หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน รินรดาก็รีบไปที่ห้องสมุดต่อเพื่อค้นหาหนังสือประกอบวิชาเรียน ในขณะที่กนกอรขอแยกตัวกลับไปก่อนแล้ว หญิงสาวใช้เวลาหาหนังสืออยู่พักใหญ่ จนกระทั่งใกล้เวลาที่ห้องสมุดจะปิดให้บริการ เธอจึงรีบหยิบหนังสือที่ต้องการแล้ววิ่งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อยืมหนังสือทันที
ระหว่างยืนต่อคิวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เธอก็พยายามควานหาบัตรนักศึกษาในกระเป๋าสะพาย ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
“หายไปไหนนะ จำได้ว่าเอามาแล้วนี่”
“หาบัตรนักศึกษาไม่เจอเหรอครับ พี่ยืมหนังสือให้ก่อนดีไหม”
จู่ ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเธอหันไปมองก็จำได้ว่าเขาคือคนเดียวกับคนหล่อของกนกอรที่พบในโรงอาหารนั่นเอง
“เอ่อ...”
หญิงสาวหันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวนคนแปลกหน้า แต่อีกใจก็แอบลังเล เพราะเกรงใจบรรณารักษ์ห้องสมุดที่มองมาด้วยสายตากดดันในที
“ตกลงจะยืมไหมคะ ห้องสมุดใกล้ปิดแล้วนะ”
บรรณารักษ์ถามขึ้นพร้อมสายตาที่มองมาเหมือนรำคาญ ทำให้เธอตัดสินใจขอรับความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้ารูปหล่อทันที
“งั้นรบกวนหน่อยนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอบอุ่นดูใจดี พลางรับหนังสือสามเล่มจากมือเธอยื่นให้บรรณารักษ์เพื่อทำการยืมจนเสร็จสรรพ ก่อนที่สองหนุ่มสาวจะเดินออกมาจากห้องสมุดเป็นสองคนสุดท้าย รินรดาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เฮ้อ! เกือบยืมไม่ทันแล้ว”
“นี่ครับหนังสือของน้อง” ชายหนุ่มยื่นหนังสือในมือส่งให้ยิ้ม ๆ
“ขอบคุณมากเลยนะคะพี่...”
“พี่ชื่อสรวิชญ์ หรือจะเรียกพี่ต้นก็ได้ อยู่ปีสอง แล้วน้องล่ะครับชื่ออะไร”
“ชื่อระรินค่ะ อยู่ปีหนึ่ง”
“ชื่อเพราะนะครับ นี่น้องเรียนบริหารใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“พี่ก็เรียนบริหารเหมือนกัน ดูจากหนังสือที่น้องยืม น้องระรินน่าจะขยันมากเลยนะครับ นี่ถ้าเรียนติดปัญหาตรงไหน สอบถามพี่ได้นะ พี่ยินดีช่วย”
“ขอบคุณมากค่ะพี่ต้น แค่วันนี้ก็เกรงใจมากแล้ว ไม่รู้ว่าบัตรนักศึกษาหายไปไหน สงสัยจะทำหล่นไว้น่ะค่ะ ถ้ายังไงระรินจะรีบคืนหนังสือให้เร็วที่สุดนะคะ” หญิงสาวพูดจบก็ยกมือไหว้แล้ว ขยับจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิครับน้องระริน พี่ยังไม่ได้เบอร์โทรน้องเลย” สีหน้าฉงนของรินรดาทำให้สรวิชญ์ต้องรีบอธิบาย “คือ...อย่าเข้าใจผิดนะครับ ถ้าพี่ติดต่อน้องไม่ได้ แล้วพี่จะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าน้องระรินคืนหนังสือแล้ว ดีไม่ดีถ้าน้องอ่านเพลินจนลืมคืนหนังสือ พี่ก็แย่สิครับ”
“ระรินไม่ทำหรอกค่ะ”
“คำพูดคนเชื่อยากนะครับ อีกอย่างพี่ก็ยังไม่รู้จักน้องดีพอ จะรู้ได้ยังไงว่าน้องระรินพูดจริงหรือโกหก ให้เบอร์โทรไว้ พี่จะได้อุ่นใจไง”
หญิงสาวอึกอักเพราะปกติตัวเองไม่ค่อยอยากให้เบอร์ส่วนตัวกับคนที่ไม่รู้จัก แต่เพราะความมีน้ำใจและเหตุผลของอีกฝ่ายทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธได้
“งั้นก็ได้ค่ะ”
“อ้อ! พี่ขอเบอร์ที่ติดต่อน้องได้จริง ๆ นะครับ ไม่ใช่ให้เบอร์โทรของคนอื่น”
สรวิชญ์รีบดักคอ ทำเอารินรดาเม้มริมฝีปากนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะยอมให้เบอร์โทรเขาไปอย่างเสียไม่ได้ พอได้เบอร์โทรมา เขารีบกดโทรออกไปหารินรดาทันที พลางพูดขึ้น
“นี่เบอร์พี่นะ เผื่อพี่โทรไปน้องระรินจะได้รู้”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำ ก่อนจะขอตัวเดินจากไปในที่สุด
ชายหนุ่มมองตามเธอไปจนลับหายไปจากสายตา เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ดวงตาพราวอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
มันคือ...บัตรนักศึกษาของรินรดาที่เจ้าตัวทำตกไว้ที่โรงอาหารนั่นเอง
“รินรดา...ระริน ช่างเป็นผู้หญิงสวยและน่าสนใจจริง ๆ”
ชายหนุ่มพูดกับบัตรนั้นก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ไม่คิดจะคืนให้เจ้าของ
วันนี้ดูเหมือนว่าโอกาสจะเป็นใจให้กับสรวิชญ์ หลังจากที่เขาคอยเฝ้าตามหญิงสาวมากว่าสองสัปดาห์ นอกจากอีกฝ่ายจะไม่สนใจ เธอยังไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ แต่แล้วเขาก็สบโอกาส เมื่อเห็นรินรดาทำบัตรนักศึกษาหล่นที่โรงอาหาร เขาจึงเดินไปเก็บบัตรนั้นมาไว้กับตัว และสวมบทเป็นรุ่นพี่ผู้ใจดี ซึ่งนี่คือบันไดก้าวแรกที่ทำให้เขาได้คุยกับเธอ และเขาตั้งใจว่าหลังจากนี้เขาจะค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในหัวใจของเธอให้จงได้ เพราะเขาไม่เชื่อหรอกว่า หัวใจของมนุษย์จะแข็งแกร่งจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย โดยเฉพาะมนุษย์ผู้หญิงอย่างเธอ ไม่คณนามือเขาหรอกน่า...
สรวิชญ์ หรือต้น รุ่นพี่ชั้นปีที่สอง ในวัยยี่สิบปี เขาเรียนคณะเดียวกับรินรดา ตั้งแต่หญิงสาวเข้ามาเรียนในคณะ ความงามของเธอก็เป็นที่โจษจันในหมู่รุ่นพี่หนุ่ม ๆ แต่สรวิชญ์ กลับไม่ได้สนใจเธอแต่แรก เพราะในมหาวิทยาลัยผู้หญิงสวยมีมากมายกว่าผู้ชายรูปหล่ออย่างเขาที่มีดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเขาจะต้องการสาวสวยคนไหน เพียงแค่เขาชายตามอง หรือแสดงออกว่าชอบนิดหน่อย พวกเธอก็แทบจะวิ่งเข้าหาโดยที่เขาไม่ต้องลงทุนจีบเลยด้วยซ้ำแต่ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เล่นตัวขึ้นมาอีกหน่อย ถ้าเขาสนใจก็เพียงแค่คอยเอาอกเอาใจ พูดจาหวานหู หรือเปย์เงินให้เธอไม่กี่ครั้ง แค่นี้ก็ทำให้พวกสาว ๆ ยอมเป็นแฟนเขาแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขายอมหยุดกับพวกเธอได้เลยสักคน เพราะพอคบ ๆ กันไป พวกเธอแต่ละคนก็ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียจนน่ารำคาญ บางครั้งถึงขั้นตามหึงหวงตบตีกันจนเขาเบื่อหน่าย ทว่ารินรดากลับต่างออกไป เท่าที่เขาสังเกตดู ไม่ว่าจะมีผู้ชายแสดงตัวเข้าไปจี
หลังจากสรวิชญ์มาถึงร้านประจำที่มีเอกวิทย์กับเจตต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริออกมาอย่างมีชัย“ไอ้เอก ไอ้เจตต์ วันนี้กูได้เบอร์น้องระรินมาแล้วโว้ย กูชนะ มื้อนี้พวกมึงต้องเลี้ยงกู”“อะไรวะไอ้ต้น มึงโกหกหรือเปล่า” เอกวิทย์ถามกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ“กูไม่ได้โกหก กูได้มาจริง ๆ นะเว้ย” สรวิชญ์นำโทรศัพท์มือถือมาอวดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวให้เพื่อนทั้งสองดู หากเจตต์กลับเป็นฝ่ายค้านขึ้น“ไอ้ต้น น้องเขาให้เบอร์โทรมาเฉย ๆ แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์มึงหรือเปล่าวะ มึงอย่าลืมสิ ขนาดพวกกูพยายามจีบน้องยังไง แม้แต่พูดกับพวกกูยังนับคำได้”“ไม่หรอกมั้ง กูว่ายังไงน้องเขาก็ต้องรับสายกู เพราะกูเป็นรุ่นพี่ที่ทั้งหล่อและแสนดีขนาดนี้”คำพูดหลงตัวเองของเขา ทำให้เอกวิทย์เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่จนต้องค้านขึ้นโดยเร็ว“เดี๋ยวนะไอ้ต้น นี่กูหูฝาดไปหรือเปล่า มึงเนี่ยนะรุ่นพี่แสนดี”“ก็ใช่น่ะสิ พวกมึงไม่เชื่อใช่ไหม ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวกูลองโทรหาน้องระรินเดี๋ยวนี้เลย”ว่าแล้วสรวิชญ์กดโทรออกหารินรดาทั
สรวิชญ์คิดอยู่แล้วว่าหญิงสาวจะต้องหาทางปฏิเสธจนได้ เขาจึงเตรียมตัวมาอย่างดี “ลำบากที่ไหนกันล่ะครับ อีกอย่างพี่เกรงว่า ถ้าพี่ไม่ไปกับน้องระรินด้วย น้องอาจจะทำแค่บัตรนักศึกษา แต่ไม่ได้เอาหนังสือไปคืนอย่างที่พูดน่ะสิ ไม่เป็นไรนะครับ บ่ายนี้พี่ว่างเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนเอง” “เอ๊ะ!”“แต่ระรินจะไปกับอรค่ะ พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ระรินจะเอาหนังสือสามเล่มไปคืนและจะใช้บัตรของตัวเองยืมแทนค่ะ จะได้ไม่รบกวนพี่”จังหวะที่คนทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน กนกอรมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวก็ดังขึ้น ชั่วขณะหนึ่งที่กนกอรคุยโทรศัพท์กับปลายสายด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนจะวางสาย“ระริน ฉันคงไปกับแกไม่ได้แล้วล่ะ แม่โทรมาให้รีบกลับบ้านน่ะ ไม่รู้มีเรื่องอะไร พี่ต้นคะ อรฝากเพื่อนด้วยนะคะ”“ได้ครับน้องอร ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะดูแลเพื่อนเราให้อย่างดีเลยครับ”“ขอบคุณค่ะพี่ต้น ฉันไปก่อนนะแก” พูดจบกนกอรก็รีบผุดลุกไปทันที 
กลางดึกคืนนั้น หลังจากที่รินรดาเตรียมงานสอนพิเศษเสร็จเรียบร้อย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นกนกอรโทรเข้ามา เธอรีบรับสายโดยเร็ว “นี่อร ไม่น่ารีบกลับบ้านเลย ทำให้ฉันต้องไปกับพี่ต้นสองคนเนี่ย” เสียงต่อว่าต่อขานทำให้กนกอรหัวเราะคิกคักดังมาทางสายโทรศัพท์ “ฉันขอโทษนะระริน ที่บ้านมีเรื่องด่วนจริง ๆ ก็เจ้าอุ๋งอิ๋งน่ะสิ ไม่รู้เป็นอะไร คุณแม่บอกว่าพยายามเรียก แต่เรียกยังไงก็ไม่ยอมลุก ไม่ตื่น ไม่หือไม่อือ คุณแม่ก็ตกใจนึกว่าหมาตายเลยรีบโทรตามฉันกลับบ้านจะให้พาไปหาหมอ แต่แกรู้อะไรไหม พอฉันกลับถึงบ้าน เจ้าอุ๋งอิ๋งตัวแสบก็ลุกมากระดิกหางอ้อนใหญ่เลย คุณแม่ก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหอุ๋งอิ๋งยกใหญ่ แถมยังบ่นอีกว่าเจ้าอุ๋งอิ๋งเดี๋ยวนี้สำออยแกล้งตายเก่ง ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน เนี่ยเมื่อเย็นคุณแม่ก็ยังงอนเจ้าอุ๋งอิ๋งอยู่เลย ฉันต้องเป็นคนเอาข้าวให้กิน”&nb
“ถ้าดีแสนดีขนาดนั้น ทำไมแกไม่เอาเองล่ะ จะมายุให้ฉันทำไม” “แหม...คุณเพื่อนคะ ก็ถ้าพี่ต้นมาจีบฉัน ฉันก็คงจะ Say Yes ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ แต่พี่เขาไม่ได้เข้ามาจีบฉันไง เขามาจีบแก ฉันในฐานะเพื่อนก็อยากให้แกได้คบกับคนดี ๆ ฉันว่าแกลองคบพี่ต้นดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นาจริงไหม” “แกนี่นะ คนหล่อ เรียนเก่ง ฐานะทางบ้านดีแล้วยังไง มันก็แค่เปลือก ผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละ...”น้ำเสียงรินรดากลืนหายไปในลำคอ ขณะที่ภาพของพ่อแม่ในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ‘อีปราง มึงไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับเมียกู’จักรกฤษณ์พูดจบก็ฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของปรางทิพย์ฉาดใหญ่ ทำให้เธอถลาล้มลงไปกองที่พื้นบ้านเช่าเก่า ๆ จนริมฝีปากแตกมีเลือดซึมออกมา หยาดน้ำตาไหลเปื้อนแก้มทั้งรักทั้งแค้นใจในตัวสามี ก่อนจะลุกขึ้นมาได้ก็ต่อว่าอย่างไม่ลดละ‘ทำไมกูจะขึ้นเสียงไม่ได้ กูเป็นเมียมึง กูจะด่าจะว่า จะทำยังไงก็ได้’‘กูไม่เคยนับว่ามึงเ
เช้าวันหนึ่งขณะที่รินรดากำลังเร่งรีบไปเรียน หญิงสาวมัวแต่กำลังคิดกังวลอยู่กับวิชาที่จะต้องสอบเก็บคะแนนวันนี้ โดยไม่ทันระวังตัว จังหวะที่เธอกำลังเดินข้ามทางม้าลาย รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความเร็วไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกำลังพุ่งเข้าชนเธออย่างจัง“กรี๊ด...”หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบางถูกใครบางคนฉุดกระชากดึงออกมาจากกลางถนนได้ทันท่วงที ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะทันถึงตัว ทำให้รินรดาล้มไปกองที่ฟุตพาทข้างทางในอ้อมกอดของใครบางคน“น้องระริน เป็นยังไงบ้างครับ”เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเรียกสติเธอกลับคืนมา พอรินรดาหันมามองใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ก็เห็นสรวิชญ์ที่กำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย“พี่ต้น!”“น้องระริน เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ” เขาพูดพลางช่วยประคองเธอลุกขึ้นแล้วสำรวจตัวเธอเป็นการใหญ่“ขอบคุณมากนะคะพี่ต้น แต่ระรินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” แม้เธอจะตอบออกไป หากใบหน้างามยังคงมีแววตื่นตระหนกอยู่ในที“นี่น้องระรินกำลังจะไปเรียนใช่ไหมครับ ให้พี่ไปส่ง
กลางดึกคืนนั้น หลังจากสรวิชญ์เดินไปส่งรินรดาที่หอพัก เขาก็ยืนดูจนกระทั่งหญิงสาวเข้าห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับออกมา ไม่นานนักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเอกวิทย์ที่ดังขึ้น “ไอ้ต้น ไหนบอกว่าจะมาเลี้ยงเหล้าไงวะ หายหัวไปแบบนี้ คิดจะเบี้ยวกันใช่ไหม” “ใจเย็น ๆ สิวะไอ้เอก กูเพิ่งส่งน้องระรินเสร็จเนี่ย แล้วนี่กูก็กำลังจะไปหาพวกมึง เจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” หลังจากสรวิชญ์วางสายโทรศัพท์ลง เขาก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านเหล้าโดยเร็ว และทันทีที่เขาถึงร้านพอทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีขวดเหล้าถูกเปิดอยู่ก่อนแล้ว “ไหน...ตกลงได้ผลไหม ไอ้ที่อุตส่าห์ให้กูไปช่วยทำน่ะ” เอกวิทย์ถามทันที ขณะที่เจตต์มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความแปลกใจ “ทำ! ทำอะไรวะไอ้เอก นี่กูพลาดเรื่องอะไรไปหร
เอกวิทย์และเจตต์มองตามหลังไปก็เห็นสรวิชญ์กำลังยืนพูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วทำบางอย่างก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม “ใครวะไอ้ต้น” “คนรู้จัก” “เออ กูรู้ว่าคนรู้จัก แต่มึงไปรู้จักคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ดูดิเนื้อตัวนี่สักลายไปทั้งตัว ดูน่ากลัวมากกว่าน่าคบนะโว้ยไอ้ต้น” “นั่นสิไอ้ต้น มึงจะคบคนยังไงก็ระวังตัวไว้บ้างนะ ดูท่าแล้วผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวจริง ๆ นั่นแหละ” เจตต์ท้วง “เออน่า กูรู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ กูก็แค่จ้างทำงานนิดหน่อย” “งานอะไรวะ ถึงต้องจ้างคนแบบนี้ทำงาน” เอกวิทย์ถามขึ้นบ้าง “ก
สรวิชญ์เดินออกจากหอพักของรินรดาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แม้วันนี้รินรดาจะปฏิเสธการเป็นแฟนกับเขาอีกหน แต่กลับไม่ได้ทำให้ผิดหวังสักเท่าใด เพราะอย่างน้อยปลาก็กินเบ็ดแล้ว วันหน้าเธอจะไปไหนรอด คิดเพลิน ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ พอเห็นชื่อที่หน้าจอเขาก็รีบกดรับสายทันที “ไอ้อำนาจ...กูบอกให้พวกมึงทำเบา ๆ นี่อะไรทั้งเตะทั้งต่อย จนกูสะบักสะบอมไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย” “ขอโทษครับคุณต้น ผมก็ย้ำกับไอ้สองคนนั่นหลายรอบแล้วนะครับ แต่พวกมันคงกลัวไม่สมจริงก็เลยหนักมือไปหน่อย” “เออ...ก็จริงของมึง งั้นเดี๋ยวกูโอนเงินค่าจ้างที่เหลือไปให้ แล้วบอกคนอื่นด้วยนะ ปิดปากให้สนิท ไม่งั้นจะหาว่ากูไม่เตือน” “ครับคุณต้น” ชายหนุ่มกดวางสาย แล
ครั้นพอทั้งสองขึ้นไปบนห้องพักของรินรดาเรียบร้อยแล้ว สรวิชญ์ก็ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา ใบหน้าเขายังคงเหยเกด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สายตาก็มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องพัก หอพักแห่งนี้ลึกเข้ามาในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ขนาดห้องพักไม่ถึงกับเล็กมาก แต่สภาพภายในเก่าแก่จนสีที่ทาไว้ลอกออกกระทั่งเห็นผนังปูนเปลือย มีเตียงเล็ก ๆ ตั้งไว้มุมหนึ่งของห้องติดกับโต๊ะหนังสือโดยมีโน้ตบุ๊กเก่า ๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่อีกฟากหนึ่งมีตู้หนังสือตั้งไว้ภายในเต็มไปด้วยหนังสือมากมายทั้งใช้ประกอบการเรียนและการสอนของหญิงสาว “ทำไมน้องระริน ถึงได้เลือกมาอยู่หอพักนี้ล่ะครับ ทำไมไม่เช่าหออยู่ใกล้ถนนใหญ่ น่าจะสะดวกสบายและปลอดภัยกว่านี้ หอนี้ลึกเข้ามาในซอยตั้งเยอะ แถมยังเก่าอีก ดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยนะครับ แบบนี้พวกโจรผู้ร้ายมันถึงฉวยโอกาสเอาได้ โชคดีจริง ๆ ที่วันนี้น้องระรินไม่เป็นอะไร”
เอกวิทย์และเจตต์มองตามหลังไปก็เห็นสรวิชญ์กำลังยืนพูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วทำบางอย่างก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม “ใครวะไอ้ต้น” “คนรู้จัก” “เออ กูรู้ว่าคนรู้จัก แต่มึงไปรู้จักคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ดูดิเนื้อตัวนี่สักลายไปทั้งตัว ดูน่ากลัวมากกว่าน่าคบนะโว้ยไอ้ต้น” “นั่นสิไอ้ต้น มึงจะคบคนยังไงก็ระวังตัวไว้บ้างนะ ดูท่าแล้วผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวจริง ๆ นั่นแหละ” เจตต์ท้วง “เออน่า กูรู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ กูก็แค่จ้างทำงานนิดหน่อย” “งานอะไรวะ ถึงต้องจ้างคนแบบนี้ทำงาน” เอกวิทย์ถามขึ้นบ้าง “ก
กลางดึกคืนนั้น หลังจากสรวิชญ์เดินไปส่งรินรดาที่หอพัก เขาก็ยืนดูจนกระทั่งหญิงสาวเข้าห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับออกมา ไม่นานนักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเอกวิทย์ที่ดังขึ้น “ไอ้ต้น ไหนบอกว่าจะมาเลี้ยงเหล้าไงวะ หายหัวไปแบบนี้ คิดจะเบี้ยวกันใช่ไหม” “ใจเย็น ๆ สิวะไอ้เอก กูเพิ่งส่งน้องระรินเสร็จเนี่ย แล้วนี่กูก็กำลังจะไปหาพวกมึง เจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” หลังจากสรวิชญ์วางสายโทรศัพท์ลง เขาก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านเหล้าโดยเร็ว และทันทีที่เขาถึงร้านพอทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีขวดเหล้าถูกเปิดอยู่ก่อนแล้ว “ไหน...ตกลงได้ผลไหม ไอ้ที่อุตส่าห์ให้กูไปช่วยทำน่ะ” เอกวิทย์ถามทันที ขณะที่เจตต์มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความแปลกใจ “ทำ! ทำอะไรวะไอ้เอก นี่กูพลาดเรื่องอะไรไปหร
เช้าวันหนึ่งขณะที่รินรดากำลังเร่งรีบไปเรียน หญิงสาวมัวแต่กำลังคิดกังวลอยู่กับวิชาที่จะต้องสอบเก็บคะแนนวันนี้ โดยไม่ทันระวังตัว จังหวะที่เธอกำลังเดินข้ามทางม้าลาย รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความเร็วไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกำลังพุ่งเข้าชนเธออย่างจัง“กรี๊ด...”หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบางถูกใครบางคนฉุดกระชากดึงออกมาจากกลางถนนได้ทันท่วงที ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะทันถึงตัว ทำให้รินรดาล้มไปกองที่ฟุตพาทข้างทางในอ้อมกอดของใครบางคน“น้องระริน เป็นยังไงบ้างครับ”เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเรียกสติเธอกลับคืนมา พอรินรดาหันมามองใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ก็เห็นสรวิชญ์ที่กำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย“พี่ต้น!”“น้องระริน เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ” เขาพูดพลางช่วยประคองเธอลุกขึ้นแล้วสำรวจตัวเธอเป็นการใหญ่“ขอบคุณมากนะคะพี่ต้น แต่ระรินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” แม้เธอจะตอบออกไป หากใบหน้างามยังคงมีแววตื่นตระหนกอยู่ในที“นี่น้องระรินกำลังจะไปเรียนใช่ไหมครับ ให้พี่ไปส่ง
“ถ้าดีแสนดีขนาดนั้น ทำไมแกไม่เอาเองล่ะ จะมายุให้ฉันทำไม” “แหม...คุณเพื่อนคะ ก็ถ้าพี่ต้นมาจีบฉัน ฉันก็คงจะ Say Yes ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ แต่พี่เขาไม่ได้เข้ามาจีบฉันไง เขามาจีบแก ฉันในฐานะเพื่อนก็อยากให้แกได้คบกับคนดี ๆ ฉันว่าแกลองคบพี่ต้นดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นาจริงไหม” “แกนี่นะ คนหล่อ เรียนเก่ง ฐานะทางบ้านดีแล้วยังไง มันก็แค่เปลือก ผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละ...”น้ำเสียงรินรดากลืนหายไปในลำคอ ขณะที่ภาพของพ่อแม่ในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ‘อีปราง มึงไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับเมียกู’จักรกฤษณ์พูดจบก็ฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของปรางทิพย์ฉาดใหญ่ ทำให้เธอถลาล้มลงไปกองที่พื้นบ้านเช่าเก่า ๆ จนริมฝีปากแตกมีเลือดซึมออกมา หยาดน้ำตาไหลเปื้อนแก้มทั้งรักทั้งแค้นใจในตัวสามี ก่อนจะลุกขึ้นมาได้ก็ต่อว่าอย่างไม่ลดละ‘ทำไมกูจะขึ้นเสียงไม่ได้ กูเป็นเมียมึง กูจะด่าจะว่า จะทำยังไงก็ได้’‘กูไม่เคยนับว่ามึงเ
กลางดึกคืนนั้น หลังจากที่รินรดาเตรียมงานสอนพิเศษเสร็จเรียบร้อย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นกนกอรโทรเข้ามา เธอรีบรับสายโดยเร็ว “นี่อร ไม่น่ารีบกลับบ้านเลย ทำให้ฉันต้องไปกับพี่ต้นสองคนเนี่ย” เสียงต่อว่าต่อขานทำให้กนกอรหัวเราะคิกคักดังมาทางสายโทรศัพท์ “ฉันขอโทษนะระริน ที่บ้านมีเรื่องด่วนจริง ๆ ก็เจ้าอุ๋งอิ๋งน่ะสิ ไม่รู้เป็นอะไร คุณแม่บอกว่าพยายามเรียก แต่เรียกยังไงก็ไม่ยอมลุก ไม่ตื่น ไม่หือไม่อือ คุณแม่ก็ตกใจนึกว่าหมาตายเลยรีบโทรตามฉันกลับบ้านจะให้พาไปหาหมอ แต่แกรู้อะไรไหม พอฉันกลับถึงบ้าน เจ้าอุ๋งอิ๋งตัวแสบก็ลุกมากระดิกหางอ้อนใหญ่เลย คุณแม่ก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหอุ๋งอิ๋งยกใหญ่ แถมยังบ่นอีกว่าเจ้าอุ๋งอิ๋งเดี๋ยวนี้สำออยแกล้งตายเก่ง ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน เนี่ยเมื่อเย็นคุณแม่ก็ยังงอนเจ้าอุ๋งอิ๋งอยู่เลย ฉันต้องเป็นคนเอาข้าวให้กิน”&nb
สรวิชญ์คิดอยู่แล้วว่าหญิงสาวจะต้องหาทางปฏิเสธจนได้ เขาจึงเตรียมตัวมาอย่างดี “ลำบากที่ไหนกันล่ะครับ อีกอย่างพี่เกรงว่า ถ้าพี่ไม่ไปกับน้องระรินด้วย น้องอาจจะทำแค่บัตรนักศึกษา แต่ไม่ได้เอาหนังสือไปคืนอย่างที่พูดน่ะสิ ไม่เป็นไรนะครับ บ่ายนี้พี่ว่างเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนเอง” “เอ๊ะ!”“แต่ระรินจะไปกับอรค่ะ พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ระรินจะเอาหนังสือสามเล่มไปคืนและจะใช้บัตรของตัวเองยืมแทนค่ะ จะได้ไม่รบกวนพี่”จังหวะที่คนทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน กนกอรมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวก็ดังขึ้น ชั่วขณะหนึ่งที่กนกอรคุยโทรศัพท์กับปลายสายด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนจะวางสาย“ระริน ฉันคงไปกับแกไม่ได้แล้วล่ะ แม่โทรมาให้รีบกลับบ้านน่ะ ไม่รู้มีเรื่องอะไร พี่ต้นคะ อรฝากเพื่อนด้วยนะคะ”“ได้ครับน้องอร ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะดูแลเพื่อนเราให้อย่างดีเลยครับ”“ขอบคุณค่ะพี่ต้น ฉันไปก่อนนะแก” พูดจบกนกอรก็รีบผุดลุกไปทันที 
หลังจากสรวิชญ์มาถึงร้านประจำที่มีเอกวิทย์กับเจตต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริออกมาอย่างมีชัย“ไอ้เอก ไอ้เจตต์ วันนี้กูได้เบอร์น้องระรินมาแล้วโว้ย กูชนะ มื้อนี้พวกมึงต้องเลี้ยงกู”“อะไรวะไอ้ต้น มึงโกหกหรือเปล่า” เอกวิทย์ถามกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ“กูไม่ได้โกหก กูได้มาจริง ๆ นะเว้ย” สรวิชญ์นำโทรศัพท์มือถือมาอวดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวให้เพื่อนทั้งสองดู หากเจตต์กลับเป็นฝ่ายค้านขึ้น“ไอ้ต้น น้องเขาให้เบอร์โทรมาเฉย ๆ แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์มึงหรือเปล่าวะ มึงอย่าลืมสิ ขนาดพวกกูพยายามจีบน้องยังไง แม้แต่พูดกับพวกกูยังนับคำได้”“ไม่หรอกมั้ง กูว่ายังไงน้องเขาก็ต้องรับสายกู เพราะกูเป็นรุ่นพี่ที่ทั้งหล่อและแสนดีขนาดนี้”คำพูดหลงตัวเองของเขา ทำให้เอกวิทย์เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่จนต้องค้านขึ้นโดยเร็ว“เดี๋ยวนะไอ้ต้น นี่กูหูฝาดไปหรือเปล่า มึงเนี่ยนะรุ่นพี่แสนดี”“ก็ใช่น่ะสิ พวกมึงไม่เชื่อใช่ไหม ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวกูลองโทรหาน้องระรินเดี๋ยวนี้เลย”ว่าแล้วสรวิชญ์กดโทรออกหารินรดาทั