ชายหน้าด้านไร้ยางอายผู้นั้นที่เข้าครอบครองนางตั้งหลายครั้ง... จินเสวี่ยยวนรู้สึกโกรธจัดเมื่อคิดถึงชายผู้นั้น ก่อนหน้านี้ นางคิดเสมอว่าผู้ชายที่ไร้ยางอายคนนั้นเป็นเพียงคนหลอกลวง ที่ล่อลวงนางเพื่อสนองตัณหาของตัวเอง ซึ่งคงไม่มีวันได้เจอกันอีก และเนื่องจากนางต้องทนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียที่โง่เขลาเช่นนี้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะไม่แก้แค้น แต่โดยไม่คาดคิด ตัวเองเข้าพบขุนนางคนสำคัญในราชสำนักตั้งหลายคน ทั้งยังส่งมอบของขวัญไปให้มากมาย แต่ทว่ากลับไม่มีความคืบหน้าเลย และจู่ๆ ไอ้คนบ้ากามนั่นก็สามารถทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ นางสนใจแค่ความสุข แต่กลับไม่คิดเรื่องนั้นให้มากนัก “ไม่ได้!” จินเสวี่ยยวนเกือบจะโพล่งออกมาคำพูดสองคำของนาง ทำให้สมาชิกทุกคนในภารกิจที่เพิ่งได้สัมผัสความหวังเพียงเล็กน้อย ต่างพากันตกตะลึง ชายเคราแพะเป็นคนเปิดปากพูดเป็นคนแรกว่า “องค์หญิงทำไมจะไม่ได้ล่ะ? โจวไท่พูพูดถูก คนๆ นี้อาจจะเป็นบุคคลสำคัญจริงๆ ตราบใดที่เราสามารถหาเขาให้เจอ และสัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์มหาศาลให้ เขาจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน” “กระหม่อมยินดีจะช่วยพระองค์ในเรื่องนี้ ขอให้องค์หญิงโปรดบอกชื่อและ
โจวไท่พูหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “จะเชื่อหรือไม่ มันสำคัญด้วยหรือ?” “จักรวรรดิต้าฉินในตอนนี้ องค์รัชทายาททรงครอบครองความชอบธรรม แต่ในด้านอำนาจทางการเมือง พระองค์เป็นฝ่ายอ่อนแอ บวกภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาภัยพิบัติหรือเพื่อบรรเทาความขัดแย้งทางการเมือง องค์รัชทายาทจำเป็นต้องมีเหตุผลที่เพียงพอในการเบี่ยงเบนความสนใจของคนในประเทศและฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยก็สามารถตอบสนองความต้องการขององค์รัชทายาทได้อย่างแน่นอน” “ดังนั้น...” โจวไท่พูประสานมือไปทางจินเสวี่ยยวนแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือหาคนที่สามารถทำให้องค์รัชทายาทตกลงมาพบกับพวกเรา เขาในฐานะคนกลางจะเกริ่นนำให้กับองค์รัชทายาทก่อน เพราะถ้าหากองค์หญิงเสนอเรื่องนี้ในงานเลี้ยงโดยตรง มันจะเสี่ยงมาก และจะเป็นการทดสอบความหลักแหลมทางการเมืองขององค์รัชทายาท...และไหวพริบขององค์หญิงอีกด้วย” “หากความหลักแหลมทางการเมืองขององค์รัชทายาทซับซ้อนเพียงพอ เช่นนั้นองค์หญิงก็สามารถเสนอเรื่องนี้ในงานเลี้ยงอาหารค่ำโดยตรงได้ แต่ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และสน
คำพูดของโจวไท่พู ทำให้สีหน้าของจินเสวี่ยยวนยิ่งมืดมน เมื่อเห็นว่าจินเสวี่ยยวนไม่พูดอะไร โจวไท่พูจึงโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ส่วนตัวก็เข้ามาหาจินเสวี่ยยวน และพูดเบาๆ “องค์หญิง ทำไมไม่เสวยอาหารก่อนล่ะเพคะ ไม่ว่าพระองค์มีเรื่องหลายสิ่งที่ต้องทำ แต่ต้องทานให้อิ่มก่อนถึงจะแก้ปัญหาได้” จินเสวี่ยยวนถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันไปมองเกล็ดหิมะที่ตกลงมาทางนอกหน้าต่าง แล้วพึมพำว่า “ข้ากินไม่ลง เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”สาวใช้มองท่าทางเศร้าๆ ของจินเสวี่ยยวน จึงทนไม่ไหวต้องคุกเข่ากล่าวเสียงสั่นว่า “องค์หญิง ช่วงนี้พระองค์ทรงทำงานหนักเพื่อแก้ไขวิกฤติในประเทศ และไม่เคยยิ้มเลย ทุกคนต่างรู้ดีถึงความกังวลขององค์หญิง แต่กังวลตอนนี้ไป ก็ไม่มีทางแก้ไขได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันขอให้องค์หญิงทรงเมตตาต่อพระองค์เองด้วยเถอะเพคะ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เรื่องยังไม่ทันจะแก้ไข แต่พระวรกายก็พังทลายเสียก่อน” จินเสวี่ยยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ข้าไม่มีความอยากอาหารเลยจริงๆ...แต่ยังไงก็ช่วยทำโจ๊กให้ข้าสักชามด้วย”สาวใช้ดีใจมากจึงลุกขึ้นยืน และจับชายก
“คณะทูตเสียนเฉา มาถึงตำหนักบูรพาแล้ว!” วินาทีที่จินเสวี่ยยวนพาสมาชิกของคณะทูตเข้าสู่ตำหนักบูรพา เจ้าหน้าที่หงลู่ซื่อผู้รับผิดชอบในการประกาศการมาก็ตะโกนเสียงดัง หน้าที่พิเศษได้รับการจัดการโดยมืออาชีพ เสียงประกาศนี้ทั้งชัดเจนและแหลมสูง เสียงใสกังวานนั้นแทบจะทะลุท้องฟ้า และดังสะท้อนไปทั่วตำหนักบูรพา เครื่องดนตรีประเภทสายและปี่บรรเลงขึ้นพร้อมกัน เคียงคู่กับระฆังชุดที่ส่งเสียงดังก้องกังวาน ราวกับว่าความน่าเกรงขาม น่าเคารพและความเคร่งขรึมของตำหนักบูรพาถูกปลุกให้ตื่น เมื่อเดินบนพรมที่นุ่มและหนาเป็นพิเศษ จินเสวี่ยยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางคิดว่าพลังของเสือยังคงอยู่ แม้ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะแสดงสัญญาณเสื่อมถอย เฉกเช่นเดียวกับชายชราที่ใกล้ตาย และมีปัญหาอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งยังเป็นปัญหาที่ไม่เล็กเลย แต่ทว่าอูฐที่ผอมก็ยังใหญ่กว่าม้า แม้จะมีเพียงโครงกระดูกก็ตาม ไม่ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะเสื่อมถอยลงเพียงใด แต่เสียนเฉาของตัวเองนั้นก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้เสียนเฉาจะเชิญช่างฝีมือกับบัณฑิตจากต้าฉินมา และขนส่งวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างเมืองหลวงที่มีเค้าโครงและขนาดเหมือนเมืองหลวงอย่าง