ทุกวันนี้สถานการณ์กำลังยากลำบาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เกิดขึ้นติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ชาวบ้านแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเก็บภาษีเลย ท้องพระคลังว่างเปล่า แต่ก็จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงราชสำนัก จึงยากจนข้นแค้นอย่างยิ่งราชสำนักยากจน เงินเดือนของขุนนางก็ยิ่งน้อยลงไปด้วยเมื่อก่อนจางเฮ่อจือเป็นหมอหลวงที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่หกคนหนึ่ง ตำแหน่งของเขาไม่ได้สูงมากนัก เงินเดือนของเขาก็ประมาณห้าหรือหกตำลึง ด้วยเงินแค่นี้ ก็พอฝืนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัวได้ แต่ถ้าอยากจะซื้อบ้านสักหลังในเมืองหลวงก็คงทำได้แค่ฝันก่อนหน้านี้หลี่เฉินตบรับรางวัลเป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง ซึ่งเพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวกินอยู่อย่างประหยัดไปได้หลายปี เมื่อรวมกับบ้านหลังนี้แล้ว มันก็เป็นรางวัลที่คนอื่นต้องอิจฉาหลี่เฉินยิ้มจางๆเมื่อหัวหน้าให้ผลประโยชน์กับลูกน้อง ปกติแล้วจะต้องทำในที่โล่ง เพื่อให้ลูกน้องรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณ ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะตระหนักถึงข้อดีในการทำงานให้กับตัวเองได้ได้อย่างไร?หลังจากที่จางเฮ่อจือจากไป หลี่เฉินก็ยืนขึ้นและเดินไปยังพระที่
หลังจากบอกให้รอ หลี่เฉินก็ปล่อยให้ต้วนจิ่นเจียงยืนอยู่นอกตำหนักบูรพาจนถึงเที่ยงไม่มีใครมาแจ้ง จึงไม่มีข่าวว่าองค์รัชทายาทให้เขาเข้าพบหรือไม่ ดังนั้นต้วนจิ่นเจียงจึงไม่ได้จากไป แต่ยืนอยู่ที่นั่น ปล่อยให้เกล็ดหิมะร่วงลงมาใส่เดิมทีวันนี้หิมะไม่ได้ตกหนักมาก แต่หลังจากยืนอยู่ที่นั่นทั้งเช้า ต้วนจิ่นเจียงก็ดูเหมือนมนุษย์หิมะ คิ้วและผมของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งโชคดีที่ต้วนจิ่นเจียงมีประสบการณ์ทางการทหารเมื่อตอนที่ยังหนุ่ม ร่างกายของเขาจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงล้มคว่ำไปแล้วเป็นเช่นนี้จนถึงเที่ยง ตอนนั้นเองที่เฉินทงก็เดินออกมา ซึ่งต้วนจิ่นเจียงก็จวนจะพังทลายลงแล้ว“รองผู้บัญชาการเฉิน ฝ่าบาทตกลงที่จะพบข้าหรือไม่?”ต่อหน้าเฉินทง ต้วนจิ่นเจียงก็ลดท่าทางลง และประสานมือถามเฉินทงแสดงท่าทีสงบนิ่ง ไม่ประจบสอพลอหรือจงใจอวดเบ่ง เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ฝ่าบาทให้เจ้าเข้าไป”“ดี”น้ำเสียงของต้วนจิ่นเจียงฟังไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธเคืองไม่ว่าจะเป็นคนโมโหร้ายแค่ไหน แต่หลังจากยืนอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักตลอดเช้า มันก็ได้ขัดเกลาอารมณ์บ้างแล้วทันทีที่ก้าวเท้า ร่างกาย
“ไม่ต้องพิธีรีตอง”หลี่เฉินมองไปที่เสื้อผ้าของต้วนจิ่นเจียงซึ่งเปียกชื้นไปครึ่งหนึ่ง และน้ำแข็งค้างที่เกาะอยู่ตรงขนคิ้วของเขา จะเห็นได้ชัดว่าสภาพของต้วนจิ่นเจียงนั้นค่อนข้างจะทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย จากนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “ข้ามีหลายสิ่งที่ต้องทำ ปล่อยให้ใต้เท้าต้วนต้องรอนานแล้ว”ต้วนจิ่นเจียงก้มศีรษะลงแล้วประสานมือพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีหลายอย่างที่ต้องทำ กระหม่อมสามารถรอได้”“ข้ารู้สึกโล่งใจมากที่ใต้เท้าต้วนเข้าใจเหตุผลเช่นนี้”รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เฉินก็ค่อยๆ หายไป เขาจ้องมองต้วนจิ่นเจียงแล้วพูดว่า “ระหว่างท่านและข้า ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมอีกต่อไป ท่านมาที่นี่เพื่อต้วนจั่งเหมียนลูกชายของท่านใช่หรือไม่?”ต้วนจิ่นเจียงรีบคุกเข่าลงทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “กระหม่อมอบรมบุตรชายไม่ดีเอง ลูกทรพีนั่นถึงได้ล่วงเกินฝ่าบาทเข้า หากจะบอกว่าสมควรตายก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย เพียงแต่อยากให้ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา เนื่องจากตระกูลต้วนของกระหม่อมมีบุตรชายคนเดียวมาสามรุ่นแล้ว และกระหม่อมก็มีเพียงบุตรชายผู้นี้เท่านั้นที่จะสืบเชื้อสายตระกูลต่อไปได้”“การล่วงเกิน
ความกดดันลึกๆ ในใจ และความลับกว่าสิบปีก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจ ใบหน้าของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเขา แต่ความซีดเซียวนี้ก็หายไปในพริบตา ทว่าในสายตาของหลี่เฉินนั้นมันชัดเจนราวกับไฟ สีหน้าของเขายังคงสงบเยือกเย็น และกล่าวอย่างสงบว่า “เสียงร่ำไห้ของดวงวิญญาณทหารชายแดนนับหมื่นคน และเสียงกรีดร้องของพลเรือนนับหมื่น ยังคงกึกก้องทั่วท้องฟ้าของจักรวรรดิทั้งกลางวันและกลางคืน หากคดีนี้ไม่ได้รับความกระจ่าง ก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะปลอบโยนดวงวิญญาณของคนตายได้” สีหน้าของต้วนจิ่นเจียงพลันซีดลง ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่เฉินกำลังพูดเป็นนัยๆ และทุกคำพูดของเขาก็ราวกับมีด ที่พยายามจะผ่าหน้าอกของเขาออก และเผยให้เห็นความลับที่ลึกที่สุดในใจของเขาที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ฝ่าบาท คดีนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากต้องการเริ่มการสอบสวนใหม่ เราจำเป็นต้องหารือกับสำนักราชเลขาหรือไม่” หลี่เฉินกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าใต้เท้าต้วนก็เป็นสมาชิกของสำนักราชเลขาหรอกหรือ?” ต้วนจิ่นเจียงตกตะลึง และเงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินด้วย
เวลาอากาศข้างนอกหนาวจัดและหิมะตกหนัก แต่ภายในพระที่นั่งสีเจิ้งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เพียงแต่ต้วนจิ่นเจียงไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่น กลับรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกแช่ในน้ำเย็น และยืนรับลมหนาวที่ริมชายฝั่งซึ่งพัดเข้ามา หนาว หนาวไปถึงกระดูกจนทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านสถานการณ์พลิกผัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในแผนการนี้ไม่ใช่การฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด แต่เป็นการทำให้คนที่ยังมีชีวิต ก้าวไปสู่ความสิ้นหวังทีละก้าว องค์รัชทายาทได้เตรียมการอะไรบางอย่าง และหลังจากที่แน่ใจว่าฟู่อวี้จือในสำนักราชเลขาจะไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ผู้ชนะเพียงคนเดียวก็คือตัวเขาเอง ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดหลักในโศกนาฏกรรมในปีนั้น ก่อนที่ต้วนจิ่นเจียงจะเข้าสู่ตำหนักบูรพา เขาไม่เคยคิดว่าองค์รัชทายาทจะใช้กลอุบายบีบบังคับให้เขาตกลงที่จะเปิดการสืบสวนคดีในปีนั้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเทียบเท่ากับการยื่นมีดให้องค์รัชทายาทด้วยตัวเอง และเป็นมีดที่สามารถสังหารคนทั้งกลุ่มได้ เมื่อมองไปทางองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีความสงบนิ่งและเยือกเย็น ต้วนจิ่นเจียงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่จ้าวเสวียนจีพูดกับเขา ในตอนที่เขาไปปรึก
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แรงกดดันของต้วนจิ่นเจียงก็เพิ่มขึ้นทุกขณะ เมื่อหลี่เฉินดื่มชาเสร็จ ก็มีเสียงรายงานจากเฉินทงดังมาจากนอกห้องโถง “ฝ่าบาท” เมื่อได้รับอนุญาตจากหลี่เฉิน หลังจากเฉินทงเดินเข้ามาในห้องโถงก็โค้งคำนับ จากนั้นก็เหลือบมองต้วนจิ่นเจียง และลังเลที่จะพูด “พูดมาเถอะ” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็น เฉินทงประสานมือรายงานว่า “ในคุก ต้วนจั่งเหมียนทนไม่ไหวกับการทรมาน จึงชนกำแพงตาย” ต้วนจิ่นเจียงเบิกตากว้าง และถามอย่างกังวลว่า “ตอนนี้ลูกชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เฉินทงไม่สนใจเขา แต่รอคำพูดของหลี่เฉิน หลี่เฉินแทบจะหัวเราะออกมาดังๆ ต้วนจั่งเหมียนหนอต้วนจั่งเหมียน เลือกเวลาฆ่าตัวตายได้เหมาะสมที่สุด “แล้วตายหรือยัง?” หลี่เฉินถาม เฉินทงตอบ “เขาถูกพบได้ทันเวลา และได้รับการช่วยเหลือแล้ว เพียงแต่จิตใจของเขาเริ่มบ้าเล็กน้อย กระหม่อมเกรงว่าเขาจะทนอยู่ได้ไม่นาน” จากนั้นหลี่เฉินก็เหลือบมองไปที่ต้วนจิ่นเจียง แต่ไม่ทันที่หลี่เฉินจะได้พูด ต้วนจิ่นเจียงก็คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “กระหม่อมจะทำทุกอย่างที่ฝ่าบาทพระราชดำรัสสั่ง” เมื่อวางถ้วยชาลง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าข
“เฉินทง...” หลี่เฉินตะโกนโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเขาก็จำได้ว่า ตัวเองให้เฉินทงไปทำงานบางอย่างให้ หลี่เฉินส่ายหัวและรู้สึกว่ามีคนในมือให้ใช้น้อยเกินไป และรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องหาทหารองค์รักษ์เดินหน้าขบวน โดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงเรียกขันทีที่ปฏิบัติหน้าที่นอกห้องโถง “เจ้าไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ ไปตามหาซูเจิ้นถิงแล้วบอกว่า คืนนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักบูรพาเพื่อต้อนรับคณะทูตเสียนเฉา จึงขอเชิญท่านแม่ทัพใหญ่ให้มาก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม ข้ามีเรื่องบางอย่างจะหารือกับเขา” ขันทีตัวเล็กปากแดงฟันขาวคำนับอย่างเคารพ แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ……ขณะเดียวกัน ณ จุดพักแรม ในลานบ้านซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของทูตเสียนเฉา ซึ่งมีบรรยากาศที่เคร่งขรึม จินเสวี่ยยวนนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน เราต้องคิดกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้แน่ใจว่าองค์รัชทายาทจะทรงเห็นด้วยกับคำขอของเรา ที่ส่งทหารไปยังเสียนเฉา” ในห้องโถงปิด ชายวัยกลางคนที่นั่งถัดจากจินเสวี่ยหยวนก็ยกมือขึ้นมาลูบเคราของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “เ
โจวไท่พูแบมือแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่ากระหม่อมไม่คิดหาวิธี ตรงกันข้าม นี่คือข้อสรุปที่กระหม่อมได้รับหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้” “จริงๆ แล้วเราสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจักรวรรดิต้าฉินใช่ว่าจะมีช่วงเวลาที่ดี ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำให้จักรวรรดิต้าฉินที่ดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองก็เต็มไปด้วยรูพรุน พวกเราเข้ามาจากทางเหลียวตง ไม่ต้องพูดถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติเลย แค่เจ้าหน้าที่กับทหารท้องถิ่นพวกนั้น ก็ไม่ได้รับเงินเดือนมานานแล้ว เราเห็นฉากประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่มากพออีกหรือ?” “ทุกสิ่งในเมืองหลวงยังคงสงบสุข แต่นี่เป็นเพราะเมืองหลวงเป็นแกนกลางของต้าฉิน ไม่ว่าที่อื่นจะวุ่นวายแค่ไหน ไม่ว่าที่อื่นจะเลวร้ายเพียงใด ก็ส่งผลกระทบต่อเมืองหลวงน้อยมาก เมืองหลวงเป็นอย่างไร องค์จักรพรรดิก็สามารถมองเห็นสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ที่อื่นล่ะ จักรพรรดิ์สามารถมองเห็นจักรวรรดิต้าฉินอันกว้างใหญ่ได้มากเพียงใด?” “มาพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองกันดีกว่า สถานการณ์ทางการเมืองของต้าฉินในตอนนี้ จะบอกว่าชัดเจนก็ชัดเจน จะบอกว่าเข้าใจยากก็เข้า