ร่างกายของหลี่เฉินที่แนบชิดนางเต็มไปด้วยกลิ่นไอของบุรุษเพศ จุดอ่อนไหวด้านหลังของนางถูกมือของชายหนุ่มลูบคลำ ใบหน้างามของจินเสวี่ยยวนจึงค่อยๆ แดงก่ำดุจโลหิตภาพที่ไม่น่าดูของพวกเขาทั้งสองคนในร้านอาหารวันนั้น ก็แวบขึ้นมาในหัวของนาง จินเสวี่ยยวนรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธ นางพยายามดิ้นหนีและพูดว่า “เจ้า เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”หลี่เฉินกอดจินเสวี่ยยวนแน่นไม่ยอมปล่อย เรือนร่างของสตรีที่กำลังบิดตัวหนีนั้น ยิ่งกระตุ้นประสาทสัมผัสให้แข็งแกร่งขึ้นเขาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก เราทุกคนเห็นพ้องกันว่านี่คือข้อตกลง และเจ้าก็ตกลง ตอนนี้พอข้าทำภารกิจสำเร็จก็คิดจะเบี้ยว?”จินเสวี่ยยวนเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่บนโลก“เจ้า...ไม่ใช่ว่าวันนั้นเจ้าก็รับไปแล้วรึ!?”เพื่อแยกแยะถูกผิด จินเสวี่ยยวนจึงทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายยกเรื่องในวันนั้นขึ้นมาพูด...“ดูสิ่งที่พูดสิ เช่นนั้น ถ้าวันนี้เจ้ากินข้าวแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกินอีกหรือ?”หลี่เฉินพูดอย่างมั่นใจ “ข้าไม่เคยพูดว่าข้าต้องการมันกี่ครั้ง”จินเสวี่ยยวน
เสื้อนอก ผ้าคาดเอว กระโปรง เสื้อซับใน ตู้โตว...เสื้อผ้าทั้งนอกและในล้วนถูกโยนลงจากแท่นบุนวมทีละชิ้นหลังจากถอดเสื้อผ้า หนุ่มสาวก็พากันแนบชิดพัวพันกันบนแท่นบุนวมที่เล็กแคบนั่น หลี่เฉินก็แนบกายใกล้ชิดกับจินเสวี่ยยวนหลี่เฉินอยู่ภายใต้ความกดดันมากเกินไป และมีหลายสิ่งที่ต้องกังวลมากเกินไปทำให้ดูเหมือนกับว่าตอนนี้วินาทีนี้ ร่างอรชรอ้อนแอ้นของสตรีในอ้อมแขนของเขา สามารถทำให้เขาลืมสิ่งที่น่ารำคาญเหล่านั้นได้ชั่วคราวยามที่มังกรทะลวงผ่านดวงอาทิตย์ จินเสวี่ยยวนก็ส่งเสียงร้องออกมา นางอ้าปากแล้วกัดไปที่ไหล่ของหลี่เฉิน ราวกับว่าจะระบายความโกรธของนาง ชนิดที่ว่าแม้ตายก็ไม่ปล่อย ฉับพลันเลือดก็ไหลรินออกมา หลี่เฉินรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงจุดบอบบางที่ไหล่ ราวกับมีเข็มแทงใจ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกับความรู้สึกที่แน่นตึงสร้างความแตกต่างที่ไม่มีอะไรเทียบได้ประหนึ่งน้ำแข็งกับไฟนอกจุดพักแรมในขณะนี้ต้วนจั่งเหมียนที่จากไปแล้วก็กลับมาอีกครั้งคราวนี้ เขาได้นำคนกลุ่มใหญ่มาด้วยซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้คุ้มกันที่เขานำมาจากบ้านมีมากกว่ายี่สิบคนแม้จะเรียกว่าเป็นผู้คุ้มกัน แต่พวกเขาล้
ทันทีที่เขาเห็นซูผิงเป่ย ใบหน้าของต้วนจั่งเหมียนก็พลันซีดลงเขากลัวซูผิงเป่ยมาก ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ เขาคงไม่หนีด้วยความสิ้นหวังเมื่อเห็นป้ายแขวนเอวของซูผิงเป่ยหรอก หลังจากที่รู้ว่าซูผิงเป่ยไม่มีญาติหรือสหายในเมืองหลวง เขาก็รีบนำคนกลับมาทันทีในแวดวงของเหล่าคุณชายชั้นสูงในเมืองหลวงนั้น มีใครไม่รู้บ้างว่าซูผิงเป่ยเผด็จการที่สุด?สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับซูผิงเป่ยไม่ใช่แค่นิสัยเผด็จการของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความจริงที่ว่าเขามีสมอง และยังสามารถใช้กลอุบายต่างๆ ได้หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า จวนแม่ทัพใหญ่ค่อยๆ ตกต่ำลง จ้าวไท่ไหลคงไม่มีทางได้เฉิดฉายหรอก“ซูผิงเป่ย เจ้าจะลุยน้ำโคลนนี่ด้วยหรือ?” ต้วนจั่งเหมียนกัดฟันพูดซูผิงเป่ยเบะปากพูดตามตรง เนื่องจากเขากอดต้นขาทองคำ ตอนนี้จึงดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์อวี่หลินแห่งค่ายเป่ยต้า เขาจึงมีพลังที่แท้จริงอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจศึกชิงรักหักสวาทของเหล่าคุณชายพวกนี้เลยเพียงแต่ว่าองครักษ์เสื้อแพรขอให้เขาจัดการเรื่องนี้ตามคำสั่งของต้นขาทองคำ ดังนั้นซูผิงเป่ยก็จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอนเขาเดินเข้าไปหาต้วนจั่งเหม
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหลี่เฉินโผล่หน้าออกมาจากทางหน้าต่าง ต้วนจั่งเหมียนกัดฟันจนแทบแตก แม้จะพบกันเพียงแค่สองครั้ง แต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ต้วนจั่งเหมียนก็ถูกชายผู้นี้สั่งให้ลูกน้องโยนเขาออกไปเหมือนกับทิ้งขยะ ตอนนี้เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาพบกัน ทว่าตัวเขานั้นกลับกลายเป็นนักโทษไปแล้วแม้ต้วนจั่งเหมียนจะแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา แต่หน้าตาของเขาก็ถูกทำลายจนยับเยินไปแล้ว“เจ้าเป็นใคร!”ต้วนจั่งเหมียนในตอนนี้มีหรือจะมองไม่ออกว่าการที่ซูผิงเป่ยปรากฏตัวที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับหลี่เฉินโดยตรง แต่เขาคิดจนหัวแทบแตกก็ยังนึกไม่ออกว่า ตัวตนของหลี่เฉินเป็นใครกันแน่ ถึงได้ทำให้ซูผิงเป่ยคอยปรนนิบัติรับใช้เช่นนี้ได้หลี่เฉินเหลือบมองต้วนจั่งเหมียนด้วยสายตาเนื่อยๆ เขาไม่สนใจจะพูดคุยกับคุณชายเสเพลพวกนี้หรอกขณะที่หลี่เฉินกำลังจะพูด เรียวแขนดุจรากบัวหิมะก็ยื่นออกมาจ่อที่ปากของเขา ในนิ้วกลมมนนั้นถือองุ่นที่ปอกเปลือกแล้วไว้ลูกหนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคน หลี่เฉินก็เปิดปากของเขาและกินองุ่นที่ถูกป้อนมาฉากนี้ ทำให้ต้วนจั่งเหมียนอิจฉาจนแทบคลั่งเขารู้ว่า ห้องนั้นคือห้องของจินเสวี่ยยวน องค์หญิง
จินเสวี่ยยวนไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลี่เฉินเลยแต่นางรับรู้โดยสัญชาตญาณว่า หลี่เฉินกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ถ้าตะพาบน้อยคือต้วนจั่งเหมียน แล้วตะพาบแก่คือใครล่ะ?ต้วนจิ่นเจียง?ขุนนางคนสำคัญของสำนักราชเลขาปัจจุบัน มหาอำมาตย์เหวินเก๋อ ต้วนจิ่นเจียง?ความคิดนี้ทำให้จินเสวี่ยยวนตกใจนางมองไปที่หลี่เฉินด้วยความหวาดกลัว และอุทานอย่างตกใจว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”หลังจากปิดหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นมาก หลี่เฉินเอื้อมมือออกจากผ้าห่มแล้วดึงจินเสวี่ยยวนเข้ามา“อย่าคิดมากไปเลย เจ้าควรจะเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงในคืนพรุ่งนี้ และคิดหาวิธีโน้มน้าวให้องค์รัชทายาทช่วยพวกเจ้า แต่ก่อนหน้านั้น มาสนุกกับข้าอีกสักรอบจะดีกว่า”คำพูดของหลี่เฉินนั้นฟังดูเหมือนลูกค้าที่กำลังหยอกล้อสตรีในหอโคมเขียวหรือซ่องทำให้ศักดิ์ศรีของจินเสวี่ยยวนเหมือนถูกโจมตีอย่างหนักนางพยายามดิ้นหนี ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“ปล่อยข้านะ ไอ้ชาติชั่ว!”“หากบุรุษในใต้หล้าทำตัวเป็นปราชญ์เมธีที่ไม่ใกล้ชิดกับสตรี คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความสูญเสียที่สุดก็คือบุรุษนั่นแหละ หรือเจ้า สตรีเช่นเจ้าที่สามารถทำให้ผู้ชายจ
คำพูดของซูผิงเป่ย ทำให้หลี่เฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ซูผิงเป่ยต้องรอเก้อ“เอาล่ะ ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามนั้นเถอะ”หลี่เฉินมุ่งหน้าออกจากจุดพักแรม เขาเอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “แต่วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก มีหลายสิ่งที่ข้าไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งหมด จึงปล่อยให้เจ้าลงมืออย่างอิสระ ตรรกะความเข้าใจของเจ้าก็ไม่เลว ถือว่ามีไหวพริบเลยทีเดียว”ซูผิงเป่ยยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที“ทั้งหมดนี้ต้องขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมเพียงทำตามขั้นตอนเท่านั้น”“สิ่งที่เจ้าพูด นับว่าต่ำกว่ามาตรฐาน”หลี่เฉินเหลือบมองซูผิงเป่ยแล้วพูดว่า “หากคนที่ข้าใช้งาน รู้แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าใช้งานคนผิดอย่างนั้นหรือ?”ทันใดนั้นซูผิงเป่ยก็ตื่นตระหนกขึ้นมา และไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี แต่หลี่เฉินก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เอาล่ะ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง อย่ากังวลไปนักเลย”หลี่เฉินส่ายหน้า เมื่อสถานะสูงขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลเลยหากจะบอกว่ายิ่งสูงยิ่งโดดเดี่ยว คำพูดธรรมดาบางคำ แต่คนด้านล่างกลับครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเข้าใจมันเมื่อเดินออกจากประตูจุดพักแรม หลี
“อืม”ต้วนจิ่นเจียงครางรับในจมูกเขารับผ้าร้อนที่สาวใช้ส่งมาให้เช็ดมือแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นในจวนบ้าง?”พ่อบ้านรีบตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าเมื่อช่วงบ่ายนี้ คุณชายกลับมาเรียกผู้คุ้มกันยี่สิบกว่าออกไป ไม่รู้ว่าออกไปทำสิ่งใด”ใบหน้าของต้วนจิ่นเจียงมืดลง และตะคอกอย่างเย็นชาว่า “เขายังจะทำสิ่งใดได้อีก? นอกจากทะเลาะเบาะแว้งเรื่องผู้หญิงเพราะอิจฉาคนอื่น ข้าเคยบอกเขามาหลายครั้งแล้วว่า สถานการณ์เมืองหลวงในช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นวายและไม่สงบ แม้แต่ลูกชายของจ้าวเสวียนจีก็ยังทำตัวซื่อสัตย์ขึ้นไม่น้อย แค่ให้เขาหยุดหาเรื่องสักพัก เจ้าลูกทรพีนี่ก็แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด”เมื่อเห็นนายท่านไม่มีความสุข พ่อบ้านก็รีบพูดว่า “นายท่าน คุณชายอายุยังน้อย การทำเรื่องเหลวไหลไปบ้างจึงเป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณชายกลับมา ท่านก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากับเขา อย่าได้โมโหไปเลย มันไม่คุ้มที่จะโกรธจนทำร้ายตัวเองเช่นนี้”“โกรธเหรอ?”ต้วนจิ่นเจียงโยนผ้าเช็ดมือลงในอ่างน้ำ และเดินเข้าไปในจวนพลางพูดว่า “ถ้าข้าโกรธเจ้าลูกทรพีนี่จริงๆ ข้าคงโกรธจนตายไปนานแล้ว”พ่อบ้านกลอกตาแล้วพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า
หลังจากถูกหลี่เฉินโจมตีในวันนั้น แม้ว่าโหวอวี้ซูยังไม่รู้ว่าหลี่เฉินเป็นใครแต่ด้วยคำพูดของซูจิ่นพ่าที่ดังก้องอยู่ในหู โหวอวี้ซูจึงรู้ว่า ถ้าเขาต้องการจะเอาชนะหลี่เฉินที่ไม่ทราบที่มาที่ไป และทำให้ซูจิ่นพ่าผู้ซึ่งมีสายตาที่สูงส่งหันมามองตัวเอง เช่นนั้นเขาจำเป็นจะต้องเข้าสู่ระดับการสอบหน้าพระที่นั่งให้ได้ นี่คือความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของเขา ด้วยคำแนะนำของท่านจิ้งจือ บุคคลสำคัญในแวดวงวรรณกรรม และตราบใดที่เขาได้รับการสนับสนุนจากต้วนจิ่นเจียง เมื่อตนเองเข้าสู่เส้นทางขุนนางก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับซูจิ่นพ่า... คิดได้ดังนั้น ดวงตาของโหวอวี้ซูก็เต็มไปด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยาน“ไม่เลว”หลังจากได้เห็นสายตาของโหวอวี้ซู ต้วนจิ่นเจียงก็ลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย การมีความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี หากไม่มีความทะเยอทะยาน แม้ว่าเจ้าจะเริ่มต้นอาชีพขุนนาง แต่ก็ไม่สามารถไปได้ไกล ข้ารับปากเจ้าว่า ตราบใดที่เจ้าสามารถติดสิบอันแรกของการสอบขุนนาง และมีคุณสมบัติได้สอบหน้าพระที่นั่ง ข้าจะทำให้เจ้าติดหนึ่งในสามอันดับแรก นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สูงเพียง
เมื่อหลี่จวิ้นเจ๋อเกือบจะถูกหลี่เฉินทรมานจนตาย ทหารภายนอกก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปพวกเขาเริ่มบุกโจมตีประตูสะพานจินสุ่ยประตูวังมีเพียงทหารรักษาการณ์ธรรมดาไม่กี่คน ซึ่งป้องกันไม่ได้มากนักโดยปกติแล้ว ไม่มีใครกล้าบุกโจมตีประตูวังของพระที่นั่งไท่เหอ เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการกบฏดังนั้น กำลังป้องกันที่นี่จึงมีไว้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์มากกว่าการใช้งานจริงเมื่อกองกำลังหลายร้อยนายที่เหวินอ๋องจัดเตรียมไว้อย่างดีพุ่งเข้ามา ประตูวังก็แตกในเวลาเพียงชั่วครู่ทหารที่ถูกเหวินอ๋องจัดมาให้ติดตามหลี่จวิ้นเจ๋อได้นั้น ย่อมเป็นทหารชั้นยอดในชั้นยอดอยู่แล้วคนกว่าร้อยชีวิตเหล่านี้เดินขบวนด้วยท่วงท่าสง่างาม เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ทุกย่างก้าวเป็นระเบียบราวกับมีรูปแบบยุทธวิธีแฝงอยู่ในนั้น!"คนพวกนี้กล้าบุกโจมตีพระที่นั่งไท่เหอ เท่ากับเป็นกบฏ!"ซูเจิ้นถิงเอ่ยเสียงดังก้อง "แม่ทัพทั้งหลายจะไม่ยอมให้การกบฏเช่นนี้เกิดขึ้น ขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหมด ตามข้ามา!"เมื่อกล่าวจบ ซูเจิ้นถิงก็เป็นคนแรกที่ก้าวออกมา และส่งสายตาให้ซูผิงเป่ยเพื่อบอกให้เขาหาโอกาสออกจากพระที่นั่งไท่เหอเพื่อเรียกกำลังเสริมในสถานการณ์
"อืม…อื้อ…อ๊าก!!!"ด้านหนึ่งคือความเจ็บปวดที่แทรกซึมลึกถึงกระดูก อีกด้านหนึ่งคือปากที่ถูกเหยียบจนแม้แต่จะร้องออกมาก็ทำไม่ได้!หลี่จวิ้นเจ๋อรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเตาไฟที่กำลังจะระเบิด ความเจ็บปวดและความอับอายสะสมอยู่ในร่างจนแทบคลุ้มคลั่ง แต่กลับไม่มีทางระบายออกปกติแค่ปวดฟันยังทำให้คนแทบขาดใจได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ฟันครึ่งซี่ถูกเหยียบจนหักจากรากอย่างโหดเหี้ยม!เมื่อเห็นหลี่จวิ้นเจ๋อที่กำลังชักกระตุกอยู่ใต้เท้าของหลี่เฉิน เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากช่องปากที่ถูกกดด้วยพื้นรองเท้า พร้อมเสียงคำรามต่ำดั่งสัตว์ป่าที่ดังออกมาจากลำคอ สายตาของทุกคนที่มองไปยังหลี่เฉินพลันเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวจับใจ!ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์ที่ควรเป็นชัยชนะของหลี่จวิ้นเจ๋อ จะกลับกลายเป็นภาพที่เขาถูกเหยียบไว้กับพื้นเช่นนี้ต้องทราบเสียก่อนว่าภายนอกมีทหารของเหวินอ๋องหลายร้อยนายรออยู่หากพวกเขาบุกเข้ามา นั่นหมายถึงจักรวรรดิต้าฉินจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตทันทีความขัดแย้งระหว่างเหวินอ๋องและองค์รัชทายาทจะกลายเป็นเรื่องเปิดเผยหากสถานการณ์บานปลาย อาจนำไปสู่ความวุ่นวายของอ๋องแห่งแคว้นได้ในขณะที่ฮ่องเต้ยังประชว
การปรากฏตัวของหลี่จวิ้นเจ๋อเหนือความคาดหมายของทุกคนใบหน้าของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาส่วนเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊กลับแสดงออกถึงความหวาดวิตกไม่มีใครคาดคิดว่า จ้าวเสวียนจีจะสามารถติดต่อเหวินอ๋องได้ก่อนล่วงหน้าเมื่อมองไปยังเงาทหารนับร้อยที่เตรียมพร้อมอยู่ภายนอก สถานการณ์วันนี้อาจนำไปสู่เรื่องใหญ่โตการใช้กำลังบีบบังคับในราชสำนัก!?เพียงเอ่ยคำนี้ออกมา ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นสายตาของซูเจิ้นถิงแสดงถึงความเคร่งเครียดถึงขีดสุดเขาหันมองบุตรชายซูผิงเป่ย ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบา "เจ้ารอดูสถานการณ์ หากมีโอกาส ให้รีบออกไป…หากสถานการณ์ถึงจุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบเรียกกำลังทหารของเจ้ามาที่วังหลวง"แม้แต่ซูเจิ้นถิงผู้มีประสบการณ์มากมาย ยังรู้สึกถึงความไม่แน่นอนเขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวเพิ่มเติม "ถ้าไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งลงมือ แต่หากจำต้องลงมือ จงใช้กำลังเด็ดขาดบดขยี้ทุกสิ่ง"ซูผิงเป่ยพยักหน้า รู้สึกว่าปากคอแห้งผาก เขากล่าวเสียงเบา "ทราบแล้ว"สายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าของหลี่จวิ้นเจ๋อ ก่อนจะเผยรอยยิ้มหลี่เฉินยกมือขึ้น ขณะกล่าวพลางตบใบหน้าของหลี่จวิ้นเจ๋อ"ทน…ไม่…ได
"พวกเจ้ามิได้ยินคำของข้าหรือ!?"เมื่อเห็นเหล่าทหารองครักษ์หลวงลังเล จ้าวชิงหลานเอ่ยตวาดเสียงดังในขณะนั้น เหล่าทหารองครักษ์หลวงเพียงอยากจะใช้ดาบเชือดคอตัวเองให้พ้นจากสถานการณ์นี้ในความลำบากใจ พวกเขาหันมองจ้าวชิงหลาน สลับมองหลี่เฉิน ความสับสนลังเลในใจถึงขีดสุด"พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด"หลี่เฉินโบกมือ ไล่เหล่าทหารองครักษ์หลวงออกไปในเวลาเช่นนี้ อำนาจที่แท้จริงก็เผยให้เห็นหลี่เฉินในฐานะองค์รัชทายาท ได้ควบคุมกำลังป้องกันของพระราชวังอย่างเบ็ดเสร็จแล้วเมื่อเขาออกคำสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์หลวงออกไป พวกเขาก็รีบถอยออกจากพื้นที่ทันที โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยการหลีกหนีจากสนามรบเช่นนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนาอย่างที่สุดเมื่อเห็นเหล่าทหารองครักษ์หลวงที่ไม่ฟังคำของตน กลับเชื่อฟังหลี่เฉินอย่างง่ายดาย สีหน้าของจ้าวชิงหลานก็ย่ำแย่นางกำหมัดแน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องรู้สึกถึงความอัปยศในที่สาธารณชนในฐานะฮองเฮาผู้ทรงเกียรติ นางกลับไม่สามารถควบคุมเหล่าทหารองครักษ์หลวงได้ แต่พวกเขากลับฟังคำสั่งหลี่เฉินนี่ทำให้เกียรติยศของฮองเฮาถูกลบหลู่โดยสิ้นเชิงแต่เหตุการณ์นี้ กลับอยู่ในความคาดการณ์
"เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งข้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยตรง ท่านกล้าคิดแตะต้องอำนาจผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้า พรุ่งนี้ ท่านคงคิดจะปลดข้าจากตำแหน่งองค์รัชทายาท มะรืนนี้ ท่านจะไม่คิดขึ้นนั่งบัลลังก์นั้นเองหรือ?"ขณะกล่าว หลี่เฉินชี้ไปยังพระแท่นบัลลังก์อันโอ่อ่าและงดงามตระการตา แต่กลับว่างเปล่าไร้ผู้ประทับนั่นคือบัลลังก์ที่แทนความเป็นจอมราชันย์ของแผ่นดินบัลลังก์นี้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะประทับได้คำกล่าวนี้แทบจะแทงทะลุหัวใจของจ้าวเสวียนจีโดยตรง"องค์รัชทายาท!"จ้าวชิงหลานกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา "หยุดโต้เถียงเสียที หรือท่านคิดจะไม่ฟังคำของข้าอีกแล้ว? นี่ข้าเองก็ควบคุมท่านไม่ได้แล้วหรือ?"แคว้นต้าฉินยึดถือการสร้างชาติด้วยอาวุธ และการปกครองด้วยความกตัญญูดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่เฉินไม่สามารถตอบรับคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาได้เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ลูกย่อมเคารพเสด็จแม่ แต่ต้องดูว่าเรื่องใด หากเสด็จแม่สมคบกับญาติฝ่ายใน หวังทำลายราชวงศ์หลี่ที่สั่งสมมากว่าร้อยปี ลูกก็ขออภัยที่ไม่อาจนิ่งเฉยได้"สีหน้าของจ้าวชิงหลานซีดเผือด ดวงตาดุจหงส์เต็มไปด้วยความโกรธ นางตวาดว
วังหลังมิอาจยุ่งเกี่ยวกับการปกครองแผ่นดินยังคงเป็นคำกล่าวนี้จ้าวชิงหลานเพียงได้ยินคำนี้ก็เกิดโทสะเพราะคำกล่าวนี้ หลี่เฉินใช้มันมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งก็สามารถทำให้นางเงียบงันไร้คำตอบแต่ครั้งนี้ จ้าวชิงหลานไม่คิดจะปล่อยผ่านเพราะครั้งนี้ นางมีการสนับสนุนจากจ้าวเสวียนจี และกลุ่มขุนนางทั้งหมด นางจำต้องลุกขึ้นยืนหยัดเรื่องกฎระเบียบอะไรนั่น ล้วนถูกกำหนดโดยมนุษย์ หากมีกำลังมากพอ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้บัดนี้ จ้าวชิงหลานมั่นใจว่าฝ่ายนางมีพลังมากเพียงพอ"วังหลังย่อมมิอาจยุ่งเกี่ยวกับการปกครอง แต่วันนี้ สิ่งที่ข้าจัดการคือเรื่องภายในราชสำนัก แม่ทัพซูคิดว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ?"เมื่อสนทนากับซูเจิ้นถิง แม้ว่าจ้าวชิงหลานจะไม่พอใจเพียงใด ก็ยังต้องระมัดระวังท่าที มิอาจใช้วาจากล่าวตวาดเหมือนกับที่ทำต่อหลิวถงปี้ดังนั้น คำพูดของจ้าวชิงหลานแม้จะเย็นชา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเสียมารยาทซูเจิ้นถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มซับซ้อนในตอนนั้นเอง จ้าวเสวียนจีกล่าวขึ้นว่า "ตามธรรมเนียม หากฝ่าบาททรงพระประชวร หรือเสด็จออกตรวจแผ่นดินและไม่สามารถปกครองได้ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค
ซูผิงเป่ยไร้ซึ่งอารมณ์บนใบหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นน่าขันสิ้นดี องค์รัชทายาทถึงกับยอมเปิดศึกกับสำนักราชเลขาและกลุ่มขุนนางทั้งปวงเพื่อปกป้องตนเอง เขาจะมามีจิตใจอ่อนโยนในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไรเมื่อคิดได้ดังนั้น ซูผิงเป่ยจึงมองหลี่เฉินด้วยสายตาร้อนแรงและมุ่งมั่นตั้งแต่บัดนี้ ซูผิงเป่ยก็ตั้งมั่นว่า เพื่อองค์รัชทายาทแล้ว แม้จะต้องตาย เขาก็ยอมเสียงกรีดร้องอันแหลมเล็กและโหยหวนของซั่งกวนเจาค่อยๆ เลือนหายไปจนในที่สุด เสียงนั้นก็เงียบหายไปอย่างสิ้นเชิงพระที่นั่งไท่เหอยังคงเงียบสงัดแม้จ้าวเสวียนจีจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าจ้าวเสวียนจีไม่มีทางยอมเรื่องนี้โดยง่ายตั้งแต่ตำหนักบูรพามีอำนาจมา สำนักราชเลขาก็ต้องยอมอ่อนข้อครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงจุดที่ถอยไม่ได้อีกต่อไปจากท่าทีของจ้าวเสวียนจีในวันนี้ก็พอจะเห็นได้ หากองค์รัชทายาทยังดึงดันในเรื่องของซั่งกวนเจา จ้าวเสวียนจีย่อมต้องกลายเป็นศัตรูกับองค์รัชทายาทแน่แต่องค์รัชทายาทก็เลือกจะประหารซั่งกวนเจา เพื่อแสดงให้จ้าวเสวียนจีเห็นบัดนี้ ถึงคราวที่จ้าวเสวียนจีต้องลงมือแล้ว“องค์รัชทายาทดึงดันเช่นนี้ มิฟังผู้ใด
หลี่เฉินไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น หรือสำนักราชเลขาตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของเขามีเพียงซั่งกวนเจาคนเดียวและตอนนี้ คนที่จะถูกสังหารก็คือซั่งกวนเจาเหตุการณ์ในวันนี้ แม้ดูเหมือนเป็นเรื่องของชีวิตซั่งกวนเจา แต่ในความจริงแล้ว มันคือการปะทะกันระหว่างสำนักราชเลขาและตำหนักบูรพาสองกลุ่มการเมืองใหญ่หากซั่งกวนเจาถูกประหาร จ้าวเสวียนจีย่อมดิ้นรนจนถึงที่สุด นำขุนนางฝ่ายบุ๋นที่หวาดกลัวลุกขึ้นต่อต้านแต่หากซั่งกวนเจาไม่ถูกประหาร บารมีของหลี่เฉินย่อมสูญสิ้น ไม่เพียงแต่ถูกขุนนางฝ่ายบุ๋นมองข้าม แม้แต่ความเชื่อมั่นที่เขาเพิ่งสร้างในหมู่ขุนนางฝ่ายบู๊ก็จะพังทลายไม่มีใครอยากติดตามผู้นำที่ปล่อยให้ตนเองถูกข่มเหงและกล่าวหาโดยไม่ทำสิ่งใดตอบโต้เมื่อหลี่เฉินกล่าวจบ เหล่าทหารองครักษ์หลวงที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ก็ก้าวออกมาจับตัวซั่งกวนเจาทันทีรอยยิ้มบนใบหน้าของซั่งกวนเจาเลือนหายไปในพริบตา เขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินจะกล้าตัดสินประหารเขา แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากขุนนางทั้งพระที่นั่ง ในความหวาดกลัวจนหัวใจแทบหลุดออกมา ซั่งกวนเจาตะโกนเสียงดังว่า "ผู้อาวุโส…!"“ใครกล้าแตะ!”เสียงตะโกน
ความเงียบภายในพระที่นั่ง ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งใดจะพูดแต่เป็นเพราะทุกคนกำลังรอให้หลี่เฉินปริปากในความเงียบงันนี้ เป็นเหมือนการสะสมพลังเพื่อความขัดแย้งที่ใหญ่ยิ่งกว่าในภายหลังความขัดแย้งนี้ แม้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ก็มาพร้อมกับความไม่คาดคิดทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไปพูดตามตรง มันเกินความคาดหมายของหลี่เฉินไปบ้างเขารู้ว่าจ้าวเสวียนจีต้องลงมือทำบางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเลือกจะสกัดจับจดหมายของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ส่งไปยังแคว้นเหลียว หลี่เฉินรู้ทันทีว่า คนเฒ่าผู้นี้เริ่มหมดความอดทนแล้วแต่เพราะความสัมพันธ์อันเข้าใจกันระหว่างเขากับจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินประมาทความสามารถของจ้าวเสวียนจีไปบ้างแต่ตอนนี้ ท่อนไม้ขนาดใหญ่นี้ได้ฟาดหัวของหลี่เฉินจนสติกลับมาถ้าเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาที่มีความรู้จากประวัติศาสตร์หลายพันปี จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จ้าวเสวียนจีที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ คงกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วในยุคสมัยศักดินา คนที่สามารถเดินเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้ ย่อมไม่มีใครธรรมดาแน่นอนเหตุการณ์ขุนนางกดดันเจ้าเหนือหัวนั้น ถือเป็นเ