คำว่าออกไปซะ ทำให้คุณชายที่อยู่ที่นั่นต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นสุดขีด กี่ปีแล้วนะ กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้ยินคนพูดคำนี้กับต้วนจั่งเหมียน?ทุกคนลองสมมุติว่า ถ้าหากตัวเองถูกฉีกหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ และโดนด่าว่าให้ออกไปซะ ความรู้สึกนั้น คงเหมือนกับโดนแทงตรงๆ สำหรับทายาทขุนนางเหล่านี้ การเสียหน้า ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ต้วนจั่งเหมียนกัดฟันจนแทบหักปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด ขณะตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นดิน เขาตะโกนด้วยความโกรธว่า “ก็แค่สุนัขตามก้นของซูผิงเป่ย แล้วอย่างไรล่ะ? เขาเข้าไปในห้องขององค์หญิงเสียเฉาหรือเปล่า”ต้วนจั่งเหมียนหัวเราะเยาะ หลังจากเช็ดเลือดกำเดาตรงจมูกออก เลือดที่แดงและเหนียวก็เปื้อนไปทั่วหน้า ทำให้เขาดูน่ากลัวและน่าตลก“เขากล้าที่จะบุกเข้าไปในห้องส่วนตัวขององค์หญิงจิน? นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองประเทศ ระวังจะเสียหัว!”ต้วนจั่งเหมียนเพิ่งจะพูดจบ ก็มีเสียงอุทานด้วยความตกใจของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมาจากด้านใน “เจ้าเข้ามาได้อย่างไร!?”ทุกคนที่นี่ ล้วนเคยพบจินเสวี่ยยวนมาแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ถูกความงามทำให้หลงใหลเช่นนี้หรอก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ได้ทันทีว่
จินเสวี่ยยวนสละความบริสุทธิ์ของนาง แล้วหลี่เฉินจะช่วยให้นางได้พบกับองค์รัชทายาทนี่เป็นข้อตกลงที่ทั้งสองเคยเจรจากันมาก่อนจินเสวี่ยยวนคิดว่าหลี่เฉินแค่หาข้ออ้างรังแกนาง แต่ไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินจะนำข่าวมาจริงๆนางรีบถามทันทีว่า “ได้ข่าวว่าอย่างไร? องค์รัชทายาทตกลงจะพบข้าหรือไม่?”“พบองค์รัชทายาทหรือ”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “จะบอกว่าง่ายก็ง่าย จะบอกว่ายากก็ยาก”สีหน้าของจินเสวี่ยยวนพลันเย็นชา “เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอย่างนั้นหรือ?”“อดทนและฟังสิ่งที่ข้าจะพูด”หลี่เฉินรู้สึกเหนื่อย จึงเอนตัวไปบนเก้าอี้เบาะนุ่ม จากนั้นก็ชี้ไปยังองุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะชาเล็กๆ จินเสวี่ยยวนตาโต ก่อนจะพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลี่เฉินพูดออกไปตามตรงว่า “ป้อนข้า”จินเสวี่ยยวนกัดฟันแน่น นางแทบทนไม่ไหวอยากจะชักมีดออกมาแทงหลี่เฉินให้ตายเพื่อบรรเทาความโกรธของนาง “ฝันไปเถอะ!”จินเสวี่ยยวนพูดอย่างดื้อรั้น “ไม่ว่าข้าจะผิดหวังแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรเสียนเฉา เจ้าจะทำเช่นนั้นกับข้าได้อย่างไร? ให้ข้าทำตัวเป็นสาวใช้ของเจ้า?”“เพื่อให้เจ้าได้พบกับองค์รัชทายาท”หลี่เฉินกล่าวด้วยร
ร่างกายของหลี่เฉินที่แนบชิดนางเต็มไปด้วยกลิ่นไอของบุรุษเพศ จุดอ่อนไหวด้านหลังของนางถูกมือของชายหนุ่มลูบคลำ ใบหน้างามของจินเสวี่ยยวนจึงค่อยๆ แดงก่ำดุจโลหิตภาพที่ไม่น่าดูของพวกเขาทั้งสองคนในร้านอาหารวันนั้น ก็แวบขึ้นมาในหัวของนาง จินเสวี่ยยวนรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธ นางพยายามดิ้นหนีและพูดว่า “เจ้า เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”หลี่เฉินกอดจินเสวี่ยยวนแน่นไม่ยอมปล่อย เรือนร่างของสตรีที่กำลังบิดตัวหนีนั้น ยิ่งกระตุ้นประสาทสัมผัสให้แข็งแกร่งขึ้นเขาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก เราทุกคนเห็นพ้องกันว่านี่คือข้อตกลง และเจ้าก็ตกลง ตอนนี้พอข้าทำภารกิจสำเร็จก็คิดจะเบี้ยว?”จินเสวี่ยยวนเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่บนโลก“เจ้า...ไม่ใช่ว่าวันนั้นเจ้าก็รับไปแล้วรึ!?”เพื่อแยกแยะถูกผิด จินเสวี่ยยวนจึงทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายยกเรื่องในวันนั้นขึ้นมาพูด...“ดูสิ่งที่พูดสิ เช่นนั้น ถ้าวันนี้เจ้ากินข้าวแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกินอีกหรือ?”หลี่เฉินพูดอย่างมั่นใจ “ข้าไม่เคยพูดว่าข้าต้องการมันกี่ครั้ง”จินเสวี่ยยวน
เสื้อนอก ผ้าคาดเอว กระโปรง เสื้อซับใน ตู้โตว...เสื้อผ้าทั้งนอกและในล้วนถูกโยนลงจากแท่นบุนวมทีละชิ้นหลังจากถอดเสื้อผ้า หนุ่มสาวก็พากันแนบชิดพัวพันกันบนแท่นบุนวมที่เล็กแคบนั่น หลี่เฉินก็แนบกายใกล้ชิดกับจินเสวี่ยยวนหลี่เฉินอยู่ภายใต้ความกดดันมากเกินไป และมีหลายสิ่งที่ต้องกังวลมากเกินไปทำให้ดูเหมือนกับว่าตอนนี้วินาทีนี้ ร่างอรชรอ้อนแอ้นของสตรีในอ้อมแขนของเขา สามารถทำให้เขาลืมสิ่งที่น่ารำคาญเหล่านั้นได้ชั่วคราวยามที่มังกรทะลวงผ่านดวงอาทิตย์ จินเสวี่ยยวนก็ส่งเสียงร้องออกมา นางอ้าปากแล้วกัดไปที่ไหล่ของหลี่เฉิน ราวกับว่าจะระบายความโกรธของนาง ชนิดที่ว่าแม้ตายก็ไม่ปล่อย ฉับพลันเลือดก็ไหลรินออกมา หลี่เฉินรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงจุดบอบบางที่ไหล่ ราวกับมีเข็มแทงใจ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกับความรู้สึกที่แน่นตึงสร้างความแตกต่างที่ไม่มีอะไรเทียบได้ประหนึ่งน้ำแข็งกับไฟนอกจุดพักแรมในขณะนี้ต้วนจั่งเหมียนที่จากไปแล้วก็กลับมาอีกครั้งคราวนี้ เขาได้นำคนกลุ่มใหญ่มาด้วยซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้คุ้มกันที่เขานำมาจากบ้านมีมากกว่ายี่สิบคนแม้จะเรียกว่าเป็นผู้คุ้มกัน แต่พวกเขาล้
ทันทีที่เขาเห็นซูผิงเป่ย ใบหน้าของต้วนจั่งเหมียนก็พลันซีดลงเขากลัวซูผิงเป่ยมาก ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ เขาคงไม่หนีด้วยความสิ้นหวังเมื่อเห็นป้ายแขวนเอวของซูผิงเป่ยหรอก หลังจากที่รู้ว่าซูผิงเป่ยไม่มีญาติหรือสหายในเมืองหลวง เขาก็รีบนำคนกลับมาทันทีในแวดวงของเหล่าคุณชายชั้นสูงในเมืองหลวงนั้น มีใครไม่รู้บ้างว่าซูผิงเป่ยเผด็จการที่สุด?สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับซูผิงเป่ยไม่ใช่แค่นิสัยเผด็จการของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความจริงที่ว่าเขามีสมอง และยังสามารถใช้กลอุบายต่างๆ ได้หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า จวนแม่ทัพใหญ่ค่อยๆ ตกต่ำลง จ้าวไท่ไหลคงไม่มีทางได้เฉิดฉายหรอก“ซูผิงเป่ย เจ้าจะลุยน้ำโคลนนี่ด้วยหรือ?” ต้วนจั่งเหมียนกัดฟันพูดซูผิงเป่ยเบะปากพูดตามตรง เนื่องจากเขากอดต้นขาทองคำ ตอนนี้จึงดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์อวี่หลินแห่งค่ายเป่ยต้า เขาจึงมีพลังที่แท้จริงอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจศึกชิงรักหักสวาทของเหล่าคุณชายพวกนี้เลยเพียงแต่ว่าองครักษ์เสื้อแพรขอให้เขาจัดการเรื่องนี้ตามคำสั่งของต้นขาทองคำ ดังนั้นซูผิงเป่ยก็จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอนเขาเดินเข้าไปหาต้วนจั่งเหม
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหลี่เฉินโผล่หน้าออกมาจากทางหน้าต่าง ต้วนจั่งเหมียนกัดฟันจนแทบแตก แม้จะพบกันเพียงแค่สองครั้ง แต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ต้วนจั่งเหมียนก็ถูกชายผู้นี้สั่งให้ลูกน้องโยนเขาออกไปเหมือนกับทิ้งขยะ ตอนนี้เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาพบกัน ทว่าตัวเขานั้นกลับกลายเป็นนักโทษไปแล้วแม้ต้วนจั่งเหมียนจะแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา แต่หน้าตาของเขาก็ถูกทำลายจนยับเยินไปแล้ว“เจ้าเป็นใคร!”ต้วนจั่งเหมียนในตอนนี้มีหรือจะมองไม่ออกว่าการที่ซูผิงเป่ยปรากฏตัวที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับหลี่เฉินโดยตรง แต่เขาคิดจนหัวแทบแตกก็ยังนึกไม่ออกว่า ตัวตนของหลี่เฉินเป็นใครกันแน่ ถึงได้ทำให้ซูผิงเป่ยคอยปรนนิบัติรับใช้เช่นนี้ได้หลี่เฉินเหลือบมองต้วนจั่งเหมียนด้วยสายตาเนื่อยๆ เขาไม่สนใจจะพูดคุยกับคุณชายเสเพลพวกนี้หรอกขณะที่หลี่เฉินกำลังจะพูด เรียวแขนดุจรากบัวหิมะก็ยื่นออกมาจ่อที่ปากของเขา ในนิ้วกลมมนนั้นถือองุ่นที่ปอกเปลือกแล้วไว้ลูกหนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคน หลี่เฉินก็เปิดปากของเขาและกินองุ่นที่ถูกป้อนมาฉากนี้ ทำให้ต้วนจั่งเหมียนอิจฉาจนแทบคลั่งเขารู้ว่า ห้องนั้นคือห้องของจินเสวี่ยยวน องค์หญิง
จินเสวี่ยยวนไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลี่เฉินเลยแต่นางรับรู้โดยสัญชาตญาณว่า หลี่เฉินกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ถ้าตะพาบน้อยคือต้วนจั่งเหมียน แล้วตะพาบแก่คือใครล่ะ?ต้วนจิ่นเจียง?ขุนนางคนสำคัญของสำนักราชเลขาปัจจุบัน มหาอำมาตย์เหวินเก๋อ ต้วนจิ่นเจียง?ความคิดนี้ทำให้จินเสวี่ยยวนตกใจนางมองไปที่หลี่เฉินด้วยความหวาดกลัว และอุทานอย่างตกใจว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลังจากปิดหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นมาก หลี่เฉินเอื้อมมือออกจากผ้าห่มแล้วดึงจินเสวี่ยยวนเข้ามา“อย่าคิดมากไปเลย เจ้าควรจะเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงในคืนพรุ่งนี้ และคิดหาวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาทช่วยพวกเจ้า แต่ก่อนหน้านั้น มาสนุกกับข้าอีกสักรอบจะดีกว่า”คำพูดของหลี่เฉินนั้นฟังดูเหมือนลูกค้าที่กำลังหยอกล้อสตรีในหอโคมเขียวหรือซ่องทำให้ศักดิ์ศรีของจินเสวี่ยยวนเหมือนถูกโจมตีอย่างหนักนางพยายามดิ้นหนี ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“ปล่อยข้านะ ไอ้ชาติชั่ว!”“หากบุรุษในใต้หล้าทำตัวเป็นปราชญ์เมธีที่ไม่ใกล้ชิดกับสตรี คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความสูญเสียที่สุดก็คือบุรุษนั่นแหละ หรือเจ้า สตรีเช่นเจ้าที่สามารถทำให้ผู้ชายจ
คำพูดของซูผิงเป่ย ทำให้หลี่เฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ซูผิงเป่ยต้องรอเก้อ“เอาล่ะ ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามนั้นเถอะ”หลี่เฉินมุ่งหน้าออกจากจุดพักแรม เขาเอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “แต่วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก มีหลายสิ่งที่ข้าไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งหมด จึงปล่อยให้เจ้าลงมืออย่างอิสระ ตรรกะความเข้าใจของเจ้าก็ไม่เลว ถือว่ามีไหวพริบเลยทีเดียว”ซูผิงเป่ยยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที“ทั้งหมดนี้ต้องขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมเพียงทำตามขั้นตอนเท่านั้น”“สิ่งที่เจ้าพูด นับว่าต่ำกว่ามาตรฐาน”หลี่เฉินเหลือบมองซูผิงเป่ยแล้วพูดว่า “หากคนที่ข้าใช้งาน รู้แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าใช้งานคนผิดอย่างนั้นหรือ?”ทันใดนั้นซูผิงเป่ยก็ตื่นตระหนกขึ้นมา และไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี แต่หลี่เฉินก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เอาล่ะ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง อย่ากังวลไปนักเลย”หลี่เฉินส่ายหน้า เมื่อสถานะสูงขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลเลยหากจะบอกว่ายิ่งสูงยิ่งโดดเดี่ยว คำพูดธรรมดาบางคำ แต่คนด้านล่างกลับครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเข้าใจมันเมื่อเดินออกจากประตูจุดพักแรม หลี
"เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งข้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยตรง ท่านกล้าคิดแตะต้องอำนาจผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้า พรุ่งนี้ ท่านคงคิดจะปลดข้าจากตำแหน่งองค์รัชทายาท มะรืนนี้ ท่านจะไม่คิดขึ้นนั่งบัลลังก์นั้นเองหรือ?"ขณะกล่าว หลี่เฉินชี้ไปยังพระแท่นบัลลังก์อันโอ่อ่าและงดงามตระการตา แต่กลับว่างเปล่าไร้ผู้ประทับนั่นคือบัลลังก์ที่แทนความเป็นจอมราชันย์ของแผ่นดินบัลลังก์นี้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะประทับได้คำกล่าวนี้แทบจะแทงทะลุหัวใจของจ้าวเสวียนจีโดยตรง"องค์รัชทายาท!"จ้าวชิงหลานกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา "หยุดโต้เถียงเสียที หรือท่านคิดจะไม่ฟังคำของข้าอีกแล้ว? นี่ข้าเองก็ควบคุมท่านไม่ได้แล้วหรือ?"แคว้นต้าฉินยึดถือการสร้างชาติด้วยอาวุธ และการปกครองด้วยความกตัญญูดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่เฉินไม่สามารถตอบรับคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาได้เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ลูกย่อมเคารพเสด็จแม่ แต่ต้องดูว่าเรื่องใด หากเสด็จแม่สมคบกับญาติฝ่ายใน หวังทำลายราชวงศ์หลี่ที่สั่งสมมากว่าร้อยปี ลูกก็ขออภัยที่ไม่อาจนิ่งเฉยได้"สีหน้าของจ้าวชิงหลานซีดเผือด ดวงตาดุจหงส์เต็มไปด้วยความโกรธ นางตวาดว
วังหลังมิอาจยุ่งเกี่ยวกับการปกครองแผ่นดินยังคงเป็นคำกล่าวนี้จ้าวชิงหลานเพียงได้ยินคำนี้ก็เกิดโทสะเพราะคำกล่าวนี้ หลี่เฉินใช้มันมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งก็สามารถทำให้นางเงียบงันไร้คำตอบแต่ครั้งนี้ จ้าวชิงหลานไม่คิดจะปล่อยผ่านเพราะครั้งนี้ นางมีการสนับสนุนจากจ้าวเสวียนจี และกลุ่มขุนนางทั้งหมด นางจำต้องลุกขึ้นยืนหยัดเรื่องกฎระเบียบอะไรนั่น ล้วนถูกกำหนดโดยมนุษย์ หากมีกำลังมากพอ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้บัดนี้ จ้าวชิงหลานมั่นใจว่าฝ่ายนางมีพลังมากเพียงพอ"วังหลังย่อมมิอาจยุ่งเกี่ยวกับการปกครอง แต่วันนี้ สิ่งที่ข้าจัดการคือเรื่องภายในราชสำนัก แม่ทัพซูคิดว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ?"เมื่อสนทนากับซูเจิ้นถิง แม้ว่าจ้าวชิงหลานจะไม่พอใจเพียงใด ก็ยังต้องระมัดระวังท่าที มิอาจใช้วาจากล่าวตวาดเหมือนกับที่ทำต่อหลิวถงปี้ดังนั้น คำพูดของจ้าวชิงหลานแม้จะเย็นชา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเสียมารยาทซูเจิ้นถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มซับซ้อนในตอนนั้นเอง จ้าวเสวียนจีกล่าวขึ้นว่า "ตามธรรมเนียม หากฝ่าบาททรงพระประชวร หรือเสด็จออกตรวจแผ่นดินและไม่สามารถปกครองได้ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค
ซูผิงเป่ยไร้ซึ่งอารมณ์บนใบหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นน่าขันสิ้นดี องค์รัชทายาทถึงกับยอมเปิดศึกกับสำนักราชเลขาและกลุ่มขุนนางทั้งปวงเพื่อปกป้องตนเอง เขาจะมามีจิตใจอ่อนโยนในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไรเมื่อคิดได้ดังนั้น ซูผิงเป่ยจึงมองหลี่เฉินด้วยสายตาร้อนแรงและมุ่งมั่นตั้งแต่บัดนี้ ซูผิงเป่ยก็ตั้งมั่นว่า เพื่อองค์รัชทายาทแล้ว แม้จะต้องตาย เขาก็ยอมเสียงกรีดร้องอันแหลมเล็กและโหยหวนของซั่งกวนเจาค่อยๆ เลือนหายไปจนในที่สุด เสียงนั้นก็เงียบหายไปอย่างสิ้นเชิงพระที่นั่งไท่เหอยังคงเงียบสงัดแม้จ้าวเสวียนจีจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าจ้าวเสวียนจีไม่มีทางยอมเรื่องนี้โดยง่ายตั้งแต่ตำหนักบูรพามีอำนาจมา สำนักราชเลขาก็ต้องยอมอ่อนข้อครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงจุดที่ถอยไม่ได้อีกต่อไปจากท่าทีของจ้าวเสวียนจีในวันนี้ก็พอจะเห็นได้ หากองค์รัชทายาทยังดึงดันในเรื่องของซั่งกวนเจา จ้าวเสวียนจีย่อมต้องกลายเป็นศัตรูกับองค์รัชทายาทแน่แต่องค์รัชทายาทก็เลือกจะประหารซั่งกวนเจา เพื่อแสดงให้จ้าวเสวียนจีเห็นบัดนี้ ถึงคราวที่จ้าวเสวียนจีต้องลงมือแล้ว“องค์รัชทายาทดึงดันเช่นนี้ มิฟังผู้ใด
หลี่เฉินไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น หรือสำนักราชเลขาตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของเขามีเพียงซั่งกวนเจาคนเดียวและตอนนี้ คนที่จะถูกสังหารก็คือซั่งกวนเจาเหตุการณ์ในวันนี้ แม้ดูเหมือนเป็นเรื่องของชีวิตซั่งกวนเจา แต่ในความจริงแล้ว มันคือการปะทะกันระหว่างสำนักราชเลขาและตำหนักบูรพาสองกลุ่มการเมืองใหญ่หากซั่งกวนเจาถูกประหาร จ้าวเสวียนจีย่อมดิ้นรนจนถึงที่สุด นำขุนนางฝ่ายบุ๋นที่หวาดกลัวลุกขึ้นต่อต้านแต่หากซั่งกวนเจาไม่ถูกประหาร บารมีของหลี่เฉินย่อมสูญสิ้น ไม่เพียงแต่ถูกขุนนางฝ่ายบุ๋นมองข้าม แม้แต่ความเชื่อมั่นที่เขาเพิ่งสร้างในหมู่ขุนนางฝ่ายบู๊ก็จะพังทลายไม่มีใครอยากติดตามผู้นำที่ปล่อยให้ตนเองถูกข่มเหงและกล่าวหาโดยไม่ทำสิ่งใดตอบโต้เมื่อหลี่เฉินกล่าวจบ เหล่าทหารองครักษ์หลวงที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ก็ก้าวออกมาจับตัวซั่งกวนเจาทันทีรอยยิ้มบนใบหน้าของซั่งกวนเจาเลือนหายไปในพริบตา เขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินจะกล้าตัดสินประหารเขา แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากขุนนางทั้งพระที่นั่ง ในความหวาดกลัวจนหัวใจแทบหลุดออกมา ซั่งกวนเจาตะโกนเสียงดังว่า "ผู้อาวุโส…!"“ใครกล้าแตะ!”เสียงตะโกน
ความเงียบภายในพระที่นั่ง ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งใดจะพูดแต่เป็นเพราะทุกคนกำลังรอให้หลี่เฉินปริปากในความเงียบงันนี้ เป็นเหมือนการสะสมพลังเพื่อความขัดแย้งที่ใหญ่ยิ่งกว่าในภายหลังความขัดแย้งนี้ แม้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ก็มาพร้อมกับความไม่คาดคิดทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไปพูดตามตรง มันเกินความคาดหมายของหลี่เฉินไปบ้างเขารู้ว่าจ้าวเสวียนจีต้องลงมือทำบางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเลือกจะสกัดจับจดหมายของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ส่งไปยังแคว้นเหลียว หลี่เฉินรู้ทันทีว่า คนเฒ่าผู้นี้เริ่มหมดความอดทนแล้วแต่เพราะความสัมพันธ์อันเข้าใจกันระหว่างเขากับจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินประมาทความสามารถของจ้าวเสวียนจีไปบ้างแต่ตอนนี้ ท่อนไม้ขนาดใหญ่นี้ได้ฟาดหัวของหลี่เฉินจนสติกลับมาถ้าเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาที่มีความรู้จากประวัติศาสตร์หลายพันปี จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จ้าวเสวียนจีที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ คงกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วในยุคสมัยศักดินา คนที่สามารถเดินเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้ ย่อมไม่มีใครธรรมดาแน่นอนเหตุการณ์ขุนนางกดดันเจ้าเหนือหัวนั้น ถือเป็นเ
จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เสนาบดีซั่งกวนก็แค่ทำหน้าที่ของตน หากองค์ชายทรงมีความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ขุนนางในวังทั้งหมด จะมีใครกล้ารายงานสิ่งใดได้?""ยิ่งไปกว่านั้น ซั่งกวนเจาในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ ย่อมมีอำนาจในการตรวจสอบการทหาร หากเขาพบสิ่งที่ผิดปกติ ก็ย่อมควรทำการสอบสวน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะเป็นการเข้าใจผิด ก็สามารถอธิบายได้ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าแม่ทัพซูผิงเป่ยเป็นผู้ที่เปิดเผยและไร้ซึ่งความคดโกง องค์ชายจะทรงทำถึงเช่นนี้เพื่ออะไร?"การเผชิญหน้าครั้งนี้ เปลี่ยนจากการที่ซูผิงเป่ยและซั่งกวนเจาเถียงกันไปเป็นการเผชิญหน้าระหว่างหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจีแทนทุกคนในพระที่นั่งต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตึงเครียดและดุเดือดโดยปกติแล้ว องค์รัชทายาทและผู้อาวุโสจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็จะพูดจาครึ่งๆ กลางๆ และถอยกันไปคนละก้าว เพื่อรักษาความสงบในวังแต่วันนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะแตกต่างออกไปทั้งสองฝ่ายที่ดูเหมือนจะโต้แย้งกันเรื่องชีวิตของซั่งกวนเจา กลับกลายเป็นการปะทะกันครั้งแรกระหว่างสองกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าฉินเมื่อทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาจึงย
หากปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป องค์รัชทายาทย่อมมีเหตุผลที่จะเอาผิดตนตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นวีรบุรุษ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องรับโทษหนักแล้วและองค์รัชทายาทที่จับจุดอ่อนไว้ได้ ย่อมไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอนด้วยความหวาดกลัว ซั่งกวนเจาจึงตัดสินใจสู้กลับ เขาตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ความจริงก็คือความจริง ท่านยอมรับเองว่าทำผิดพลาด เช่นนั้นท่านก็ควรรับผิดชอบ”ซูผิงเป่ยหัวเราะเยาะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเสนาบดีซั่งกวนหมายถึงความจริงใด แต่ในสายตาของข้า ความจริงก็คือ...มีคนในแคว้นของเราสมคบกับแคว้นอื่นและขายข่าวกรองของกองทัพเราให้แก่ตงอิ๋ง!”“เรื่องนี้ ข้ามีหลักฐานเป็นคำสารภาพที่เขียนด้วยลายมือของคุโซะจิกิโยทาโร่ ผู้ที่ข้าจับตัวมาได้ก่อนหน้านี้ เขายอมรับว่า มีคนส่งข่าวกรองของกองทัพเราให้เขา จนเขาสามารถจัดการรับมือได้”ดวงตาของซูผิงเป่ยเปล่งประกายดุจสายฟ้าฟาด กวาดมองไปรอบพระที่นั่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “และคนผู้นั้น อาจจะอยู่ในพระที่นั่งนี้ด้วย!”คำพูดที่ไม่คาดคิดนี้เปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางส่วนใหญ่
ร่างกายช่วงบนที่เต็มไปด้วยบาดแผลเป็นไขว้กันไปมา สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นอย่าว่าแต่บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นเลย แม้แต่ขุนนางฝ่ายบู๊เองก็ยังอดชื่นชมซูผิงเป่ยไม่ได้บาดแผลเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศซูผิงเป่ยมองไปยังซั่งกวนเจา พลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้านำกองทัพออกจากเมืองหลวง จนถึงวันที่กลับมา การเข้าสู่เสียนเฉาเพื่อทำสงครามกับตงอิ๋ง ใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยหกวัน”“ในหนึ่งร้อยหกวันนี้ กองทัพของข้าเข้าปะทะกับกองทัพตงอิ๋งที่มีขนาดเกินพันคน ทั้งใหญ่และเล็ก รวมทั้งหมดสามร้อยยี่สิบห้าครั้ง เฉลี่ยแล้วมากกว่าสามครั้งต่อวัน และศึกระดับกองทัพที่มีกำลังพลมากกว่าหมื่นคนเกิดขึ้นสามสิบสี่ครั้ง ในจำนวนนี้ ข้าลงไปร่วมศึกเองยี่สิบแปดครั้ง”“จากยี่สิบแปดศึก ข้าได้รับบาดเจ็บหกครั้ง ข้าราชบริพารประจำตัวที่ข้านำออกไปด้วยมีทั้งหมดสี่สิบคน กลับมาครบสี่สิบคน แต่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทุกคน เพราะเมื่อคนเก่าตายในสนามรบ คนใหม่ก็ต้องถูกส่งมาแทน บางคนถึงกับถูกเปลี่ยนหลายรอบ”“ข้าไม่กล้าพูดว่าตนเองกล้าหาญไร้เทียมทาน แต่ข้าทำทุกอย่างสุดกำลังแล้ว”“สำหรับศึกที่ทุ่งราบฟู่หู่ซานที่ท่านพูดถึงนั้น ข้าไ
คำถามนี้ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ซูเจิ้นถิง ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว ดวงตาสะท้อนความเคร่งเครียดออกมาหากจะพูดกันตามตรง การบัญชาการศึกตลอดทั้งแผนการของซูผิงเป่ยนั้นถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้คุมศึกขนาดกลางครั้งแรกก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่ในสนามรบ ไม่มีใครไร้ข้อผิดพลาด และซูผิงเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่การรบในทุ่งราบภูเขาฝูหู่ ก่อนศึกใหญ่กับตงอิ๋งเพื่อยุติสงครามให้รวดเร็ว ซูผิงเป่ยเลือกเปิดศึกตัดสินโดยพลการซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ของเราถูกฝ่ายตงอิ๋งจับไต๋ได้ และใช้แผนลวงตอบโต้กลับจนกองทัพกลางที่ซูผิงเป่ยบัญชาการถูกล้อมตี ทำให้กองทัพปีกซ้ายและขวาต้องละทิ้งเป้าหมายเดิมเพื่อหันกลับมาช่วยการถอยทัพเพื่อช่วยเหลือกองทัพกลางเช่นนี้ ทำให้แผนการเดิมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นฝ่ายครอบงำตงอิ๋งกลับกลายเป็นการต้องช่วยชีวิตกองทัพกลางแทนแม้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะพลิกกลับมาได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ซูผิงเป่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสผลลัพธ์สุดท้ายอาจถือว่าเป็นชัยชนะ แต่หากนำ