เช้าวันหนึ่งขณะที่รินรดากำลังเร่งรีบไปเรียน หญิงสาวมัวแต่กำลังคิดกังวลอยู่กับวิชาที่จะต้องสอบเก็บคะแนนวันนี้ โดยไม่ทันระวังตัว จังหวะที่เธอกำลังเดินข้ามทางม้าลาย รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความเร็วไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกำลังพุ่งเข้าชนเธออย่างจัง
“กรี๊ด...”
หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบางถูกใครบางคนฉุดกระชากดึงออกมาจากกลางถนนได้ทันท่วงที ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะทันถึงตัว ทำให้รินรดาล้มไปกองที่ฟุตพาทข้างทางในอ้อมกอดของใครบางคน
“น้องระริน เป็นยังไงบ้างครับ”
เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเรียกสติเธอกลับคืนมา พอรินรดาหันมามองใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ก็เห็นสรวิชญ์ที่กำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย
“พี่ต้น!”
“น้องระริน เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ” เขาพูดพลางช่วยประคองเธอลุกขึ้นแล้วสำรวจตัวเธอเป็นการใหญ่
“ขอบคุณมากนะคะพี่ต้น แต่ระรินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” แม้เธอจะตอบออกไป หากใบหน้างามยังคงมีแววตื่นตระหนกอยู่ในที
“นี่น้องระรินกำลังจะไปเรียนใช่ไหมครับ ให้พี่ไปส่ง
กลางดึกคืนนั้น หลังจากสรวิชญ์เดินไปส่งรินรดาที่หอพัก เขาก็ยืนดูจนกระทั่งหญิงสาวเข้าห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับออกมา ไม่นานนักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเอกวิทย์ที่ดังขึ้น “ไอ้ต้น ไหนบอกว่าจะมาเลี้ยงเหล้าไงวะ หายหัวไปแบบนี้ คิดจะเบี้ยวกันใช่ไหม” “ใจเย็น ๆ สิวะไอ้เอก กูเพิ่งส่งน้องระรินเสร็จเนี่ย แล้วนี่กูก็กำลังจะไปหาพวกมึง เจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” หลังจากสรวิชญ์วางสายโทรศัพท์ลง เขาก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านเหล้าโดยเร็ว และทันทีที่เขาถึงร้านพอทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีขวดเหล้าถูกเปิดอยู่ก่อนแล้ว “ไหน...ตกลงได้ผลไหม ไอ้ที่อุตส่าห์ให้กูไปช่วยทำน่ะ” เอกวิทย์ถามทันที ขณะที่เจตต์มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความแปลกใจ “ทำ! ทำอะไรวะไอ้เอก นี่กูพลาดเรื่องอะไรไปหร
เอกวิทย์และเจตต์มองตามหลังไปก็เห็นสรวิชญ์กำลังยืนพูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วทำบางอย่างก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม “ใครวะไอ้ต้น” “คนรู้จัก” “เออ กูรู้ว่าคนรู้จัก แต่มึงไปรู้จักคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ดูดิเนื้อตัวนี่สักลายไปทั้งตัว ดูน่ากลัวมากกว่าน่าคบนะโว้ยไอ้ต้น” “นั่นสิไอ้ต้น มึงจะคบคนยังไงก็ระวังตัวไว้บ้างนะ ดูท่าแล้วผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวจริง ๆ นั่นแหละ” เจตต์ท้วง “เออน่า กูรู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ กูก็แค่จ้างทำงานนิดหน่อย” “งานอะไรวะ ถึงต้องจ้างคนแบบนี้ทำงาน” เอกวิทย์ถามขึ้นบ้าง “ก
ครั้นพอทั้งสองขึ้นไปบนห้องพักของรินรดาเรียบร้อยแล้ว สรวิชญ์ก็ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา ใบหน้าเขายังคงเหยเกด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สายตาก็มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องพัก หอพักแห่งนี้ลึกเข้ามาในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ขนาดห้องพักไม่ถึงกับเล็กมาก แต่สภาพภายในเก่าแก่จนสีที่ทาไว้ลอกออกกระทั่งเห็นผนังปูนเปลือย มีเตียงเล็ก ๆ ตั้งไว้มุมหนึ่งของห้องติดกับโต๊ะหนังสือโดยมีโน้ตบุ๊กเก่า ๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่อีกฟากหนึ่งมีตู้หนังสือตั้งไว้ภายในเต็มไปด้วยหนังสือมากมายทั้งใช้ประกอบการเรียนและการสอนของหญิงสาว “ทำไมน้องระริน ถึงได้เลือกมาอยู่หอพักนี้ล่ะครับ ทำไมไม่เช่าหออยู่ใกล้ถนนใหญ่ น่าจะสะดวกสบายและปลอดภัยกว่านี้ หอนี้ลึกเข้ามาในซอยตั้งเยอะ แถมยังเก่าอีก ดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยนะครับ แบบนี้พวกโจรผู้ร้ายมันถึงฉวยโอกาสเอาได้ โชคดีจริง ๆ ที่วันนี้น้องระรินไม่เป็นอะไร”
สรวิชญ์เดินออกจากหอพักของรินรดาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แม้วันนี้รินรดาจะปฏิเสธการเป็นแฟนกับเขาอีกหน แต่กลับไม่ได้ทำให้ผิดหวังสักเท่าใด เพราะอย่างน้อยปลาก็กินเบ็ดแล้ว วันหน้าเธอจะไปไหนรอด คิดเพลิน ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ พอเห็นชื่อที่หน้าจอเขาก็รีบกดรับสายทันที “ไอ้อำนาจ...กูบอกให้พวกมึงทำเบา ๆ นี่อะไรทั้งเตะทั้งต่อย จนกูสะบักสะบอมไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย” “ขอโทษครับคุณต้น ผมก็ย้ำกับไอ้สองคนนั่นหลายรอบแล้วนะครับ แต่พวกมันคงกลัวไม่สมจริงก็เลยหนักมือไปหน่อย” “เออ...ก็จริงของมึง งั้นเดี๋ยวกูโอนเงินค่าจ้างที่เหลือไปให้ แล้วบอกคนอื่นด้วยนะ ปิดปากให้สนิท ไม่งั้นจะหาว่ากูไม่เตือน” “ครับคุณต้น” ชายหนุ่มกดวางสาย แล
“แม่ แม่จ๋า...” เด็กหญิงรินรดาในวัยแปดขวบ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วบ่งบอกถึงอารมณ์ดีใจตั้งแต่หน้าประตูบ้าน ในมือมีใบแสดงผลการเรียนว่าเธอสอบได้ที่หนึ่งหลังจากใช้ความพยายามตั้งใจเรียนและขยันอ่านหนังสือตลอดเทอมที่ผ่านมา ทั้งที่ตัวเองต้องตื่นตั้งแต่ตีสองครึ่งเพื่อช่วยแม่ทำข้าวแกงไปขายที่ตลาดทุกเช้า ทว่าพอเดินเข้ามาในบ้านก็ต้องแปลกใจ วันนี้บ้านช่องเงียบเชียบผิดปกติไม่มีเสียงแม่ตะโกนด่าทอที่เธอทำเสียงดัง ทั้งหม้อ ถาด อุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งใช้ใส่ข้าวแกงไปขายที่ตลาดก็ยังคงวางระเกะระกะไม่ได้ถูกล้างทำความสะอาดอย่างที่ควรจะเป็น ผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมาแม้แต่ขวดเหล้าที่วางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ก็ยังเหลือทิ้งไว้ครึ่งขวด ยิ่งทำให้รินรดารู้สึกผิดสังเกต เธอมองไปรอบกายด้วยความแปลกใจ ปกติขวดเหล้าเมื่อเปิดขวดแล้วแม่ของเธอจะดื่มหมดในเวลาไม่กี่อึดใจจนป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่นี่กลับเหลือไว้อะไรบางอย่างทำให้เด็กหญิงเริ่มร้อนใจ เหลียวมองมองผู้เป็นแม่ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเมาแล้วนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน “แม่...” รินรดาพยายามร้องเรียกอีกครั้ง หากก็ไม่มีเสีย
งานศพของปรางทิพย์ถูกจัดขึ้นที่ศาลาวัดแห่งหนึ่งในตัวเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีดอกไม้ประดับพอให้เห็นเป็นพิธี แขกเหรื่อที่มางานก็เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นกันกับลูกค้าประจำของร้านข้าวแกงที่อุดหนุนกันจนสนิทสนมส่วนจักรกฤษณ์สามีของผู้ตายซึ่งควรจะเป็นเสาหลักในการจัดการงานศพให้ภรรยาก็เงียบหายไปเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ก่อนที่ปรางทิพย์จะเสียชีวิต ไม่มีใครรู้ข่าวหรือติดต่อได้ ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างตกไปที่พรพรรณผู้เป็นน้องสาวที่รีบ ลางานกลับมาพิษณุโลกหลังจากรู้ข่าวร้ายของพี่สาวตัวเอง พรพรรณใช้เงินเก็บที่มีเพียงน้อยนิด รวมกับเงินของเพื่อนบ้านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดการงานศพด้วยความเวทนาผู้ตายกับลูกสาวตัวน้อยที่จู่ ๆ ต้องกลายมาเป็นเด็กกำพร้าแม่เช่นนี้หลังจากพระสวดอภิธรรมศพเสร็จเรียบร้อย เหลือเพียงแขกในงานไม่กี่คนที่ยังนั่งสนทนากันอยู่บนศาลาวัด รินรดาสวมชุดสีดำเก่า ๆ นั่งมองรูปถ่ายของมารดาที่กำลังส่งยิ้มให้อยู่หน้าโลงศพ แววตาของเด็กหญิงทั้งเศร้าสร้อยและแดงก่ำหลังจากผ่านการร้องไห้มาหลายต่อหลายครั้ง พรพรรณมองหลานสาวอย่างเวทนา ก่อนทรุดตัวลง นั่งข้าง ๆ หากยังไ
พ่อของจักรกฤษณ์เป็นคนจีนส่วนแม่เป็นคนไทย ทางครอบครัวคาดหวังให้เขามีลูกชายไว้สืบสกุล กอปรกับปรางทิพย์ไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อแม่ต้องการให้แต่งงานด้วย การที่เธอมีลูกชายคนแรกจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเขายอมรับได้นอกจากนี้เคยมีหมอดูทำนายดวงปรางทิพย์ไว้ว่า หากเธอได้ลูกชายคนแรก ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นเศรษฐี แต่ถ้าหากเธอมีลูกสาวคนแรกจะนำพาให้ครอบครัวตกต่ำยากจนเข็ญใจ ทั้งสองจึงต้องการให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชายเท่านั้นแต่แล้วความฝันก็พังครืน...เมื่อปรางทิพย์คลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง ทั้งที่เธออุ้มท้องลูกแฝด แต่คนที่มีชีวิตรอดกลับมีเพียงรินรดา ขณะที่ฝาแฝดเพศชายเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์สร้างความผิดหวังให้สองสามีภรรยามาก และดูเหมือนว่าคำทำนายของหมอดูก็จะมีเค้าความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากที่รินรดาลืมตาดูโลก เธอก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ทำให้พ่อแม่ต้องเสียเงินพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้งแม้แต่ปรางทิพย์เอง หลังจากคลอดลูก เธอก็มีอาการป่วยจากภาวะหลังคลอด ทำให้เธอหงุดหงิดจนมีเรื่องทะเลาะกับสามี กอปรกับพ่อแม่ของจักรกฤษณ์เสียชีวิตลงหลังจากรินรดาคลอดได้ไม่นาน เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหลอลงไปทุกว
“อ้อ...ชื่อเพ็ญเหรอ แหม...ชื่อก็เพราะ หน้าตาก็ดี แต่ทำไมไม่มีปัญญาหาผัวเองล่ะ ต้องมาแย่งผัวคนอื่นเขาแบบนี้ นี่...กูจะบอกให้เอาบุญนะ เมียน้อยยังไงก็เป็นเมียน้อยอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เมียหลวงเขาตายไปแล้ว แต่มึงไม่มีวันลบคำว่าเมียน้อยออกไปจากชีวิตมึงได้หรอก มันจะกลายเป็นตราบาปว่ามึงไปแย่งผัวเขามา ส่วนลูกมึงก็เป็นแค่ลูกชู้ อย่ามาสำคัญตัวผิด”“อีอ้อย อีปากหมา เพ็ญอย่าไปฟังมันนะ สำหรับพี่เพ็ญไม่ใช่เมียน้อย เพ็ญคือผู้หญิงคนเดียวที่พี่รัก ส่วนอีปรางพี่ไม่เคยรักมันเลย”จักรกฤษณ์ออกหน้าปกป้องเมียใหม่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนกระทั่งว่าตนมางานศพของปรางทิพย์ “ถุย! พูดออกมาได้ ไม่เคยรักพี่กูเลย แต่ดันเอากันจนมีลูกกับพี่กูเนี่ยนะ ใครเชื่อก็โง่ตาย แต่กูขอถามมึงหน่อยเหอะ นี่ไอ้ไม้ มึงเป็นผู้ชายแบบไหน ถึงได้กล้าพาเมียน้อยกับลูกมาในงานศพเมียหลวงแบบนี้ อย่างน้อยพี่ปรางก็เคยเป็นเมียมึงนะ เมียที่อยู่กินกับมึงมาก่อนตั้งแต่มึงยังมีแต่ตัว เมียที่คอยช่วยมึงทำมาหากิน เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ศพก็ยังไม่ได้เผาตั้งอยู่ทนโท่ กูว่าดีไม่ดีที่พี่ปรางฆ่าตัวตาย ก็เพราะมึงนี่แหละไอ้ไม้ เพราะมึงมีเมียน้อย พี่ปรางเสียใจเลยคิด
สรวิชญ์เดินออกจากหอพักของรินรดาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แม้วันนี้รินรดาจะปฏิเสธการเป็นแฟนกับเขาอีกหน แต่กลับไม่ได้ทำให้ผิดหวังสักเท่าใด เพราะอย่างน้อยปลาก็กินเบ็ดแล้ว วันหน้าเธอจะไปไหนรอด คิดเพลิน ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ พอเห็นชื่อที่หน้าจอเขาก็รีบกดรับสายทันที “ไอ้อำนาจ...กูบอกให้พวกมึงทำเบา ๆ นี่อะไรทั้งเตะทั้งต่อย จนกูสะบักสะบอมไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย” “ขอโทษครับคุณต้น ผมก็ย้ำกับไอ้สองคนนั่นหลายรอบแล้วนะครับ แต่พวกมันคงกลัวไม่สมจริงก็เลยหนักมือไปหน่อย” “เออ...ก็จริงของมึง งั้นเดี๋ยวกูโอนเงินค่าจ้างที่เหลือไปให้ แล้วบอกคนอื่นด้วยนะ ปิดปากให้สนิท ไม่งั้นจะหาว่ากูไม่เตือน” “ครับคุณต้น” ชายหนุ่มกดวางสาย แล
ครั้นพอทั้งสองขึ้นไปบนห้องพักของรินรดาเรียบร้อยแล้ว สรวิชญ์ก็ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา ใบหน้าเขายังคงเหยเกด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สายตาก็มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องพัก หอพักแห่งนี้ลึกเข้ามาในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ขนาดห้องพักไม่ถึงกับเล็กมาก แต่สภาพภายในเก่าแก่จนสีที่ทาไว้ลอกออกกระทั่งเห็นผนังปูนเปลือย มีเตียงเล็ก ๆ ตั้งไว้มุมหนึ่งของห้องติดกับโต๊ะหนังสือโดยมีโน้ตบุ๊กเก่า ๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่อีกฟากหนึ่งมีตู้หนังสือตั้งไว้ภายในเต็มไปด้วยหนังสือมากมายทั้งใช้ประกอบการเรียนและการสอนของหญิงสาว “ทำไมน้องระริน ถึงได้เลือกมาอยู่หอพักนี้ล่ะครับ ทำไมไม่เช่าหออยู่ใกล้ถนนใหญ่ น่าจะสะดวกสบายและปลอดภัยกว่านี้ หอนี้ลึกเข้ามาในซอยตั้งเยอะ แถมยังเก่าอีก ดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยนะครับ แบบนี้พวกโจรผู้ร้ายมันถึงฉวยโอกาสเอาได้ โชคดีจริง ๆ ที่วันนี้น้องระรินไม่เป็นอะไร”
เอกวิทย์และเจตต์มองตามหลังไปก็เห็นสรวิชญ์กำลังยืนพูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วทำบางอย่างก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม “ใครวะไอ้ต้น” “คนรู้จัก” “เออ กูรู้ว่าคนรู้จัก แต่มึงไปรู้จักคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ดูดิเนื้อตัวนี่สักลายไปทั้งตัว ดูน่ากลัวมากกว่าน่าคบนะโว้ยไอ้ต้น” “นั่นสิไอ้ต้น มึงจะคบคนยังไงก็ระวังตัวไว้บ้างนะ ดูท่าแล้วผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวจริง ๆ นั่นแหละ” เจตต์ท้วง “เออน่า กูรู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ กูก็แค่จ้างทำงานนิดหน่อย” “งานอะไรวะ ถึงต้องจ้างคนแบบนี้ทำงาน” เอกวิทย์ถามขึ้นบ้าง “ก
กลางดึกคืนนั้น หลังจากสรวิชญ์เดินไปส่งรินรดาที่หอพัก เขาก็ยืนดูจนกระทั่งหญิงสาวเข้าห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับออกมา ไม่นานนักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเอกวิทย์ที่ดังขึ้น “ไอ้ต้น ไหนบอกว่าจะมาเลี้ยงเหล้าไงวะ หายหัวไปแบบนี้ คิดจะเบี้ยวกันใช่ไหม” “ใจเย็น ๆ สิวะไอ้เอก กูเพิ่งส่งน้องระรินเสร็จเนี่ย แล้วนี่กูก็กำลังจะไปหาพวกมึง เจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” หลังจากสรวิชญ์วางสายโทรศัพท์ลง เขาก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านเหล้าโดยเร็ว และทันทีที่เขาถึงร้านพอทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีขวดเหล้าถูกเปิดอยู่ก่อนแล้ว “ไหน...ตกลงได้ผลไหม ไอ้ที่อุตส่าห์ให้กูไปช่วยทำน่ะ” เอกวิทย์ถามทันที ขณะที่เจตต์มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความแปลกใจ “ทำ! ทำอะไรวะไอ้เอก นี่กูพลาดเรื่องอะไรไปหร
เช้าวันหนึ่งขณะที่รินรดากำลังเร่งรีบไปเรียน หญิงสาวมัวแต่กำลังคิดกังวลอยู่กับวิชาที่จะต้องสอบเก็บคะแนนวันนี้ โดยไม่ทันระวังตัว จังหวะที่เธอกำลังเดินข้ามทางม้าลาย รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความเร็วไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกำลังพุ่งเข้าชนเธออย่างจัง“กรี๊ด...”หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบางถูกใครบางคนฉุดกระชากดึงออกมาจากกลางถนนได้ทันท่วงที ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะทันถึงตัว ทำให้รินรดาล้มไปกองที่ฟุตพาทข้างทางในอ้อมกอดของใครบางคน“น้องระริน เป็นยังไงบ้างครับ”เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเรียกสติเธอกลับคืนมา พอรินรดาหันมามองใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ก็เห็นสรวิชญ์ที่กำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย“พี่ต้น!”“น้องระริน เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ” เขาพูดพลางช่วยประคองเธอลุกขึ้นแล้วสำรวจตัวเธอเป็นการใหญ่“ขอบคุณมากนะคะพี่ต้น แต่ระรินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” แม้เธอจะตอบออกไป หากใบหน้างามยังคงมีแววตื่นตระหนกอยู่ในที“นี่น้องระรินกำลังจะไปเรียนใช่ไหมครับ ให้พี่ไปส่ง
“ถ้าดีแสนดีขนาดนั้น ทำไมแกไม่เอาเองล่ะ จะมายุให้ฉันทำไม” “แหม...คุณเพื่อนคะ ก็ถ้าพี่ต้นมาจีบฉัน ฉันก็คงจะ Say Yes ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ แต่พี่เขาไม่ได้เข้ามาจีบฉันไง เขามาจีบแก ฉันในฐานะเพื่อนก็อยากให้แกได้คบกับคนดี ๆ ฉันว่าแกลองคบพี่ต้นดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นาจริงไหม” “แกนี่นะ คนหล่อ เรียนเก่ง ฐานะทางบ้านดีแล้วยังไง มันก็แค่เปลือก ผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละ...”น้ำเสียงรินรดากลืนหายไปในลำคอ ขณะที่ภาพของพ่อแม่ในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ‘อีปราง มึงไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับเมียกู’จักรกฤษณ์พูดจบก็ฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของปรางทิพย์ฉาดใหญ่ ทำให้เธอถลาล้มลงไปกองที่พื้นบ้านเช่าเก่า ๆ จนริมฝีปากแตกมีเลือดซึมออกมา หยาดน้ำตาไหลเปื้อนแก้มทั้งรักทั้งแค้นใจในตัวสามี ก่อนจะลุกขึ้นมาได้ก็ต่อว่าอย่างไม่ลดละ‘ทำไมกูจะขึ้นเสียงไม่ได้ กูเป็นเมียมึง กูจะด่าจะว่า จะทำยังไงก็ได้’‘กูไม่เคยนับว่ามึงเ
กลางดึกคืนนั้น หลังจากที่รินรดาเตรียมงานสอนพิเศษเสร็จเรียบร้อย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นกนกอรโทรเข้ามา เธอรีบรับสายโดยเร็ว “นี่อร ไม่น่ารีบกลับบ้านเลย ทำให้ฉันต้องไปกับพี่ต้นสองคนเนี่ย” เสียงต่อว่าต่อขานทำให้กนกอรหัวเราะคิกคักดังมาทางสายโทรศัพท์ “ฉันขอโทษนะระริน ที่บ้านมีเรื่องด่วนจริง ๆ ก็เจ้าอุ๋งอิ๋งน่ะสิ ไม่รู้เป็นอะไร คุณแม่บอกว่าพยายามเรียก แต่เรียกยังไงก็ไม่ยอมลุก ไม่ตื่น ไม่หือไม่อือ คุณแม่ก็ตกใจนึกว่าหมาตายเลยรีบโทรตามฉันกลับบ้านจะให้พาไปหาหมอ แต่แกรู้อะไรไหม พอฉันกลับถึงบ้าน เจ้าอุ๋งอิ๋งตัวแสบก็ลุกมากระดิกหางอ้อนใหญ่เลย คุณแม่ก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหอุ๋งอิ๋งยกใหญ่ แถมยังบ่นอีกว่าเจ้าอุ๋งอิ๋งเดี๋ยวนี้สำออยแกล้งตายเก่ง ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน เนี่ยเมื่อเย็นคุณแม่ก็ยังงอนเจ้าอุ๋งอิ๋งอยู่เลย ฉันต้องเป็นคนเอาข้าวให้กิน”&nb
สรวิชญ์คิดอยู่แล้วว่าหญิงสาวจะต้องหาทางปฏิเสธจนได้ เขาจึงเตรียมตัวมาอย่างดี “ลำบากที่ไหนกันล่ะครับ อีกอย่างพี่เกรงว่า ถ้าพี่ไม่ไปกับน้องระรินด้วย น้องอาจจะทำแค่บัตรนักศึกษา แต่ไม่ได้เอาหนังสือไปคืนอย่างที่พูดน่ะสิ ไม่เป็นไรนะครับ บ่ายนี้พี่ว่างเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนเอง” “เอ๊ะ!”“แต่ระรินจะไปกับอรค่ะ พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ระรินจะเอาหนังสือสามเล่มไปคืนและจะใช้บัตรของตัวเองยืมแทนค่ะ จะได้ไม่รบกวนพี่”จังหวะที่คนทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน กนกอรมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวก็ดังขึ้น ชั่วขณะหนึ่งที่กนกอรคุยโทรศัพท์กับปลายสายด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนจะวางสาย“ระริน ฉันคงไปกับแกไม่ได้แล้วล่ะ แม่โทรมาให้รีบกลับบ้านน่ะ ไม่รู้มีเรื่องอะไร พี่ต้นคะ อรฝากเพื่อนด้วยนะคะ”“ได้ครับน้องอร ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะดูแลเพื่อนเราให้อย่างดีเลยครับ”“ขอบคุณค่ะพี่ต้น ฉันไปก่อนนะแก” พูดจบกนกอรก็รีบผุดลุกไปทันที 
หลังจากสรวิชญ์มาถึงร้านประจำที่มีเอกวิทย์กับเจตต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริออกมาอย่างมีชัย“ไอ้เอก ไอ้เจตต์ วันนี้กูได้เบอร์น้องระรินมาแล้วโว้ย กูชนะ มื้อนี้พวกมึงต้องเลี้ยงกู”“อะไรวะไอ้ต้น มึงโกหกหรือเปล่า” เอกวิทย์ถามกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ“กูไม่ได้โกหก กูได้มาจริง ๆ นะเว้ย” สรวิชญ์นำโทรศัพท์มือถือมาอวดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวให้เพื่อนทั้งสองดู หากเจตต์กลับเป็นฝ่ายค้านขึ้น“ไอ้ต้น น้องเขาให้เบอร์โทรมาเฉย ๆ แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์มึงหรือเปล่าวะ มึงอย่าลืมสิ ขนาดพวกกูพยายามจีบน้องยังไง แม้แต่พูดกับพวกกูยังนับคำได้”“ไม่หรอกมั้ง กูว่ายังไงน้องเขาก็ต้องรับสายกู เพราะกูเป็นรุ่นพี่ที่ทั้งหล่อและแสนดีขนาดนี้”คำพูดหลงตัวเองของเขา ทำให้เอกวิทย์เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่จนต้องค้านขึ้นโดยเร็ว“เดี๋ยวนะไอ้ต้น นี่กูหูฝาดไปหรือเปล่า มึงเนี่ยนะรุ่นพี่แสนดี”“ก็ใช่น่ะสิ พวกมึงไม่เชื่อใช่ไหม ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวกูลองโทรหาน้องระรินเดี๋ยวนี้เลย”ว่าแล้วสรวิชญ์กดโทรออกหารินรดาทั