หลังจากงานศพของปรางทิพย์ พรพรรณจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ก่อนพารินรดาย้ายโรงเรียนและมาพักอยู่กับเธอในจังหวัดสมุทรปราการ โดยเธอทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งมีรายได้ไม่มากนัก ทำให้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต แม้แต่ห้องเช่าก็มีขนาดเล็กราคาถูก ยิ่งพอรินรดาเข้ามาพักด้วยอีกคน ทำให้ห้องเช่าที่เล็กอยู่แล้วดูคับแคบไปถนัดตา
เด็กหญิงมองสำรวจรอบ ๆ ห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เตียงขนาด 3 ฟุตตั้งอยู่ริมผนังห้อง ลึกไปด้านหลังมีห้องน้ำเล็ก ๆ และระเบียงด้านหลังอีกนิดหน่อย
“ริน เราเหลือกันสองคนแล้วนะลูก น้าจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้หนูเอง ต่อไปนี้หนูไม่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองมาทำข้าวแกงขายแล้ว ถึงห้องนี้จะคับแคบไปสักหน่อย ไม่ได้กว้างเหมือนบ้านเก่าที่เคยอยู่ แต่ก็อดทนอยู่ไปก่อนนะ หากน้ามีรายได้มากขึ้น เราค่อยขยับขยายกันนะ แต่คงต้องช่วยกันประหยัดสักหน่อย”
“น้าอ้อยให้หนูช่วยทำงานหาเงินก็ได้นะจ๊ะ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย หนูทำงานได้ น้าอ้อยจะได้ไม่เหนื่อยไง”
“เฮ้อ...ตัวแค่นี้รู้จักเป็นห่วงน้าด้วยเหรอเนี่ย”
“หนูโตแล้วนะจ๊ะน้า หนูอยากทำงานช่วยน้าหาเงินจริง ๆ หนูสัญญานะจ๊ะ ถ้าหนูทำงาน หนูจะไม่ให้เสียการเรียนเด็ดขาด หนูจะตั้งใจเรียน อนาคตหนูอยากทำงานมีเงินเยอะ ๆ เราสองคนจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ต้องลำบาก โตขึ้นหนูจะเป็นคนดูแลน้าเองนะจ๊ะ”
“โถ รินของน้า น้าขอบใจมากนะลูก แต่รินต้องรับปากกับน้า หากจะทำงานเสริมก็ทำเท่าที่ไหว อย่าหักโหมจนร่างกายแย่หรือเสียการเรียนนะ” หญิงสาวน้ำตารื้นด้วยความตื้นตันใจ
“จ้ะน้า หนูรับปาก”
“นี่ริน...เอาอย่างนี้ดีไหม ในเมื่อรินย้ายมาอยู่กับน้าที่นี่แล้ว หนูเปลี่ยนชื่อดีไหมลูก เผื่ออนาคตหนูจะมีชีวิตที่สดใสขึ้น ดีไหมจ๊ะ”
“เปลี่ยนชื่อเหรอจ๊ะน้า” เด็กหญิงขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “แล้วจะตั้งชื่ออะไรล่ะจ๊ะ”
คำถามของหลานสาวทำให้พรพรรณนิ่งไปอึดใจอย่างใช้ความคิด ก่อนจะนึกขึ้นมาได้
“ระริน ระรินดีไหมลูก”
“เปลี่ยนจากรินรดา เป็น ระรินเหรอจ๊ะน้า”
“เปล่า ชื่อรินรดา น้าเป็นคนไปขอให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้เอง ชื่อนี้ดีอยู่แล้ว แต่เราเปลี่ยนแค่ชื่อเล่น จาก ‘ริน’ เป็น ‘ระริน’ ถือว่าแก้เคล็ดเริ่มต้นชีวิตใหม่”
แม้ยังฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เด็กหญิงก็ไม่คิดจะขัดความปรารถนาดีของน้าสาว
“ก็ได้ค่ะน้าอ้อย ถ้าน้าว่าดี ต่อไปหนูชื่อระรินก็ได้ เพราะดีเหมือนกัน หนูชอบ”
“ชอบก็ดีแล้วล่ะ ต่อไปนี้ถ้าใครถามชื่อเล่น หนูก็บอกนะว่าชื่อ ‘ระริน’ น้าเองก็จะเรียกว่า ระรินเหมือนกัน เผื่อชื่อนี้จะทำให้ชีวิตของหนูต่อไปนี้พ้นทุกข์พ้นโศก หมดเวรหมดกรรมเสียที น้าขอให้หนูพบเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ มีแต่คนรัก คนเมตตานะจ๊ะ เด็กดีของน้า”
“จ้ะ น้าอ้อย”
เด็กหญิงโผเข้ากอดน้าสาวด้วยความรัก
รินรดาไม่รู้หรอกว่าต่อไปในภายภาคหน้าชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ขอแค่มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวกินสามมื้อ ได้เรียนหนังสือต่อ เธอก็พอใจแล้ว
วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปถึงสิบเอ็ดปี จนรินรดาอายุย่างเข้าสิบเก้าปี โตขึ้นเป็นสาวเต็มวัยที่มีหน้าตาดีคนหนึ่ง และการที่เธอตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ทำให้เธอสามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนคณะบริหารธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครได้ในที่สุด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา รินรดาทำตามคำพูดที่เคยรับปากไว้กับพรพรรณทุกประการ หลังจากเลิกเรียน เธอมักใช้เวลาหมดไปกับการรับจ้างทำงานต่าง ๆ จากเพื่อนบ้าน ก่อนจะขยับไปเป็นลูกจ้างในร้านขายข้าวแกงตอนเย็นหลังเลิกงาน และในวันหยุดเสาร์อาทิตย์
ภาพลักษณ์ของเธอในสายตาคนภายนอกเป็นคนมีอัธยาศัยดี พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส และสวยชนิดหาตัวจับยาก เธอมีเรือนผมสีน้ำตาลยาวประบ่า รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ส่วนสูงราวร้อยหกสิบกว่าเซนติเมตร กิริยาท่าทางทะมัดทะแมงแคล่วคล่องว่องไว ใบหน้ารูปไข่ดวงตากลมโตรับกับริมฝีปากได้รูป ทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
ความสวยน่ารักของเธอเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น หากความขยันขันแข็ง นิสัยดี และตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แถมยังหาเงินส่งตัวเองเรียน ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของน้าสาว จนกระทั่งตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาได้ในที่สุด ทำให้คนที่ได้รู้จักเธอต่างเอ็นดูรินรดามากขึ้น
แต่ใครจะรู้ล่ะว่า หากเธอพบคนแปลกหน้านอกเหนือเวลางาน รินรดาจะกลายเป็นอีกคนที่เงียบขรึมเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจา ยกเว้นคนใกล้ชิดสนิทเพียงไม่กี่คน หญิงสาวถึงจะไว้ใจพูดคุยได้โดยไม่มีอะไรปิดปัง
หลังจากเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง รินรดาเลือกย้ายมาอยู่หอพักราคาถูกใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปเรียน หลังจากที่กลับมาถึงหอพักก็จะไปรับจ้างทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ แม้รู้ดีว่างานแบบนี้รายได้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอก็บอกตัวเองให้อดทนทำต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีจนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่รินรดากำลังทำงานในร้านสะดวกซื้อก็บังเอิญได้ยินเด็กมัธยมที่เข้ามาซื้อของคุยกับเพื่อนที่มาด้วยว่าต้องการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่มีเงินจำกัดจึงไม่สามารถไปติวในสถาบันกวดวิชาชื่อดังได้ หญิงสาวก็เกิดไอเดียและเสนอตัวช่วยติวให้ แลกเปลี่ยนกับการให้ชวนเพื่อนนักเรียนมาเรียนพิเศษกับเธอ ซึ่งเธอคิดค่าสอนในราคาถูกกว่าคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงเริ่มมีช่องทางหารายได้เพิ่มอีกหนึ่งงานหลังจากนั้นเป็นต้นมารินรดาต้องจัดสรรเวลาในแต่ละวัน ทั้งเรียน สอนพิเศษ และทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ โดยที่ไม่ลืมทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน ทำให้หญิงสาวได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงคืนหนึ่งขณะที่รินรดากำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้
หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน รินรดาก็รีบไปที่ห้องสมุดต่อเพื่อค้นหาหนังสือประกอบวิชาเรียน ในขณะที่กนกอรขอแยกตัวกลับไปก่อนแล้ว หญิงสาวใช้เวลาหาหนังสืออยู่พักใหญ่ จนกระทั่งใกล้เวลาที่ห้องสมุดจะปิดให้บริการ เธอจึงรีบหยิบหนังสือที่ต้องการแล้ววิ่งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อยืมหนังสือทันที ระหว่างยืนต่อคิวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เธอก็พยายามควานหาบัตรนักศึกษาในกระเป๋าสะพาย ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ “หายไปไหนนะ จำได้ว่าเอามาแล้วนี่” “หาบัตรนักศึกษาไม่เจอเหรอครับ พี่ยืมหนังสือให้ก่อนดีไหม”จู่ ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเธอหันไปมองก็จำได้ว่าเขาคือคนเดียวกับคนหล่อของกนกอรที่พบในโรงอาหารนั่นเอง “เอ่อ...”หญิงสาวหันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธเพราะไม่
สรวิชญ์ หรือต้น รุ่นพี่ชั้นปีที่สอง ในวัยยี่สิบปี เขาเรียนคณะเดียวกับรินรดา ตั้งแต่หญิงสาวเข้ามาเรียนในคณะ ความงามของเธอก็เป็นที่โจษจันในหมู่รุ่นพี่หนุ่ม ๆ แต่สรวิชญ์ กลับไม่ได้สนใจเธอแต่แรก เพราะในมหาวิทยาลัยผู้หญิงสวยมีมากมายกว่าผู้ชายรูปหล่ออย่างเขาที่มีดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเขาจะต้องการสาวสวยคนไหน เพียงแค่เขาชายตามอง หรือแสดงออกว่าชอบนิดหน่อย พวกเธอก็แทบจะวิ่งเข้าหาโดยที่เขาไม่ต้องลงทุนจีบเลยด้วยซ้ำแต่ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เล่นตัวขึ้นมาอีกหน่อย ถ้าเขาสนใจก็เพียงแค่คอยเอาอกเอาใจ พูดจาหวานหู หรือเปย์เงินให้เธอไม่กี่ครั้ง แค่นี้ก็ทำให้พวกสาว ๆ ยอมเป็นแฟนเขาแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขายอมหยุดกับพวกเธอได้เลยสักคน เพราะพอคบ ๆ กันไป พวกเธอแต่ละคนก็ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียจนน่ารำคาญ บางครั้งถึงขั้นตามหึงหวงตบตีกันจนเขาเบื่อหน่าย ทว่ารินรดากลับต่างออกไป เท่าที่เขาสังเกตดู ไม่ว่าจะมีผู้ชายแสดงตัวเข้าไปจี
หลังจากสรวิชญ์มาถึงร้านประจำที่มีเอกวิทย์กับเจตต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริออกมาอย่างมีชัย“ไอ้เอก ไอ้เจตต์ วันนี้กูได้เบอร์น้องระรินมาแล้วโว้ย กูชนะ มื้อนี้พวกมึงต้องเลี้ยงกู”“อะไรวะไอ้ต้น มึงโกหกหรือเปล่า” เอกวิทย์ถามกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ“กูไม่ได้โกหก กูได้มาจริง ๆ นะเว้ย” สรวิชญ์นำโทรศัพท์มือถือมาอวดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวให้เพื่อนทั้งสองดู หากเจตต์กลับเป็นฝ่ายค้านขึ้น“ไอ้ต้น น้องเขาให้เบอร์โทรมาเฉย ๆ แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์มึงหรือเปล่าวะ มึงอย่าลืมสิ ขนาดพวกกูพยายามจีบน้องยังไง แม้แต่พูดกับพวกกูยังนับคำได้”“ไม่หรอกมั้ง กูว่ายังไงน้องเขาก็ต้องรับสายกู เพราะกูเป็นรุ่นพี่ที่ทั้งหล่อและแสนดีขนาดนี้”คำพูดหลงตัวเองของเขา ทำให้เอกวิทย์เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่จนต้องค้านขึ้นโดยเร็ว“เดี๋ยวนะไอ้ต้น นี่กูหูฝาดไปหรือเปล่า มึงเนี่ยนะรุ่นพี่แสนดี”“ก็ใช่น่ะสิ พวกมึงไม่เชื่อใช่ไหม ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวกูลองโทรหาน้องระรินเดี๋ยวนี้เลย”ว่าแล้วสรวิชญ์กดโทรออกหารินรดาทั
สรวิชญ์คิดอยู่แล้วว่าหญิงสาวจะต้องหาทางปฏิเสธจนได้ เขาจึงเตรียมตัวมาอย่างดี “ลำบากที่ไหนกันล่ะครับ อีกอย่างพี่เกรงว่า ถ้าพี่ไม่ไปกับน้องระรินด้วย น้องอาจจะทำแค่บัตรนักศึกษา แต่ไม่ได้เอาหนังสือไปคืนอย่างที่พูดน่ะสิ ไม่เป็นไรนะครับ บ่ายนี้พี่ว่างเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนเอง” “เอ๊ะ!”“แต่ระรินจะไปกับอรค่ะ พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ระรินจะเอาหนังสือสามเล่มไปคืนและจะใช้บัตรของตัวเองยืมแทนค่ะ จะได้ไม่รบกวนพี่”จังหวะที่คนทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน กนกอรมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวก็ดังขึ้น ชั่วขณะหนึ่งที่กนกอรคุยโทรศัพท์กับปลายสายด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนจะวางสาย“ระริน ฉันคงไปกับแกไม่ได้แล้วล่ะ แม่โทรมาให้รีบกลับบ้านน่ะ ไม่รู้มีเรื่องอะไร พี่ต้นคะ อรฝากเพื่อนด้วยนะคะ”“ได้ครับน้องอร ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะดูแลเพื่อนเราให้อย่างดีเลยครับ”“ขอบคุณค่ะพี่ต้น ฉันไปก่อนนะแก” พูดจบกนกอรก็รีบผุดลุกไปทันที 
กลางดึกคืนนั้น หลังจากที่รินรดาเตรียมงานสอนพิเศษเสร็จเรียบร้อย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นกนกอรโทรเข้ามา เธอรีบรับสายโดยเร็ว “นี่อร ไม่น่ารีบกลับบ้านเลย ทำให้ฉันต้องไปกับพี่ต้นสองคนเนี่ย” เสียงต่อว่าต่อขานทำให้กนกอรหัวเราะคิกคักดังมาทางสายโทรศัพท์ “ฉันขอโทษนะระริน ที่บ้านมีเรื่องด่วนจริง ๆ ก็เจ้าอุ๋งอิ๋งน่ะสิ ไม่รู้เป็นอะไร คุณแม่บอกว่าพยายามเรียก แต่เรียกยังไงก็ไม่ยอมลุก ไม่ตื่น ไม่หือไม่อือ คุณแม่ก็ตกใจนึกว่าหมาตายเลยรีบโทรตามฉันกลับบ้านจะให้พาไปหาหมอ แต่แกรู้อะไรไหม พอฉันกลับถึงบ้าน เจ้าอุ๋งอิ๋งตัวแสบก็ลุกมากระดิกหางอ้อนใหญ่เลย คุณแม่ก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหอุ๋งอิ๋งยกใหญ่ แถมยังบ่นอีกว่าเจ้าอุ๋งอิ๋งเดี๋ยวนี้สำออยแกล้งตายเก่ง ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน เนี่ยเมื่อเย็นคุณแม่ก็ยังงอนเจ้าอุ๋งอิ๋งอยู่เลย ฉันต้องเป็นคนเอาข้าวให้กิน”&nb
“ถ้าดีแสนดีขนาดนั้น ทำไมแกไม่เอาเองล่ะ จะมายุให้ฉันทำไม” “แหม...คุณเพื่อนคะ ก็ถ้าพี่ต้นมาจีบฉัน ฉันก็คงจะ Say Yes ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ แต่พี่เขาไม่ได้เข้ามาจีบฉันไง เขามาจีบแก ฉันในฐานะเพื่อนก็อยากให้แกได้คบกับคนดี ๆ ฉันว่าแกลองคบพี่ต้นดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นาจริงไหม” “แกนี่นะ คนหล่อ เรียนเก่ง ฐานะทางบ้านดีแล้วยังไง มันก็แค่เปลือก ผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละ...”น้ำเสียงรินรดากลืนหายไปในลำคอ ขณะที่ภาพของพ่อแม่ในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ‘อีปราง มึงไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับเมียกู’จักรกฤษณ์พูดจบก็ฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของปรางทิพย์ฉาดใหญ่ ทำให้เธอถลาล้มลงไปกองที่พื้นบ้านเช่าเก่า ๆ จนริมฝีปากแตกมีเลือดซึมออกมา หยาดน้ำตาไหลเปื้อนแก้มทั้งรักทั้งแค้นใจในตัวสามี ก่อนจะลุกขึ้นมาได้ก็ต่อว่าอย่างไม่ลดละ‘ทำไมกูจะขึ้นเสียงไม่ได้ กูเป็นเมียมึง กูจะด่าจะว่า จะทำยังไงก็ได้’‘กูไม่เคยนับว่ามึงเ
เช้าวันหนึ่งขณะที่รินรดากำลังเร่งรีบไปเรียน หญิงสาวมัวแต่กำลังคิดกังวลอยู่กับวิชาที่จะต้องสอบเก็บคะแนนวันนี้ โดยไม่ทันระวังตัว จังหวะที่เธอกำลังเดินข้ามทางม้าลาย รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความเร็วไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกำลังพุ่งเข้าชนเธออย่างจัง“กรี๊ด...”หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบางถูกใครบางคนฉุดกระชากดึงออกมาจากกลางถนนได้ทันท่วงที ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะทันถึงตัว ทำให้รินรดาล้มไปกองที่ฟุตพาทข้างทางในอ้อมกอดของใครบางคน“น้องระริน เป็นยังไงบ้างครับ”เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเรียกสติเธอกลับคืนมา พอรินรดาหันมามองใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ก็เห็นสรวิชญ์ที่กำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย“พี่ต้น!”“น้องระริน เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ” เขาพูดพลางช่วยประคองเธอลุกขึ้นแล้วสำรวจตัวเธอเป็นการใหญ่“ขอบคุณมากนะคะพี่ต้น แต่ระรินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” แม้เธอจะตอบออกไป หากใบหน้างามยังคงมีแววตื่นตระหนกอยู่ในที“นี่น้องระรินกำลังจะไปเรียนใช่ไหมครับ ให้พี่ไปส่ง
รินรดาและสรวิชญ์ก็ช่วยกันประคับประคองความรัก คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จนความบอบช้ำทางใจของหญิงสาวค่อย ๆ หายดี สำหรับรินรดา การทำงานและหาเงินควบคู่ไปด้วยกัน เป็นเรื่องปกติที่เธอทำมาตลอด เธอจึงไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไร ตรงกันข้ามกับสรวิชญ์ เขาเคยชินกับการเรียนเพียงอย่างเดียว และมีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการแต่หลังจากเกิดวิกฤติทางการเงินของครอบครัวครั้งใหญ่ เขาต้องใช้เงินที่ครอบครัวโอนมาให้ในแต่ละเดือนด้วยความประหยัด แม้จะมีรายได้เสริมจากการที่เขาคอยช่วยรินรดาสอนพิเศษ หากเขากลับรู้สึกว่า เงินที่ได้น้อยนิด ไม่คุ้มค่ากับการทำงานเหน็ดเหนื่อยแบบนี้ “พี่ต้น ทำไมสีหน้าเคร่งเครียดอย่างนั้นล่ะคะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” “พี่เหนื่อยน่ะ ไหนจะต้องเรียนต้องไปสอบ ไหนจะต้องสอนพิเศษ เงินที่ได้ก็น้อย ไม่คุ้มกับที่ปากเปียกปากแฉะ หนูเก่งมาก ๆ เลย ทำได้ยังไงเนี่ย ทั้งเรีย
หลังจากรินรดาและสรวิชญ์ปรับความเข้าใจกันได้ ทั้งสองกลับมาคบหาและอยู่ด้วยกันอีกครั้ง วันหนึ่งชายหนุ่มกลับมาถึงหอในคืนหนึ่ง เขาเดินเข้าไปสวมกอดหญิงสาวคนรักด้วยความคิดถึง“ระรินครับ วันนี้พี่มีของขวัญให้หนูด้วยนะ”“ของขวัญเนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะ”“ในโอกาสที่หนูยกโทษให้พี่ไงครับ ของขวัญแทนความรักและคำขอบคุณจากพี่” เขาพูดพร้อมปลดกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นรอยสักรูป ร. ที่หน้าอกด้านซ้าย“พี่ต้นไปสักมาเหรอคะ ร.เรือ หมายความว่ายังไงเหรอคะพี่”“พี่ให้ช่างสักรูป ร.เรือ แทนชื่อของน้องระริน รินรดา เพื่อจะสลักชื่อหนูไว้กลางใจของพี่ตลอดไป หนูจะได้มั่นใจว่า พี่จะรักและซื่อสัตย์กับหนูเพียงคนเดียว นี่คือของขวัญแทนคำมั่นสัญญาที่พี่อยากมอบให้คนที่พี่รักที่สุดครับ”“พี่ต้น...ขอบคุณมากนะคะ ระรินชอบมากเลยค่ะ”รินรดาโผเข้ากอดเขาด้วยความตื้นตันใจกับของขวัญชิ้นนี้ที่เขาตั้งใจมอบให้“พรุ่งนี้หนูพาพี่ไปหาน้าอ้อยนะ พี่อยากทำให้ถูกต้อง พี่อยากขอขมาน้าอ้อยกับเรื่องท
สรวิชญ์ทรุดตัวนั่งกับพื้นก่อนจะร่ำไห้ออกมา ทำเอาคนทั้งสามมองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจ ใครจะไปคาดคิดว่าเพื่อนรักอย่างสรวิชญ์และเอกวิทย์จะแตกหักกันได้เพียงเพราะเงินและผู้หญิงเพียงคนเดียว รินรดาขยับจะเข้าไปหาสรวิชญ์ด้วยความสงสาร หากกนกอรรั้งไว้พร้อมพูดเตือนสติ “ระริน แกอย่าลืมสิที่แกต้องแท้งลูกก็เพราะผู้ชายคนนี้ แกจะใจอ่อนเพราะฟังคำพูดแค่ไม่กี่คำได้ยังไง” “อะไรนะ! แท้งลูก...แท้งลูกเหรอ หมายความว่ายังไง” สรวิชญ์อุทานด้วยความแปลกใจ พลางจ้องมองหน้ารินรดาและกนกอรอย่างคาดคั้น ทำให้กนกอรที่เผลอหลุดปากพูดออกไปถึงกับรีบตีปากตัวเอง “ระริน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”&nbs
“เออก็ได้ กูจะบอกให้เอาบุญ ไอ้เด็กนี่ไม่ใช่ลูกมึง ทำไม...กูแค่อยากให้เด็กมีพ่อ กูผิดด้วยเหรอ”“แต่มันต้องไม่ใช่กู มึงทำลายชีวิตกู”“โธ่...ไอ้ต้น อย่าหลงตัวเองหน่อยเลยว่าดีเลิศประเสริฐศรี มึงตอนนี้ มันก็แย่ไม่ต่างจากพวกกู หรอกวะ บ้านก็ล้มละลาย เหลือแต่ตัว เสียเวลาชะมัด รู้งี้กูไปจับผู้ชายคนอื่นที่รวยกว่านี้เสียก็ดี”เมื่อชนิศาเห็นว่าแผนที่เธออุตส่าห์ตั้งใจมาตลอดกลับถูกจับได้ เธอถึงกับชี้หน้าด่าอย่างเหลืออดและรีบออกไปจากห้องโดยไม่สนใจชายหนุ่มทั้งสองอีกเลย“ไหนเงินกูล่ะ ค่าจ้างกูล่ะ”เอกวิทย์ทวงไล่หลัง แต่ก็สูญเปล่า เงินค่าจ้างที่เขาควรจะได้ หายวับไปกับตัวต้นเรื่องที่เดินทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ครั้นพอเขาหันมาเห็นสรวิชญ์ที่กำลังจ้องมองหน้าเขาด้วยความเจ็บช้ำใจ ชายหนุ่มถึงกับเสียงอ่อนลง“ต้นกูขอโทษจริง ๆ กูไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้”“ไอ้เอก...” สรวิชญ์พูดเพียงแค่นั้น แล้วหมัดหนัก ๆ ของเขาจะซัดเข้าไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง ก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไปด้วยความหงุดหงิด
“เออ...ไอ้ต้น รถมึงไปไหนวะ เมื่อกี้กูขึ้นมาไม่เห็นรถมึงจอดอยู่เลย” จู่ ๆ เอกวิทย์ก็โพล่งถามขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย เรียกสติของสรวิชญ์กลับคืนมาพร้อมตอบกลับอย่างหัวเสีย“กูไม่มีรถแล้ว”“หมายความว่ายังไงวะ ไม่มีรถแล้ว”“บ้านกูล้มละลาย เขามายึดรถกูไปแล้ว”“อะไรนะ มึงโกหกหรือเปล่าเนี่ยไอ้ต้น”“เรื่องแบบนี้โกหกได้ด้วยเหรอวะ” เขาพูดพลางกระดกขวดเหล้าในมือต่ออย่างไม่สนใจ ขณะที่ ชนิศาหน้าซีดเผือดเมื่อรับรู้จากปากเขา แต่ยังไม่ทันที่คนทั้งสามจะทำสิ่งใดต่อ ก็มีผู้ชายท่าทางน่ากลัวกลุ่มหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างอุกอาจ “พวกมึงออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้ ที่นี่ถูกยึดแล้ว” “นี่มันเรื่องอะไรกัน” สรวิชญ์ตะโกนใส่หน้าด้วยความไม่พอใจ&nbs
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากรินรดาออกจากโรงพยาบาล เธอกลับมาเรียนและสอนพิเศษตามปกติ โดยมีกนกอรและเจตต์คอยสลับกันอยู่ดูแลเป็นเพื่อน คอยระแวดระวังสรวิชญ์หากเขาจะเข้ามาใกล้รินรดา ถึงขนาดที่กนกอรหอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋ามานอนค้างเป็นเพื่อนรินรดาที่หอพัก จนอีกฝ่ายร้องโอดครวญออกมาด้วยความเกรงใจ “พี่เจตต์ อร ทั้งสองคนไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ระรินหายแล้ว ดูแลตัวเองได้ ส่วนอรไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนฉันหรอก นี่ห้องฉันเอง ฉันอยู่คนเดียวได้สบายมาก” “พี่รู้ว่าระรินดูแลตัวเองได้ แต่พี่เป็นห่วง หากไอ้ต้นบุกเข้ามาหา น้องจะเป็นอันตรายน่ะสิ” “ใช่แก พี่เจตต์พูดถูก” กนกอรเห็นด้วย โดยไม่ได้สังเกตเห็นรินรดาที่หน้าเจื่อนไป เมื่อชื่อของคนที่เธอพยายามจะลืมถูกพูดขึ้นมาอีกค
“ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับเขาตอนนี้ ฉันขอร้องล่ะค่ะ พี่เจตต์ อร อย่าเอาเรื่องวันนี้ไปบอกพี่ต้นเลยนะคะ ฉันขอร้อง...ให้ทุกคนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะคะ”คำตอบของรินรดาทำให้กนกอรรู้สึกขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จำต้องรับคำ“ก็ได้...ฉันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ความลับของแก ฉันจะปิดให้สนิท”“ส่วนพี่ ระรินไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่เอาไปบอกใครแน่นอน”“ขอบคุณมากนะคะพี่เจตต์ อร”พลันสายตากนกอรมองดูนาฬิกาในห้องพักคนไข้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาเข้าเรียน เธอจึงรีบขอตัวไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับเจตต์ แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกไปจากห้อง รินรดากลับเรียกขึ้น“พี่เจตต์คะ เรื่องครั้งนี้ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้พี่เจตต์ช่วยไว้ ระรินคงแย่”“ใช่ น้าเองก็ต้องขอบคุณเจตต์มากนะลูก หากไม่ได้เจตต์ ไม่รู้เลยว่าหลานน้าจะเป็นยังไงบ้าง”“ไม่เป็นไรครับ น้าอ้อย น้องระริน สำหรับน้องระริน ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องอะไรบอกพี่ได้เสมอ พี่ยินดีช่วยครับ” เขาบอกยิ้ม ๆ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปพร้อม
ยังไม่ทันที่จะได้สนทนากันต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับหมอและพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่หมอจะขอให้ญาติคนไข้ออกไปรอด้านนอกก่อนเพื่อทำการตรวจ“คนไข้รู้ตัวไหมครับ ว่ามาที่นี่ด้วยอาการยังไงบ้าง”“จำได้ว่า ปวดท้องมากค่ะแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย” “เมื่อคืนคนไข้ตกเลือดมาก”“ตกเลือด หมายความว่ายังไงคะ”“คนไข้รู้ไหมครับว่าตัวเองตั้งครรภ์”“ตั้งครรภ์เหรอคะ”รินรดาทวนคำเสียงเบาหวิว แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ครับ หลังจากที่หมอตรวจเพิ่มเติม พบว่าคนไข้ตั้งครรภ์ แต่...หมอเสียใจด้วยนะครับ เด็กไม่อยู่แล้ว คนไข้ต้องนอนพักดูอาการอยู่ที่นี่อีกสัก 2-3 วันนะครับ ถึงจะกลับบ้านได้ แล้วคนไข้อยากให้หมอบอกญาติให้ไหมครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยว...บอกเองค่ะ ขอบคุณนะคะ”เธอตอบน้ำเสียงแผ่วก่อนที่หมอและพยาบาลจะเดินออกไป‘ตั้งครรภ์’‘เด็กไม่อย
เธอรักเขา ไม่อยากเลิกกับเขา อยากให้อภัยเขา หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แล้วกลับไปคบกับเขาเหมือนเดิมแต่ว่า...เธอไม่อาจทำใจยอมรับกับความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้ เธอจะเห็นแก่ตัวยื้อแย่งเขามาได้อย่างไร ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นกำลังมีลูกกับเขา ส่วนเธอก็เป็นแค่แฟน ไม่ได้มีพันธะผูกพันอะไรหากเธอยึดเขาไว้เหมือนคนเห็นแก่ตัว เด็กที่อยู่ในท้องก็จะกลายเป็นเด็กกำพร้าเหมือนอย่างที่เธอเคยเป็น หญิงสาวไม่ต้องการให้เด็กบริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมารับกรรมเพราะผลของการกระทำจากผู้ใหญ่เรื่องระหว่างคนสามคน แค่เธอตัดสินใจเดินออกมา มีเธอเสียใจคนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้เด็กคนหนึ่งต้องเกิดมาไม่มีพ่อ เด็กคนนั้นควรจะได้มีโอกาสเติบโตพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก...ทว่าความคิดของรินรดาก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อจู่ ๆ อาการปวดท้องหน่วงหนักก็ปะทุขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวเอามือทั้งสองกุมหน้าท้องเอาไว้พยายามข่มความเจ็บปวด จังหวะนั้นเอง รถเก๋งแปลกตาก็แล่นมาจอดอยู่เบื้องหน้า พร้อมเจตต์ที่เดินลงมาจากรถมองเธอด้วยความแปลกใจ“อ้าว! ระรินเองเหรอ ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียว มันอันตรายมาก