“เฉินทง...” หลี่เฉินตะโกนโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเขาก็จำได้ว่า ตัวเองให้เฉินทงไปทำงานบางอย่างให้ หลี่เฉินส่ายหัวและรู้สึกว่ามีคนในมือให้ใช้น้อยเกินไป และรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องหาทหารองค์รักษ์เดินหน้าขบวน โดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงเรียกขันทีที่ปฏิบัติหน้าที่นอกห้องโถง “เจ้าไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ ไปตามหาซูเจิ้นถิงแล้วบอกว่า คืนนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักบูรพาเพื่อต้อนรับคณะทูตเสียนเฉา จึงขอเชิญท่านแม่ทัพใหญ่ให้มาก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม ข้ามีเรื่องบางอย่างจะหารือกับเขา” ขันทีตัวเล็กปากแดงฟันขาวคำนับอย่างเคารพ แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ……ขณะเดียวกัน ณ จุดพักแรม ในลานบ้านซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของทูตเสียนเฉา ซึ่งมีบรรยากาศที่เคร่งขรึม จินเสวี่ยยวนนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน เราต้องคิดกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้แน่ใจว่าองค์รัชทายาทจะทรงเห็นด้วยกับคำขอของเรา ที่ส่งทหารไปยังเสียนเฉา” ในห้องโถงปิด ชายวัยกลางคนที่นั่งถัดจากจินเสวี่ยหยวนก็ยกมือขึ้นมาลูบเคราของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “เ
โจวไท่พูแบมือแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่ากระหม่อมไม่คิดหาวิธี ตรงกันข้าม นี่คือข้อสรุปที่กระหม่อมได้รับหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้” “จริงๆ แล้วเราสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจักรวรรดิต้าฉินใช่ว่าจะมีช่วงเวลาที่ดี ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำให้จักรวรรดิต้าฉินที่ดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองก็เต็มไปด้วยรูพรุน พวกเราเข้ามาจากทางเหลียวตง ไม่ต้องพูดถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติเลย แค่เจ้าหน้าที่กับทหารท้องถิ่นพวกนั้น ก็ไม่ได้รับเงินเดือนมานานแล้ว เราเห็นฉากประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่มากพออีกหรือ?” “ทุกสิ่งในเมืองหลวงยังคงสงบสุข แต่นี่เป็นเพราะเมืองหลวงเป็นแกนกลางของต้าฉิน ไม่ว่าที่อื่นจะวุ่นวายแค่ไหน ไม่ว่าที่อื่นจะเลวร้ายเพียงใด ก็ส่งผลกระทบต่อเมืองหลวงน้อยมาก เมืองหลวงเป็นอย่างไร องค์จักรพรรดิก็สามารถมองเห็นสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ที่อื่นล่ะ จักรพรรดิ์สามารถมองเห็นจักรวรรดิต้าฉินอันกว้างใหญ่ได้มากเพียงใด?” “มาพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองกันดีกว่า สถานการณ์ทางการเมืองของต้าฉินในตอนนี้ จะบอกว่าชัดเจนก็ชัดเจน จะบอกว่าเข้าใจยากก็เข้า
ชายหน้าด้านไร้ยางอายผู้นั้นที่เข้าครอบครองนางตั้งหลายครั้ง... จินเสวี่ยยวนรู้สึกโกรธจัดเมื่อคิดถึงชายผู้นั้น ก่อนหน้านี้ นางคิดเสมอว่าผู้ชายที่ไร้ยางอายคนนั้นเป็นเพียงคนหลอกลวง ที่ล่อลวงนางเพื่อสนองตัณหาของตัวเอง ซึ่งคงไม่มีวันได้เจอกันอีก และเนื่องจากนางต้องทนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียที่โง่เขลาเช่นนี้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะไม่แก้แค้น แต่โดยไม่คาดคิด ตัวเองเข้าพบขุนนางคนสำคัญในราชสำนักตั้งหลายคน ทั้งยังส่งมอบของขวัญไปให้มากมาย แต่ทว่ากลับไม่มีความคืบหน้าเลย และจู่ๆ ไอ้คนบ้ากามนั่นก็สามารถทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ นางสนใจแค่ความสุข แต่กลับไม่คิดเรื่องนั้นให้มากนัก “ไม่ได้!” จินเสวี่ยยวนเกือบจะโพล่งออกมาคำพูดสองคำของนาง ทำให้สมาชิกทุกคนในภารกิจที่เพิ่งได้สัมผัสความหวังเพียงเล็กน้อย ต่างพากันตกตะลึง ชายเคราแพะเป็นคนเปิดปากพูดเป็นคนแรกว่า “องค์หญิงทำไมจะไม่ได้ล่ะ? โจวไท่พูพูดถูก คนๆ นี้อาจจะเป็นบุคคลสำคัญจริงๆ ตราบใดที่เราสามารถหาเขาให้เจอ และสัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์มหาศาลให้ เขาจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน” “กระหม่อมยินดีจะช่วยพระองค์ในเรื่องนี้ ขอให้องค์หญิงโปรดบอกชื่อและ
โจวไท่พูหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “จะเชื่อหรือไม่ มันสำคัญด้วยหรือ?” “จักรวรรดิต้าฉินในตอนนี้ องค์รัชทายาททรงครอบครองความชอบธรรม แต่ในด้านอำนาจทางการเมือง พระองค์เป็นฝ่ายอ่อนแอ บวกภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาภัยพิบัติหรือเพื่อบรรเทาความขัดแย้งทางการเมือง องค์รัชทายาทจำเป็นต้องมีเหตุผลที่เพียงพอในการเบี่ยงเบนความสนใจของคนในประเทศและฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยก็สามารถตอบสนองความต้องการขององค์รัชทายาทได้อย่างแน่นอน” “ดังนั้น...” โจวไท่พูประสานมือไปทางจินเสวี่ยยวนแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือหาคนที่สามารถทำให้องค์รัชทายาทตกลงมาพบกับพวกเรา เขาในฐานะคนกลางจะเกริ่นนำให้กับองค์รัชทายาทก่อน เพราะถ้าหากองค์หญิงเสนอเรื่องนี้ในงานเลี้ยงโดยตรง มันจะเสี่ยงมาก และจะเป็นการทดสอบความหลักแหลมทางการเมืองขององค์รัชทายาท...และไหวพริบขององค์หญิงอีกด้วย” “หากความหลักแหลมทางการเมืองขององค์รัชทายาทซับซ้อนเพียงพอ เช่นนั้นองค์หญิงก็สามารถเสนอเรื่องนี้ในงานเลี้ยงอาหารค่ำโดยตรงได้ แต่ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และสน
คำพูดของโจวไท่พู ทำให้สีหน้าของจินเสวี่ยยวนยิ่งมืดมน เมื่อเห็นว่าจินเสวี่ยยวนไม่พูดอะไร โจวไท่พูจึงโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ส่วนตัวก็เข้ามาหาจินเสวี่ยยวน และพูดเบาๆ “องค์หญิง ทำไมไม่เสวยอาหารก่อนล่ะเพคะ ไม่ว่าพระองค์มีเรื่องหลายสิ่งที่ต้องทำ แต่ต้องทานให้อิ่มก่อนถึงจะแก้ปัญหาได้” จินเสวี่ยยวนถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันไปมองเกล็ดหิมะที่ตกลงมาทางนอกหน้าต่าง แล้วพึมพำว่า “ข้ากินไม่ลง เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”สาวใช้มองท่าทางเศร้าๆ ของจินเสวี่ยยวน จึงทนไม่ไหวต้องคุกเข่ากล่าวเสียงสั่นว่า “องค์หญิง ช่วงนี้พระองค์ทรงทำงานหนักเพื่อแก้ไขวิกฤติในประเทศ และไม่เคยยิ้มเลย ทุกคนต่างรู้ดีถึงความกังวลขององค์หญิง แต่กังวลตอนนี้ไป ก็ไม่มีทางแก้ไขได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันขอให้องค์หญิงทรงเมตตาต่อพระองค์เองด้วยเถอะเพคะ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เรื่องยังไม่ทันจะแก้ไข แต่พระวรกายก็พังทลายเสียก่อน” จินเสวี่ยยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ข้าไม่มีความอยากอาหารเลยจริงๆ...แต่ยังไงก็ช่วยทำโจ๊กให้ข้าสักชามด้วย”สาวใช้ดีใจมากจึงลุกขึ้นยืน และจับชายก
“คณะทูตเสียนเฉา มาถึงตำหนักบูรพาแล้ว!” วินาทีที่จินเสวี่ยยวนพาสมาชิกของคณะทูตเข้าสู่ตำหนักบูรพา เจ้าหน้าที่หงลู่ซื่อผู้รับผิดชอบในการประกาศการมาก็ตะโกนเสียงดัง หน้าที่พิเศษได้รับการจัดการโดยมืออาชีพ เสียงประกาศนี้ทั้งชัดเจนและแหลมสูง เสียงใสกังวานนั้นแทบจะทะลุท้องฟ้า และดังสะท้อนไปทั่วตำหนักบูรพา เครื่องดนตรีประเภทสายและปี่บรรเลงขึ้นพร้อมกัน เคียงคู่กับระฆังชุดที่ส่งเสียงดังก้องกังวาน ราวกับว่าความน่าเกรงขาม น่าเคารพและความเคร่งขรึมของตำหนักบูรพาถูกปลุกให้ตื่น เมื่อเดินบนพรมที่นุ่มและหนาเป็นพิเศษ จินเสวี่ยยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางคิดว่าพลังของเสือยังคงอยู่ แม้ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะแสดงสัญญาณเสื่อมถอย เฉกเช่นเดียวกับชายชราที่ใกล้ตาย และมีปัญหาอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งยังเป็นปัญหาที่ไม่เล็กเลย แต่ทว่าอูฐที่ผอมก็ยังใหญ่กว่าม้า แม้จะมีเพียงโครงกระดูกก็ตาม ไม่ว่าจักรวรรดิต้าฉินจะเสื่อมถอยลงเพียงใด แต่เสียนเฉาของตัวเองนั้นก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้เสียนเฉาจะเชิญช่างฝีมือกับบัณฑิตจากต้าฉินมา และขนส่งวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างเมืองหลวงที่มีเค้าโครงและขนาดเหมือนเมืองหลวงอย่าง
ด้านในพระที่นั่งคังไท่ ตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสัน แม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่ด้านในพระที่นั่งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ มีคณะดนตรีบรรเลงเพลง และนางกำนัลที่เดินไปมา นำสมาชิกของทูตเสียนเฉาแต่ละคนไปยังตำแหน่งของตนตามลำดับ บนโต๊ะมีเครื่องเคียงหลายอย่าง แม้ว่าจะไม่หรูหรามากนัก แต่แต่ละจานก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิเสทปรุงอย่างพิถีพิถัน ทั้งรูป รส กลิ่น ล้วนสมบูรณ์แบบ...แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครไร้มารยาทพอที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อน จินเสวี่ยยวนในฐานะองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะทูต ดังนั้นที่นั่งของนางจึงอยู่ด้านล่างทางขวามือของที่นั่งองค์รัชทายาท ซึ่งอยู่ตรงกลางด้านบนสุด ส่วนที่นั่งฝั่งซ้ายมือเป็นของขุนนางต้าฉิน และเนื่องจากเป็นงานเลี้ยงตำหนักบูรพา ดังนั้นขุนนางที่มาจึงมีตำแหน่งไม่ค่อยสูง ด้วยเหตุนี้จึงไม่เห็นขุนนางสำนักราชเลขาเลยสักคน เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่นั่งทางซ้ายมือระดับเดียวกับจินเสวี่ยยวนนั้นว่างเปล่า หลังจากที่คณะทูตเสียนเฉาเข้ามาในพระที่นั่งคังไท่ เหล่าทูตคนอื่นๆ ก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับเหล่าขุนนางในงานเลี้ยงทันที เห็นได้ชัดว่าไม่รู้
“เจ้าอยากตายรึ!” จินเสวี่ยยวนตกใจมาก ขนในกายถึงกับลุกพึ่บ ก่อนหน้านี้แม้หลี่เฉินจะแสดงความกล้าที่บ้าระห่ำออกมา แต่ก็ยังรู้จักหลบเลี่ยงคน แต่ที่นี่คือที่ไหน? ตำหนักบูรพา!พระที่นั่งคังไท่! เป็นสถานที่ที่องค์รัชทายาทให้การต้อนรับคณะทูตของเสียนเฉา! ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกคณะทูตเสียนเฉาของตัวเองเลย มีขุนนางขั้นที่ 5 ขึ้นไปประมาณ 5-6 คนอยู่ที่นี้ และยังมีนางกำนัลกับองค์รักษ์ที่กระจายตัวอยู่รอบๆ อย่างแน่นขนัด แต่หลี่เฉินก็ยังกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูนางอีก ท่าทางดังกล่าวได้ทำลายการป้องกันระหว่างชายหญิงสมัยโบราณแม้แต่ในหมู่ประชาชน ถ้าชายหรือหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จินเสวี่ยยวนจึงตกใจกลัวมาก นางผลักหลี่เฉินออกไปราวกับโดนไฟฟ้าช็อต และพูดอย่างตกใจปนกลัวว่า “จริงจังหน่อยสิ! หากถูกคนอื่นเห็นเข้า พวกเราจะมีปัญหา!” หลี่เฉินมองท่าทางเหมือนกระต่ายตื่นตูมของจินเสวี่ยยวนอย่างขำๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ข้าจริงจังก็ได้ แต่เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย เจ้ากำลังคิดถึงข้าอยู่หรือไม่?” จินเสว
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ
มือปืนทั้งสามแถวพอยิงพร้อมกันเสร็จสิ้นรอบหนึ่ง ก็รีบควานเอาสิ่งของกลมดำสนิทสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่คล้องอยู่ข้างกายเจ้าสิ่งนั้นดูแล้วไร้ค่าเสียยิ่งกว่าท่อนไม้ในมือของพวกเขา เป็นของที่ต่อให้ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแลแต่เมื่อมีตัวอย่างของท่อนไม้ที่กลับกลายเป็นปืนปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนของสิ่งนี้“นั่นคือสิ่งใดกัน?”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกไม่สู้ดีถาโถมเข้ามาในใจทันทีก่อนหน้านี้ที่เห็นปืนดินปืน แม้จะทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียขวัญก่อนอื่น ปืนดินปืนนั้นมิใช่ของแปลกใหม่เสียทีเดียว จักรวรรดิต้าฉินในอดีตก็เคยคิดค้นของเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเล็งได้ไม่แม่น แถมยังต้องเสียเวลายัดดินปืนใส่เข้าไป จึงมิได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายหรือพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้คนล้วนเห็นว่าอย่างไรก็ยังสู้ฝึกมือธนูที่มีกำลังแขนมากหน่อยไม่ได้และการที่หลี่เฉินนำปืนดินปืนกลับมาพัฒนาใหม่นั้นก็หาใช่ความลับไม่ ขุนนางมากมายต่างตำหนิเจ้าชายรัชทายาทว่าเอาแต่เล่นจนเสียงาน ริหลงใหลในกลไกแปลกประหลาดซึ่งถือเป็นศาสตร์นอกลู่นอกทางหลี่อิ๋นห
“ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห