หลังจากเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง รินรดาเลือกย้ายมาอยู่หอพักราคาถูกใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปเรียน หลังจากที่กลับมาถึงหอพักก็จะไปรับจ้างทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ แม้รู้ดีว่างานแบบนี้รายได้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอก็บอกตัวเองให้อดทนทำต่อไปเพื่ออนาคตที่ดี
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่รินรดากำลังทำงานในร้านสะดวกซื้อก็บังเอิญได้ยินเด็กมัธยมที่เข้ามาซื้อของคุยกับเพื่อนที่มาด้วยว่าต้องการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่มีเงินจำกัดจึงไม่สามารถไปติวในสถาบันกวดวิชาชื่อดังได้ หญิงสาวก็เกิดไอเดียและเสนอตัวช่วยติวให้ แลกเปลี่ยนกับการให้ชวนเพื่อนนักเรียนมาเรียนพิเศษกับเธอ ซึ่งเธอคิดค่าสอนในราคาถูกกว่าคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงเริ่มมีช่องทางหารายได้เพิ่มอีกหนึ่งงาน
หลังจากนั้นเป็นต้นมารินรดาต้องจัดสรรเวลาในแต่ละวัน ทั้งเรียน สอนพิเศษ และทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ โดยที่ไม่ลืมทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน ทำให้หญิงสาวได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมง
คืนหนึ่งขณะที่รินรดากำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พอเห็นชื่อที่หน้าจอเธอก็รีบกดรับสาย
“ระริน เป็นยังไงบ้างลูก เปิดเทอมแล้วเรียนหนักไหม”
เสียงพรพรรณดังมาตามสายทำให้คนฟังคิดถึงน้าสาวขึ้นมาจับใจ
“เรียนก็หนักอยู่ค่ะน้าอ้อย แต่กิจกรรมเยอะกว่าค่ะ บางกิจกรรมถ้าโดดได้หนูก็จะโดดรีบกลับมาทำงานค่ะน้าอ้อย”
“น้าว่า ถ้าเรียนและกิจกรรมมันหนักมาก หนูเรียนอย่างเดียวดีกว่าไหมลูก ไม่ต้องรับสอนพิเศษ แล้วก็ไม่ต้องไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อหรอก น้าไม่อยากให้หนูหักโหมทำทุกอย่าง เดี๋ยวร่างกายเราจะแย่เอา น้าเป็นห่วง อีกอย่างตอนนี้เงินเดือนน้าก็ได้เยอะกว่าเมื่อก่อนแล้ว หนูไม่ต้องกังวลว่าน้าจะส่งไม่ไหวนะลูก”
“ขอบคุณมากนะคะน้าอ้อย หนูก็คิดอยู่เหมือนกันว่าอาจจะเลิกทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ เพราะแค่รับสอนพิเศษให้เด็ก ๆ กับเรียนตอนนี้ก็แทบจะอ่านหนังสือไม่ทันแล้วล่ะค่ะ”
“รับสอนพิเศษอย่างเดียวก็พอแล้วลูก ส่วนค่าใช้จ่ายขาดเหลืออะไรก็บอกน้าเดี๋ยวน้าจัดการเอง เข้าใจไหม อีกอย่าง ระรินต้องรับปากน้านะ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรต้องรีบบอกรู้ไหม อย่าเก็บไว้คนเดียว หนูยังมีน้าคนนี้เสมอนะลูก”
“จ้ะน้าอ้อย ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูสบายมาก”
“จ้า แม่คนเก่ง เอาเถอะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาแล้วกันนะ เอาล่ะน้าไม่กวนแล้ว แค่นี้ก่อนนะลูก”
รินรดารับคำ ก่อนจะกดวางสาย
ดวงตาคู่งามมองหน้าจอมือถือที่ดับไปแล้วด้วยความคิดถึง หลังจากแม่เสียไป เธอก็มีเพียงน้าอ้อยคนนี้ที่คอยดูแลห่วงใย ส่วนบุพการีที่เหลืออีกคน ตอนนี้เธอไม่คิดสนใจหรือตามหาแล้ว และพ่อเองก็คงลืมว่ามีลูกสาวทางนี้อีกคน ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลที่เธอต้องเอาดีให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนน้าสาวที่เลี้ยงมา พร้อมกับทำให้คนที่ทิ้งเธอไปมีความสุขกับครอบครัวใหม่ได้เห็นว่า...
ลูกสาวคนนี้ก็เอาดีได้เหมือนกัน!
วันหนึ่งหลังจากเรียนเสร็จในช่วงเช้า รินรดาจึงชวนกนกอรเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร หญิงสาวก้มหน้าก้มตานั่งกินข้าวขณะที่สายตาก็อ่านหนังสือควบคู่ไปด้วย ทำให้คนเป็นเพื่อนที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยถึงกับเบ้หน้า แกล้งยื่นมือไปปิดหนังสือที่รินรดากำลังอ่านอยู่
“ระริน แกจะขยันไปไหนวะ นี่เราเพิ่งเรียนเสร็จมานะ พักสมองบ้างก็ได้ ดูโน่นสิแก พวกผู้ชายโต๊ะโน้นกำลังจ้องมองแกแล้วหันไปกระซิบกระซาบกันใหญ่เลยเห็นไหม นี่ฉันสังเกตมาพักใหญ่แล้วนะ ฉันว่า...ต้องมีคนในกลุ่มสนใจแกแน่ ๆ เลยว่ะ”
“แล้วยังไง” รินรดาถามไปงั้น ๆ สายตายังคงไม่ละไปจากหน้าหนังสือเรียน
“ถ้าให้เดานะ ฉันว่าผู้ชายหล่อ ๆ แน่เลยว่ะแก ดูสิหน้าแดง เขินใหญ่เลย”
รินรดาปรายตามองตามที่กนกอรบอกเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเองจะหันกลับมากินข้าวและอ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจ จนคนเป็นเพื่อนอดค้อนไม่ได้
“ระริน แกไม่สนใจเลยเหรอวะ ผู้ชายคนนั้นหล่อนะเว้ย”
“ก็ทั่ว ๆ ไปนะ ไม่เห็นจะหล่อตรงไหนเลย หน้าตาก็งั้น ๆ”
“แกนี่นะ ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าหล่อ แล้วแบบไหนของแกถึงจะหล่อวะ”
“ไม่มี”
คำตอบแสนสั้นของรินรดาทำเอากนกอรถึงกับมองบน
“เออ ๆ แม่สวยเลือกได้ ชิ นี่ถ้าเขามาจีบฉันล่ะก็ จะรีบตกลงเลยล่ะแกเอ้ย”
“อร คนมันก็เหมือนกันแหละ จะสวยหล่อแค่ไหนแก่ไปก็เหี่ยวเหมือนกันหมด ถ้าจะเลือกคบแกก็เลือกคบที่นิสัยดีกว่าไหม ไอ้หล่อ ๆ แบบนี้ไม่ดีก็เยอะ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีเหมือนกัน ผู้ชายเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ได้หรอก เห็นหน้าตาดี ๆ แบบนี้ร้ายก็เยอะ รู้หน้าไม่รู้ใจนะแก”
“แหม ระริน ฉันว่าแกมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่าวะ ก็แกคิดแบบนี้ยังไงล่ะ ถึงไม่มีแฟนสักที อนาคตได้มีหวังขึ้นคานแน่ ๆ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”
“ฉันยอมขึ้นคานดีกว่าจะต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ฉันขอเตือนด้วยความหวังดีนะ ผู้ชายดี ๆ หายาก อย่าไปสนใจกับแค่หน้าตาดี ๆ หน่อยเลย ตั้งใจเรียนดีกว่าแก”
“แกพูดอย่างกับว่า เคยอกหักหรือถูกผู้ชายทิ้งมา ถึงได้มองโลกในแง่ร้ายแบบนั้น”
“เปล่า ฉันยังไม่เคยมีแฟน และฉันก็ไม่คิดจะมีแฟนด้วย”
“นี่ระริน ฉันว่า ผู้ชายเลว ๆ มันก็มี แต่ผู้ชายดี ๆ ก็คงมีเหมือนกัน เราไม่ควรตัดสินใครตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอว่าเขาดีหรือเลวนะแก” รินรดามองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับเพื่อนรัก
“อร ฉันว่าเรื่องผู้ชายตอนนี้ช่างมันก่อนเหอะ นี่ใกล้เวลาเรียนวิชาต่อไปแล้ว เรารีบไปเรียนกันดีไหม วิชานี้อาจารย์เช็กชื่อด้วยนะ
รินรดาตัดบทพร้อมกับรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากโรงอาหารทันที แต่ความรีบร้อนทำให้เธอเผลอทำของสำคัญหล่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน รินรดาก็รีบไปที่ห้องสมุดต่อเพื่อค้นหาหนังสือประกอบวิชาเรียน ในขณะที่กนกอรขอแยกตัวกลับไปก่อนแล้ว หญิงสาวใช้เวลาหาหนังสืออยู่พักใหญ่ จนกระทั่งใกล้เวลาที่ห้องสมุดจะปิดให้บริการ เธอจึงรีบหยิบหนังสือที่ต้องการแล้ววิ่งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อยืมหนังสือทันที ระหว่างยืนต่อคิวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เธอก็พยายามควานหาบัตรนักศึกษาในกระเป๋าสะพาย ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ “หายไปไหนนะ จำได้ว่าเอามาแล้วนี่” “หาบัตรนักศึกษาไม่เจอเหรอครับ พี่ยืมหนังสือให้ก่อนดีไหม”จู่ ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเธอหันไปมองก็จำได้ว่าเขาคือคนเดียวกับคนหล่อของกนกอรที่พบในโรงอาหารนั่นเอง “เอ่อ...”หญิงสาวหันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธเพราะไม่
สรวิชญ์ หรือต้น รุ่นพี่ชั้นปีที่สอง ในวัยยี่สิบปี เขาเรียนคณะเดียวกับรินรดา ตั้งแต่หญิงสาวเข้ามาเรียนในคณะ ความงามของเธอก็เป็นที่โจษจันในหมู่รุ่นพี่หนุ่ม ๆ แต่สรวิชญ์ กลับไม่ได้สนใจเธอแต่แรก เพราะในมหาวิทยาลัยผู้หญิงสวยมีมากมายกว่าผู้ชายรูปหล่ออย่างเขาที่มีดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเขาจะต้องการสาวสวยคนไหน เพียงแค่เขาชายตามอง หรือแสดงออกว่าชอบนิดหน่อย พวกเธอก็แทบจะวิ่งเข้าหาโดยที่เขาไม่ต้องลงทุนจีบเลยด้วยซ้ำแต่ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เล่นตัวขึ้นมาอีกหน่อย ถ้าเขาสนใจก็เพียงแค่คอยเอาอกเอาใจ พูดจาหวานหู หรือเปย์เงินให้เธอไม่กี่ครั้ง แค่นี้ก็ทำให้พวกสาว ๆ ยอมเป็นแฟนเขาแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขายอมหยุดกับพวกเธอได้เลยสักคน เพราะพอคบ ๆ กันไป พวกเธอแต่ละคนก็ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียจนน่ารำคาญ บางครั้งถึงขั้นตามหึงหวงตบตีกันจนเขาเบื่อหน่าย ทว่ารินรดากลับต่างออกไป เท่าที่เขาสังเกตดู ไม่ว่าจะมีผู้ชายแสดงตัวเข้าไปจี
หลังจากสรวิชญ์มาถึงร้านประจำที่มีเอกวิทย์กับเจตต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริออกมาอย่างมีชัย“ไอ้เอก ไอ้เจตต์ วันนี้กูได้เบอร์น้องระรินมาแล้วโว้ย กูชนะ มื้อนี้พวกมึงต้องเลี้ยงกู”“อะไรวะไอ้ต้น มึงโกหกหรือเปล่า” เอกวิทย์ถามกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ“กูไม่ได้โกหก กูได้มาจริง ๆ นะเว้ย” สรวิชญ์นำโทรศัพท์มือถือมาอวดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวให้เพื่อนทั้งสองดู หากเจตต์กลับเป็นฝ่ายค้านขึ้น“ไอ้ต้น น้องเขาให้เบอร์โทรมาเฉย ๆ แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์มึงหรือเปล่าวะ มึงอย่าลืมสิ ขนาดพวกกูพยายามจีบน้องยังไง แม้แต่พูดกับพวกกูยังนับคำได้”“ไม่หรอกมั้ง กูว่ายังไงน้องเขาก็ต้องรับสายกู เพราะกูเป็นรุ่นพี่ที่ทั้งหล่อและแสนดีขนาดนี้”คำพูดหลงตัวเองของเขา ทำให้เอกวิทย์เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่จนต้องค้านขึ้นโดยเร็ว“เดี๋ยวนะไอ้ต้น นี่กูหูฝาดไปหรือเปล่า มึงเนี่ยนะรุ่นพี่แสนดี”“ก็ใช่น่ะสิ พวกมึงไม่เชื่อใช่ไหม ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวกูลองโทรหาน้องระรินเดี๋ยวนี้เลย”ว่าแล้วสรวิชญ์กดโทรออกหารินรดาทั
สรวิชญ์คิดอยู่แล้วว่าหญิงสาวจะต้องหาทางปฏิเสธจนได้ เขาจึงเตรียมตัวมาอย่างดี “ลำบากที่ไหนกันล่ะครับ อีกอย่างพี่เกรงว่า ถ้าพี่ไม่ไปกับน้องระรินด้วย น้องอาจจะทำแค่บัตรนักศึกษา แต่ไม่ได้เอาหนังสือไปคืนอย่างที่พูดน่ะสิ ไม่เป็นไรนะครับ บ่ายนี้พี่ว่างเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนเอง” “เอ๊ะ!”“แต่ระรินจะไปกับอรค่ะ พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ระรินจะเอาหนังสือสามเล่มไปคืนและจะใช้บัตรของตัวเองยืมแทนค่ะ จะได้ไม่รบกวนพี่”จังหวะที่คนทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน กนกอรมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวก็ดังขึ้น ชั่วขณะหนึ่งที่กนกอรคุยโทรศัพท์กับปลายสายด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนจะวางสาย“ระริน ฉันคงไปกับแกไม่ได้แล้วล่ะ แม่โทรมาให้รีบกลับบ้านน่ะ ไม่รู้มีเรื่องอะไร พี่ต้นคะ อรฝากเพื่อนด้วยนะคะ”“ได้ครับน้องอร ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่จะดูแลเพื่อนเราให้อย่างดีเลยครับ”“ขอบคุณค่ะพี่ต้น ฉันไปก่อนนะแก” พูดจบกนกอรก็รีบผุดลุกไปทันที 
กลางดึกคืนนั้น หลังจากที่รินรดาเตรียมงานสอนพิเศษเสร็จเรียบร้อย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นกนกอรโทรเข้ามา เธอรีบรับสายโดยเร็ว “นี่อร ไม่น่ารีบกลับบ้านเลย ทำให้ฉันต้องไปกับพี่ต้นสองคนเนี่ย” เสียงต่อว่าต่อขานทำให้กนกอรหัวเราะคิกคักดังมาทางสายโทรศัพท์ “ฉันขอโทษนะระริน ที่บ้านมีเรื่องด่วนจริง ๆ ก็เจ้าอุ๋งอิ๋งน่ะสิ ไม่รู้เป็นอะไร คุณแม่บอกว่าพยายามเรียก แต่เรียกยังไงก็ไม่ยอมลุก ไม่ตื่น ไม่หือไม่อือ คุณแม่ก็ตกใจนึกว่าหมาตายเลยรีบโทรตามฉันกลับบ้านจะให้พาไปหาหมอ แต่แกรู้อะไรไหม พอฉันกลับถึงบ้าน เจ้าอุ๋งอิ๋งตัวแสบก็ลุกมากระดิกหางอ้อนใหญ่เลย คุณแม่ก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหอุ๋งอิ๋งยกใหญ่ แถมยังบ่นอีกว่าเจ้าอุ๋งอิ๋งเดี๋ยวนี้สำออยแกล้งตายเก่ง ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน เนี่ยเมื่อเย็นคุณแม่ก็ยังงอนเจ้าอุ๋งอิ๋งอยู่เลย ฉันต้องเป็นคนเอาข้าวให้กิน”&nb
“ถ้าดีแสนดีขนาดนั้น ทำไมแกไม่เอาเองล่ะ จะมายุให้ฉันทำไม” “แหม...คุณเพื่อนคะ ก็ถ้าพี่ต้นมาจีบฉัน ฉันก็คงจะ Say Yes ตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ แต่พี่เขาไม่ได้เข้ามาจีบฉันไง เขามาจีบแก ฉันในฐานะเพื่อนก็อยากให้แกได้คบกับคนดี ๆ ฉันว่าแกลองคบพี่ต้นดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นาจริงไหม” “แกนี่นะ คนหล่อ เรียนเก่ง ฐานะทางบ้านดีแล้วยังไง มันก็แค่เปลือก ผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละ...”น้ำเสียงรินรดากลืนหายไปในลำคอ ขณะที่ภาพของพ่อแม่ในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ‘อีปราง มึงไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับเมียกู’จักรกฤษณ์พูดจบก็ฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของปรางทิพย์ฉาดใหญ่ ทำให้เธอถลาล้มลงไปกองที่พื้นบ้านเช่าเก่า ๆ จนริมฝีปากแตกมีเลือดซึมออกมา หยาดน้ำตาไหลเปื้อนแก้มทั้งรักทั้งแค้นใจในตัวสามี ก่อนจะลุกขึ้นมาได้ก็ต่อว่าอย่างไม่ลดละ‘ทำไมกูจะขึ้นเสียงไม่ได้ กูเป็นเมียมึง กูจะด่าจะว่า จะทำยังไงก็ได้’‘กูไม่เคยนับว่ามึงเ
เช้าวันหนึ่งขณะที่รินรดากำลังเร่งรีบไปเรียน หญิงสาวมัวแต่กำลังคิดกังวลอยู่กับวิชาที่จะต้องสอบเก็บคะแนนวันนี้ โดยไม่ทันระวังตัว จังหวะที่เธอกำลังเดินข้ามทางม้าลาย รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความเร็วไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกำลังพุ่งเข้าชนเธออย่างจัง“กรี๊ด...”หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบางถูกใครบางคนฉุดกระชากดึงออกมาจากกลางถนนได้ทันท่วงที ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะทันถึงตัว ทำให้รินรดาล้มไปกองที่ฟุตพาทข้างทางในอ้อมกอดของใครบางคน“น้องระริน เป็นยังไงบ้างครับ”เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเรียกสติเธอกลับคืนมา พอรินรดาหันมามองใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ก็เห็นสรวิชญ์ที่กำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย“พี่ต้น!”“น้องระริน เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ” เขาพูดพลางช่วยประคองเธอลุกขึ้นแล้วสำรวจตัวเธอเป็นการใหญ่“ขอบคุณมากนะคะพี่ต้น แต่ระรินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” แม้เธอจะตอบออกไป หากใบหน้างามยังคงมีแววตื่นตระหนกอยู่ในที“นี่น้องระรินกำลังจะไปเรียนใช่ไหมครับ ให้พี่ไปส่ง
กลางดึกคืนนั้น หลังจากสรวิชญ์เดินไปส่งรินรดาที่หอพัก เขาก็ยืนดูจนกระทั่งหญิงสาวเข้าห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับออกมา ไม่นานนักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเอกวิทย์ที่ดังขึ้น “ไอ้ต้น ไหนบอกว่าจะมาเลี้ยงเหล้าไงวะ หายหัวไปแบบนี้ คิดจะเบี้ยวกันใช่ไหม” “ใจเย็น ๆ สิวะไอ้เอก กูเพิ่งส่งน้องระรินเสร็จเนี่ย แล้วนี่กูก็กำลังจะไปหาพวกมึง เจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” หลังจากสรวิชญ์วางสายโทรศัพท์ลง เขาก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านเหล้าโดยเร็ว และทันทีที่เขาถึงร้านพอทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีขวดเหล้าถูกเปิดอยู่ก่อนแล้ว “ไหน...ตกลงได้ผลไหม ไอ้ที่อุตส่าห์ให้กูไปช่วยทำน่ะ” เอกวิทย์ถามทันที ขณะที่เจตต์มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความแปลกใจ “ทำ! ทำอะไรวะไอ้เอก นี่กูพลาดเรื่องอะไรไปหร
“มึงจะไปไหนไอ้เจตต์”สรวิชญ์อาศัยจังหวะที่เจตต์ไม่ทันระวังตัว เขากระชากไหล่เจตต์หันกลับมา ก่อนที่ตัวเองจะซัดกำปั้นไปที่ใบหน้าของเจตต์ในเวลาต่อมาบริเวณหน้าเขตก็กลายเป็นสมรภูมิชกต่อยของสองอดีตเพื่อนรัก โดยมีรินรดากับกวินนาถคอยช่วยห้ามปราม ก่อนที่จะมีผู้คนมากมายกรูกันมาดูแล้วจับทั้งสองแยกจากกันและขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ ทำให้สรวิชญ์และเจตต์ต้องแยกย้าย“อีระริน ในเมื่อมึงมีชู้ มึงเอาเงินสิบล้านของกูคืนมา”สรวิชญ์ยังไม่วายชี้หน้าด่ารินรดาด้วยความแค้นเคือง โดยมีกวินนาถคอยรั้งร่างสูงสุดแรง“ฉันไม่คืน เพราะเงินสิบล้านนี่แลกกับใบหย่า ในเมื่อตอนนี้ เราหย่ากันแล้ว คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาหึงหวงหรืออ้างความเป็นเจ้าของอีก ตอนคุณมีเมียใหม่ ฉันยังไม่ยุ่งเรื่องของคุณเลย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้าฉันจะคบใคร คุณก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องของฉัน ไปค่ะพี่เจตต์ เรากลับกันเถอะค่ะ”รินรดาช่วยประคองเจตต์ลุกขึ้น ก่อนจะพาเดินไปที่รถ มีกนกอรเดินตามทั้งสองไปติด ๆ สรวิชญ์ได้แต่มองตามด้วยความคับแค้นใจที่เสียรู้จนต้องเสียเงินให้อีกฝ่าย แทนที่เงินจะเข้ากระเป๋าเขา&nbs
“หมายความว่ายังไง อย่าเพิ่งเซ็น นี่จะตุกติกเหรอ” สรวิชญ์เสียงเข้มอย่างไม่สบอารมณ์ “พี่ต้นคะ ฉันไม่ได้คิดจะตุกติกอะไรหรอก แต่เพื่อนฉันจะเซ็นได้ยังไง ในเมื่อเงินสิบล้านบาทที่ตกลงกันยังไม่เข้าบัญชีแม้แต่บาทเดียว” “งก หน้าเลือด” เสียงแหวของกวินนาถสวนกลับด้วยความขัดใจ “ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องรักษาผลประโยชน์ของเพื่อน ถ้าเกิดเพื่อนฉันเซ็นไปแล้ว คุณเกิดตุกติกไม่โอนเงินให้ เพื่อนฉันก็ชวดเงินสิบล้านสิคะ ใครจะไปรู้ คำพูดคนบิดพลิ้วได้ตลอดแหละค่ะ เพราะฉะนั้น ระรินจะยังไม่ยอมเซ็นจนกว่าเงินจะเข้าบัญชีสิบล้าน” “นี่ฉันไม่เบี้ยวหรอก เซ็น ๆ ให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉันจัดการโอนเงินให้ทีหลัง” “ไม่ได้ค่ะ...ยื่นหมูยื่นแมว เงินต้องโอนเข้าบัญชีก่อน ระรินถึ
เช้าวันรุ่งขึ้น รินรดากับกนกอรเดินทางมายังสำนักงานเขตตามที่นัดหมาย โดยเจตต์อาสาขับรถมาให้ รินรดาเหม่อมองออกไปนอกรถ ก่อนที่เธอจะสะดุ้งเมื่อเสียงของกนกอรดังขึ้น ทันทีที่รถจอดสนิท “พี่เจตต์ ไม่ต้องเข้าไปหรอกค่ะ รอพวกเราอยู่ในรถดีกว่า แค่นี้อรจัดการได้” “จะดีเหรอครับ”“ดีค่ะ”“งั้นถ้าเสร็จเรื่องแล้ว พี่จะพาน้อง ๆ ไปเลี้ยงฉลองกันดีไหมครับ” “ระรินก็อยากไปนะคะพี่ แต่ว่าระรินห่วงลูกน่ะค่ะ ระรินอยากรีบกลับไปดูลูกมากกว่า” “โธ่แก ไม่เห็นจะยากเลย เราก็ไปหาซื้อของกินอร่อย ๆ แล้วก็หอบไปกินกันกับหนูน้ำฟ้ายังไงล่ะดีไหม” “ฉันกลับคิดว่าพรุ่งนี้น้ำฟ้าก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ทำไมไม่รอให้ลูกออกมาก่อน แล้วเราค่อยไปทำหม
“เชิญนั่งค่ะพี่ต้น คุณยี่หวา นึกว่าจะเปลี่ยนใจไม่มาเสียแล้ว ว่าแต่จะสั่งอะไรตามสบายเลยนะคะ มื้อนี้เดี๋ยวอรเลี้ยงเอง” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณอร รีบคุยธุระให้เสร็จดีกว่า จะได้รีบไป ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอกนะคะ” กวินนาถกระแทกเสียงก่อนจะนั่งลงอีกฝั่งเคียงข้างสรวิชญ์เขาไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาต้องนั่งเผชิญหน้ากับรินรดาในฐานะเมียหลวง และกวินนาถในฐานะเมียน้อย หากเขาเลือกได้ เขาอยากจะเก็บทั้งสองคนไว้เหมือนที่ผ่านมา ต่างคนต่างอยู่ในโลกของเขาคนละใบ ซึ่งเขาก็มีความสุขกับโลกทั้งสองใบ แต่ตอนนี้เมื่อความลับมันไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว การที่เขาเลือกกวินนาถ แม้จะทำให้รินรดาเจ็บปวด แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง “ระริน พี่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเราสองคน คนอื่นไม่ควรมายุ่ง” สรวิชญ์พูดกระแทกใส่กนกอร ทำให้อีกฝ่ายสวนกลับอย่างไม่ลดละ&nb
“ผมไม่รู้หรอกว่าพวกคุณสองคนมีเรื่องอะไรกัน แต่คุณจะมาทำแบบนี้กับลูกสาวผมไม่ได้ ผมไม่ยอม”เดชากราดเกรี้ยวด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปพูดกับลูกสาวของตัวเอง“พ่อจะบอกให้นะยี่หวา ผู้ชายที่มีเมียแล้วโกหกเราแบบนี้ มันไม่ใช่ลูกผู้ชายหรอก เพราะไม่มีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนเขาทำกัน เลิกได้ก็เลิกเสียนะ พ่อไม่ชอบ”“แต่คุณพ่อคะ พี่ต้นบอกว่าจะหย่ากับเมียนี่คะ”“หย่าเหรอ หย่าจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าคิดจะหย่าจริง ๆ เมียเขาจะมานั่งอยู่ตรงนี้อย่างนั้นเหรอ งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ไปหย่าให้เรียบร้อย ค่อยมาคุย นกส่งแขก” สิ้นคำสั่ง เดชาและหทัยรัตน์ก็เดินขึ้นไปยังชั้นบน ขณะที่นกเชิญแขกทุกคนออกจากบ้าน โดยมีกวินนาถจับแขนของสรวิชญ์ไม่ยอมปล่อย“คุณพ่อ คุณแม่คะ”“คุณท่าน”สรวิชญ์หน้าซีดเผือด เขาไม่คิดเลยว่าแผนที่เขาอุตส่าห์วางมาดิบดี ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเอาชนะใจกวินนาถได้ เหลืออีกแค่นิดเดียว เขาก็จะเป็นว่าที่ลูกเขยของเจ้าของบริษัทโดยสมบูรณ์กลับต้องพังไม่เป็นท่าเพราะผู้หญิงที่ดูไม่มีพิษมีภัยอย่างรินรดา“ทำไมระรินทำกับพี่แบบนี้ เรื่องนี้เราคุยกันทีหลังก็ได้ ไม่เห็นต้องมาท
หลังจากภาพแอบถ่ายกลายเป็นข่าวดังว่อนเน็ต กวินนาถยิ่งกระวนกระวายใจ เมื่อผู้คนเริ่มพูดถึงเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ทางบ้านก็ยังถามถึงเรื่องความรักระหว่างเธอกับสรวิชญ์ เธอก็ได้แต่บอกพ่อแม่ไปว่าจะพาเขาไปแนะนำให้รู้จักเช้าวันต่อมาสรวิชญ์ขับรถไปที่บ้านของกวินนาถ เขาใส่สูทเรียบร้อยเข้ากับใบหน้าหล่อเหลา ขณะที่กวินนาถสวมเดรสสีแดงเข้ารูปมาต้อนรับ ก่อนจะควงแขนพาชายหนุ่มไปพบพ่อแม่ที่ห้องรับแขกทันทีที่เดชาและหทัยรัตน์เดินมา สรวิชญ์รีบพนมมือไหว้ทักทายด้วยความนอบน้อม ขณะที่ทั้งสองรับไหว้ก่อนจะไปนั่งลงที่โซฟา โดยเฉพาะเดชาวางมาดน่าเกรงขาม จนสรวิชญ์รู้สึกเกรงขาม“เห็นยี่หวาบอกว่า เธอเป็นแฟนกับยี่หวา คบกันมาได้สักพักหนึ่งแล้วเหรอ”“ครับคุณพ่อ”“ใครเป็นพ่อคุณ”สรวิชญ์ได้แต่สะอึก จนต้องรีบแก้สรรพนามทันควัน“ครับคุณท่าน...คือ ผมกับยี่หวา เราคบเป็นแฟนกันมาได้เกือบสามปีแล้วครับ”“สามปี ระยะเวลาก็น่าจะพอ ๆ กับที่คุณเข้ามาทำงานเลยนี่ เก่งนะคุณเนี่ย เข้ามาทำงานไม่ทันไร ก็จีบลูกสาวผมติดได้ แล้วเท่าที่ผมดูประวัติทำงานของคุณ งานก็ไม่
คำพูดพลั้งปากของกนกอร ทำให้เจตต์สะกิดเตือน ก่อนจะรีบพูดแก้เก้อ “ระริน แกอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้ชมอีเมียน้อย แต่ฉันคิดว่าพี่ต้นมันน่าจะอยากไปเกาะผู้หญิงรวย ๆ มากกว่าที่จะยอมทำงานเหนื่อยยากแบบนี้ ขนาดเมื่อก่อนก็ยังเปลี่ยนงานอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ว่าเรื่องมีเมียน้อยนี่ เลวจริง ๆ ระรินออกจะดีแสนดีขนาดนี้ ยังกล้ามีเมียน้อยได้ยังไง ดีนะที่คนที่เจอเป็นแก ถ้าหากฉันเจอนะ สองคนนี่ไม่ได้ยิ้มหน้าระรื่นแบบนี้หรอก แม่จะฟาดกลางห้างให้อายหัวซุกหัวซุนเลย แกนะแก น่าจะเล่าให้ฉันฟัง ปล่อยให้ฉันรู้จากข่าวได้ไงเนี่ย” “ถ้าฉันบอกแก เรื่องก็คงจะไปกันใหญ่ อีกอย่างฉันก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อวานเหมือนกัน ถ้าเกิดไม่บังเอิญเจอกัน ฉันก็ยังคงถูกสวมเขาต่อไป ฉันนี่มันโง่จริง ๆ เลยนะแก” “ระริน แกไม่ได้โง่หรอก แกแค่แสนดีและไว้ใจคนอื่นมากเกินไป แล้วนี่แกจะเอายังไงกับพี่ต้น แก
“ผมอยู่คนเดียวครับ ภรรยาผมเสียชีวิตไปแล้วครับ” “ตายแล้ว น้าขอโทษนะ น้าไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วง” “ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาปีกว่าแล้วล่ะครับ เธอป่วยตาย ตอนนี้ผมเลยอยู่คนเดียว บ้านเลยมีสภาพอย่างที่เห็นน่ะครับ” เขายิ้มเก้อ เมื่อมองสภาพสวนในยามนี้มีแต่สีน้ำตาลของต้นไม้และใบไม้ที่แห้งตายคาต้น ขณะที่หญ้าเริ่มยาวขึ้นรก “ชีวิตคนมันก็อย่างนี้แหละ ไม่จากเป็นก็จากตายเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เอาเถอะ ๆ กินข้าวต้มให้อร่อยนะ เดี๋ยวน้าไปดูยัยหนูก่อน” “ขอบคุณครับน้าอ้อย” พรพรรณเดินจากไปแล้ว ขณะที่เจตต์เหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชีวิตของคนเราไม่แน่นอน คนตายก็ตายไป แต่ต
รินรดาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปสอนพิเศษที่สถาบัน ขณะที่น้ำฟ้ายังคงหลับสนิทอยู่บนที่นอนเหมือนเดิม ทันทีที่รินรดาเดินลงมาชั้นล่าง กลิ่นหอมของข้าวต้มก็โชยมาแตะจมูกทำให้เธอเดินตามกลิ่นด้วยความหิว “ข้าวต้มทรงเครื่องเหรอคะน้าอ้อย” “ใช่แล้วจ้ะ ข้าวต้มทรงเครื่องโบราณน่ะ” “เห็นข้าวต้มแบบนี้แล้วนึกถึงแม่เลยนะคะ เมื่อก่อนแม่ทำข้าวต้มแบบนี้ขายทุกวัน หนูก็จะได้กินข้าวต้มนี้ก่อนไปโรงเรียนทุกเช้า ระรินโชคดีจังเลยค่ะที่น้าอ้อยมาอยู่ด้วย ขืนน้าอ้อยทำให้กินแบบนี้ทุกวัน หนูได้น้ำหนักขึ้นแน่เลยค่ะ” “จ้าทำเป็นปากหวาน นี่สูตรของแม่เรานั่นแหละ เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” พรพรรณถามขึ้นเมื่อเห็นรินรดาตักข้าวต้มเข้าปาก “โอ๊ย