ในช่วงพักกลางวัน บริษัทของเนยที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองทำให้มีร้านอาหารมากมายให้เลือก หญิงสาวเดินออกจากบริษัทพร้อมกับแพรและเจี๊ยบ น้องฝึกงานคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสองเดือน
เนยเอ็นดูเจี๊ยบมาก เพราะนิสัยและบุคลิกหลายอย่างคล้ายกับตัวเธอ ทั้งในเรื่องความเก่งและความน่ารักสดใส การที่ทั้งสามคนเดินไปไหนมาไหนด้วยกันก็มักจะดึงดูดสายตาของผู้ชายที่เดินผ่านไปมาอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทำให้แพรรู้สึกตลกทุกครั้งคือ พวกเขามักมองแพรด้วยสายตาอิจฉา เพราะคิดว่าเธอเป็นสาวห้าวที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน
“เฮ้อ... ฉันล่ะไม่อยากเดินกับเธอสองคนเลยจริงๆ” แพรแสร้งถอนหายใจออกมาหนักๆ ขณะที่พวกเธอนั่งในร้านอาหารประจำ
“ทำไมล่ะ?” เนยเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย หลังจากสั่งอาหารเสร็จ
“ก็ดูเธอสองคนสิ คนหนึ่งก็สวยสง่า อีกคนก็น่ารักอ่อนหวาน ส่วนฉัน...ดูเหมือนผู้ชายชัดๆ” แพรทำหน้าเหมือนทุกข์ใจ พลางย่นจมูก
“ผู้ชายที่เดินผ่านพวกเราก็มองฉันอย่างกับจะฆ่าฉันให้ตายคาที่เลยล่ะ คงอยากกินเลือดฉันกันหมดแน่ๆ”
คำพูดของแพรทำให้เนยกับเจี๊ยบระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทั้งคู่คุ้นเคยกับมุกตลกแบบนี้ของแพรดี เพราะเธอพูดแบบนี้เกือบทุกครั้งที่ออกไปด้วยกัน
“ฮะฮะ ถ้าอย่างนั้นเธอคงต้องตายวันละหลายรอบเลยล่ะ ยัยแพร” เนยหัวเราะและหยอกล้อด้วยการใช้หลอดดูดน้ำสะบัดไปทางแพรเบาๆ
“เฮ้อ... ทำไมฉันไม่เกิดมาสวยเหมือนพวกเธอบ้างนะ” แพรพูดด้วยน้ำเสียงแสร้งโศกเศร้า แต่ก็ทำเอาเพื่อนๆ หัวเราะขำในท่าทางของเธอ
แต่แล้วเสียงหัวเราะก็เงียบลง เมื่อเนยเหลือบไปเห็นคนคู่หนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน
“เฮ้ย! แพร ดูนั่นสิ” เนยพูดด้วยความประหลาดใจ พร้อมบุ้ยใบ้ให้แพรหันไปมอง
“อะไรเหรอ?” แพรถามออกมาด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปมองตาม เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา เธอเบิกตากว้างทันที
“เฮ้ย! นั่นมันพี่เจกับน้องไอซ์นี่นา”
แพรลดเสียงลงกระซิบกระซาบกับเนย ขณะที่เจี๊ยบนั่งมองด้วยความงุนงง เพราะเธอเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน จึงยังไม่ค่อยรู้จักใครมากนัก
“ข่าวลือเป็นจริงสินะ”
แพรกระซิบ ขณะที่เนยพยักหน้าเบาๆ สีหน้าของเธอดูไม่สู้ดีนัก เมื่อรู้ว่าข่าวที่เล่าลือกันในบริษัทเกี่ยวกับพี่เจและน้องไอซ์อาจจะเป็นเรื่องจริง
“แบบนี้พี่เหมยคงเสียใจมากแน่ๆ” แพรพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่เนยนิ่งไปสักพัก เพราะเธอรู้ดีว่าความรู้สึกของพี่เหมยที่มีต่อพี่เจนั้นมากแค่ไหน
พี่เจ เป็นชายหนุ่มที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดในบริษัท รูปร่างผอมบาง แต่ใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาของเขาดูเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์ในแบบที่ทำให้สาวๆ ในออฟฟิศหลายคนต้องใจเต้น แต่ด้วยบุคลิกที่เงียบขรึมและไม่เปิดเผยมากนัก ทำให้ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้เขามากนัก นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเขามีแฟนอยู่นอกบริษัทแล้วด้วย
ช่วงหลังมานี้ พี่เจมักมาป้วนเปี้ยนที่แผนกของเนยบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เขาเข้ามาคุยกับพี่เหมย ทุกคนรวมถึงเนยเองก็รู้ดีว่าพี่เหมยแอบชอบพี่เจ ใบหน้าของพี่เหมยจะแดงก่ำทุกครั้งที่ได้คุยกับเขา และพี่เจก็ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอชอบ แต่ยังคงเล่นเกมหว่านเสน่ห์ใส่เธอ ทั้งๆ ที่เขาไม่คิดจริงจังเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เนยรู้สึกไม่ชอบพี่เจนัก
และแล้วก็มีข่าวลือจากแผนกของพี่เจว่า เขากำลังตามจีบน้องไอซ์ สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักที่เป็นน้องสาวของเลขาผู้ช่วยสายสนับสนุน ข่าวนี้ทำให้พี่เหมยซึมเศร้าไปมาก แต่กลับทำให้พี่พีรพล หนุ่มฝ่ายช่างที่แอบชอบพี่เหมยยิ้มออก เพราะแม้พี่พีจะแอบห่วงใยพี่เหมยมาตลอด แต่เธอกลับไม่เคยสังเกตเห็นความรู้สึกของเขาเลยสักครั้ง
“อืม...แบบนี้พี่พีก็มีโอกาสทำคะแนนแล้วสิ” แพรพูดขึ้นลอยๆ ขณะที่กำลังเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ยอย่างไม่สนใจอะไร
“ไม่รู้สิ...เธอก็รู้ว่าพี่เหมยแอบชอบพี่เจมานานมาก ฉันว่าคงยากที่พี่เหมยจะยอมเปิดใจให้พี่พีหรอก” เนยตอบ พลางใช้ส้อมเขี่ยหัวหอมในสลัดไปไว้ข้างๆ จาน สายตาเธอแฝงความครุ่นคิด
“ฉันว่าไม่ยากหรอก ตอนนี้พี่เหมยกำลังอกหักพอดี พี่พีต้องมีโอกาสแน่ๆ” แพรยักไหล่พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม เพราะรู้สึกว่าข้าวผัดที่เธอสั่งมันฝืดคอ
เจี๊ยบที่นั่งฟังอยู่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“นิสัยไม่ดีเลยนะคะพี่เจเนี่ย มาทำให้พี่เหมยหลงรัก แล้วตัวเองกลับไปจีบผู้หญิงคนอื่นเฉยเลย” เธอพูดพลางเหล่มองไปที่พี่เจกับน้องไอซ์ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของร้านอย่างหงุดหงิด
แพรยิ้มขำกับท่าทีของเจี๊ยบ ก่อนจะพยักหน้าไปทางพี่เจและน้องไอซ์
“ก็ลองดูสิ คิดว่าอย่างพี่เจจะเลือกใครล่ะ ระหว่างพี่เหมยกับน้องไอซ์?”
เจี๊ยบนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง สีหน้าเธอดูหนักใจ พี่เหมยเป็นผู้หญิงรูปร่างขาว อวบ และตัวเตี้ย เรียกได้ว่า "อ้วนเตี้ย" ก็ไม่ผิด ส่วน น้องไอซ์ เป็นสาวตัวเล็ก รูปร่างผอมบาง ใบหน้าหวานสดใสที่ทำให้หนุ่มๆ ในบริษัทหลายคนต้องมองตาม
“พูดไม่ออกเลยสิ ฮะฮะ”
แพรหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าของเจี๊ยบที่คิดไม่ตก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว น้องไอซ์มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากกว่า ส่วนพี่เหมยนั้น มักจะถูกล้อในเรื่องรูปร่างอยู่เสมอ เจี๊ยบจึงเริ่มเข้าใจว่าถ้าเธอเป็นพี่เจ เธอก็คงเลือกน้องไอซ์อย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเนยก็ดังขึ้นพร้อมจังหวะเพลง "A little Bit" ขณะที่เธอกำลังจะรวบช้อนเพราะเริ่มอิ่ม เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับและนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ
แพรที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เห็นท่าทางของเพื่อนสาวก็รู้ทันทีว่าเป็นพี่เหมยที่โทรมา คงเป็นเพราะลูกค้าคนสำคัญที่พี่เหมยไม่สามารถจัดการได้ แล้วต้องการให้เนยไปช่วยเกลี้ยกล่อมให้สมัครบัตรเครดิตแน่นอน
“ฮื้อ...อีกแล้ว” สาวสวยวางสายและบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
“ฮะฮะ พี่เหมยโทรให้เธอไปช่วยเกลี้ยกล่อมลูกค้าอีกล่ะสิ” แพรหัวเราะออกมา พลางเรียกพนักงานมาเก็บเงิน
เนยถอนหายใจเบาๆ
“ก็ใช่น่ะสิ ขนาดเวลากินข้าวยังไม่เว้นเลย”
เจี๊ยบยิ้มให้กำลังใจ “แหม...ก็พี่เหมยเห็นว่าพี่เนยเก่งในการเกลี้ยกล่อมลูกค้าไงคะ เจี๊ยบก็อยากเป็นอย่างพี่เนยบ้างจัง”
“โฮ่ย ถ้าได้เป็นอย่างพี่แล้วจะรู้ว่า...ไม่น่าเป็นเลยซักนิด”
เนยบ่นพร้อมลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยหน่าย เธอย่นจมูกใส่ด้วยความขัดใจ แต่ท่าทางของเธอกลับดูน่ารักมากกว่าที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกกลัว แพรกับเจี๊ยบหัวเราะขำกับท่าทีของเนย
“ไปเถอะ เดี๋ยวโดนพี่เหมยกลิ้งทับ” เนยพูดหน้าตายก่อนจะลุกขึ้นและเดินนำออกจากร้าน ปล่อยให้แพรกับเจี๊ยบเดินตามไปพร้อมเสียงหัวเราะที่กลั้นไม่อยู่
เมื่อกลับมาถึงออฟฟิศ เนยเดินตรงเข้าไปหาพี่เหมยที่กำลังรอเธออยู่ในห้อง พี่เหมยรีบอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับลูกค้ารายสำคัญทันที พร้อมกับยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ เนยรับไปตรวจดูครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินออกจากห้องไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง
เธอหยิบบัตรพนักงานขึ้นมาติดที่อกเสื้อ สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมใจ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องรับรองลูกค้า เมื่อมาถึงหน้าห้อง เนยสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง ผ่อนออกช้าๆ แล้วผลักประตูเข้าไป
“สวัสดีค่ะ” เนยทักทายชายหนุ่มวัยกลางคนที่นั่งสบายอยู่บนโซฟา เขารีบลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นเธอ
“ดิฉัน อมลวัทน์ ภานิชกุล ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
เนยแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มหวาน พลางยื่นมือไปจับ ชายหนุ่มดูประหม่ากับเสน่ห์ของเธอเล็กน้อย แต่ก็ยื่นมือมาตอบรับอย่างเก้ๆ กังๆ
เนยยิ้มในใจอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางที่แสดงออกของเขา
“เสร็จฉันล่ะ” เธอคิดพลางอมยิ้มเล็กน้อย รู้ดีว่าการเกลี้ยกล่อมครั้งนี้จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน
บริษัท ทีเอ็กซ์สตรีม จำกัด เป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านการวางระบบคอมพิวเตอร์ และพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ แม้จะก่อตั้งมาเพียง 5 ปี แต่บริษัทนี้ก็สามารถสร้างกำไรได้ถึง 100 ล้านบาทต่อปีโดยเฉพาะแผนก Development ซึ่งเป็นแผนกที่ทำรายได้หลักจากการขายโปรแกรมให้กับบริษัทเอกชน แถมยังต้องมีพนักงานคอยดูแลและสนับสนุนลูกค้าหลังการขาย ซึ่งทำให้แผนกนี้ถือเป็น ‘หน้าตา’ ของบริษัท และพนักงานที่ทำงานในแผนกนี้ก็ได้รับทั้งอภิสิทธิ์และเงินเดือนสูงตามงานที่โปรแกรมเมอร์แต่ละคนทำได้“เฮ้ย ไอ้เบียร์!” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังซ่อมโน้ตบุ๊กอยู่ เขาหยุดมือทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเอง“มีอะไร ไอ้เน?” เบียร์หันไปถามเพื่อนด้วยท่าทางที่ยังง่วนอยู่กับงาน“วันนี้มึงไม่มีงานออกเทรนนอกบริษัทเหรอวะ?”เน เพื่อนสนิทของเขาถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ อย่างสบายใจ พร้อมวางถุงน้ำอัดลมกระป๋องลงบนโต๊ะของเบียร์โดยไม่รอคำเชิญ“ไม่มี วันนี้ว่าง แต่พรุ่งนี้กูต้องออกไปข้างนอก” เบียร์ตอบพร้อมกับลงมือซ่อมโน้ตบุ๊กต่อ“ไปไหนล่ะ?” เนยื่นกระป๋องน้ำอัดลมส่งให้เบียร์เบียร์รับไปและเปิดฝาดื่มพลางตอบ “บริษัทบัตรเครดิตอะไรซัก
“เฮ้ย ไอ้เบียร์ หัวหน้าเรียก!”เสียงเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้างๆ ตะโกนบอก ทำให้เบียร์หลุดออกจากภวังค์ เขาพยักหน้าให้เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะวางกล่องโปรแกรมลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องหัวหน้าก๊อก ก๊อก“ขออนุญาตครับ” เบียร์เคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป หัวหน้าที่กำลังตรวจเอกสารเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“อ้าว มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ” หัวหน้าฝ่ายทัก ก่อนจะผายมือให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน“หัวหน้ามีอะไรหรือครับ?” เบียร์ถามตรงๆ เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่มีงานด่วน หัวหน้าคงไม่เรียกเขามา“เรื่องงานพรุ่งนี้น่ะ ทางบริษัทบัตรเครดิตที่เราทำซอฟต์แวร์ให้ ตอนนี้เขาต้องการพัฒนาโปรแกรมควบคู่ไปด้วย และต้องให้เราส่งคนไปเทรนพนักงานที่นั่นด้วย เงื่อนไขทั้งหมดจะคุยกันพรุ่งนี้ในการประชุม” หัวหน้าพูดด้วยสีหน้าหนักใจ“ฟังดูไม่น่ายากเลยนี่ครับ” เบียร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ดูเหมือนง่ายนะ แต่โปรเจกต์นี้มีความซับซ้อนหน่อย ทางเราต้องส่งคนไปประจำที่บริษัทบัตรเครดิตในช่วงแรก เพื่อเทรนพนักงานให้ใช้งานโปรแกรมของเรา และ...” หัวหน้าหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ“นอกจากอธิพงศ์แล้ว นายคืออีกคนที่ฉันไว้ใจได้ แต่ตอนนี้อธิพงศ
การทำงานเกี่ยวกับบัตรเครดิตทั้งวันทำให้เนยรู้สึกเหนื่อยล้า โดยเฉพาะเมื่อเจอลูกค้าที่เรื่องมาก แต่เธอก็ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้เสมอ เพราะเธอรู้ดีว่าสำหรับงานบริการ สิ่งสำคัญที่สุดคือการมอบบริการที่ยอดเยี่ยมให้ลูกค้า และดึงพวกเขากลับมาใช้บริการอีกครั้งสำหรับเนย เรื่องพวกนี้ไม่ยากเลย เธอสามารถ ‘ตีหน้า’ เก่งจนเพื่อนๆ ในออฟฟิศยกฉายาให้ว่า “นางนกสองหน้า” เพราะเธอสามารถแสดงออกอย่างมืออาชีพได้ตลอดเวลาหลังเลิกงาน เป็นเวลาที่เนยชอบมากที่สุด หญิงสาวมักจะแวะที่โลตัสตรงสถานีอ่อนนุชเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัวหรือของกินเล่น เธอมีความสุขกับการเลือกดูของ แม้ว่าบางครั้งจะไม่ได้ซื้อติดมือกลับบ้านเลยก็ตามพูดไม่ค่อยเก่ง...แต่รักหมดใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากกระเป๋าสะพายของเนย หญิงสาวจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดเพราะมีคนขัดจังหวะการช้อปปิ้งของเธอ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์ ก่อนจะกดรับสายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์“ฮัลโหล นายมีอะไร?” เสียงเธอกรอกลงไปอย่างไม่พอใจเมื่อรู้ว่าเป็นใครที่โทรมา“เออ ฉันเอง เธอจะกลับบ้านกี่โมง?” เสียงปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่รู้ว่าคนฟังอารมณ์เสียแค่ไหน“กำลังจะกลับ แค่แวะซื้อของนิดหน่อย” เนยตอ
เนยเริ่มรู้สึกสนุกกับการสนทนามากขึ้น เธอจึงเริ่มพิมพ์ข้อความอย่างเป็นกันเองB u T T e R says: แล้วคุณทำงานแผนกเดียวกับเนเหรอ?แค่อยู่ใกล้ ก็สุขใจเกินพอ says: อืม แต่ผมไม่เก่งเท่าเนหรอก หมอนั่นมันเทพมากB u T T e R says: ยังไงล่ะ?แค่อยู่ใกล้ ก็สุขใจเกินพอ says: ก็ไม่ว่าจะเจองานยากแค่ไหน เนก็แก้ได้ทุกครั้งเลย หมอนั่น ไม่ใช่คนแล้วอะB u T T e R says: ฮะๆ แบบนี้เรียกว่าใกล้บ้ารึเปล่าแค่อยู่ใกล้ ก็สุขใจเกินพอ says: น่าจะประมาณนั้นนะB u T T e R says: แล้วไม่กลัวเราเอาไปฟ้องเนเหรอ?แค่อยู่ใกล้ ก็สุขใจเกินพอ says: โอ้...ลืมไปเลย แหะๆ อย่าไปบอกเลยนะ (-/\-)B u T T e R says: หุหุ ไม่บอกหรอก แต่เดี๋ยวจะตะโกนให้เนได้ยินดีกว่า ^O^แค่อยู่ใกล้ ก็สุขใจเกินพอ says: เหวอ! อย่าทำแบบนั้นนะ สงสารผมเถอะ หมอนั่นเวลาโกรธเอาเรื่องอยู่B u T T e R says: แล้วคุณรู้จักเนนานรึยัง?แค่อยู่ใกล้ ก็สุขใจเกินพอ says: ก็ประมาณ 3-4 เดือนได้ แต่รู้สึกเหมือนสนิทกันมานานแล้ว ^^B u T T e R says: แปลกดีนะ ปกติเนไม่ค่อยสนิทกับใครง่ายๆ เลยนี่นาแค่อยู่ใกล้ ก็สุขใจเกินพอ says: เหรอ แต่เขาก็สนิทกับผมนะ ^^ คงเพราะผมเป็นคนดีล
หลังจากกินดื่มกันจนจบมื้อค่ำ เพื่อนๆ ก็เริ่มคุยกันถึงการไปต่อที่ผับของคิง เพื่อนสนิทของเบียร์และเน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหาร“ไปต่อที่ Night Owl ร้านของคิงกันดีกว่า” พี่ตูนเอ่ยขึ้น ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยผับ Night Owl เป็นผับขนาดกลางที่คึกคักไปด้วยแสงสีและเสียงเพลง ริมถนนใหญ่ในย่านที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายวัย เบียร์ขับรถตามหลังกลุ่มเพื่อนไปยังร้าน ทุกคนลงจากรถด้วยอารมณ์สนุกสนานหลังจากดื่มเบียร์กันไปพอหอมปากหอมคอภายในผับ Night Owl ถูกตกแต่งในสไตล์โมเดิร์น มีผนังอิฐเปลือย โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม และแสงไฟสลัวที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวา วงดนตรีสดเริ่มบรรเลงเพลงต้อนรับลูกค้าที่ทยอยเข้ามา ทั้งกลุ่มเพื่อนและคนที่มาเที่ยวกันเป็นคู่คิง เจ้าของร้านและเพื่อนสนิทของเบียร์ เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง“มาแล้วเหรอวะพวกมึง! ยินดีต้อนรับ” คิงทักทายพร้อมผายมือให้พวกเขานั่งที่โซนวีไอพี“เออ พลาดได้ไง” เบียร์ยิ้มพลางจับมือทักทายกับคิงเครื่องดื่มถูกเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว ทุกคนนั่งดื่มและคุยกันอย่างสนุกสนาน ขณะเดียวกันที่โต๊ะข้างๆ เป็นกลุ่มสาวพริตตี้ที่มาฉลองกัน กลุ่มสาวๆ ในชุดเดรสรั
เมื่อทั้งสองมาถึงชั้นบน เบียร์เปิดประตูห้องที่คุ้นเคย เป็นห้องส่วนตัวที่ใช้สำหรับรับรองแขกพิเศษ ห้องถูกตกแต่งด้วยแสงไฟสลัวและบรรยากาศเงียบสงบ มีเตียงขนาดคิงไซส์อยู่ตรงกลางห้อง เมย์เดินตามเข้าไปในห้องโดยไม่มีความลังเล“ที่นี่เงียบดีจัง...” เมย์เอ่ยขึ้นพลางมองไปรอบๆ ห้อง ริมฝีปากของเธอคลี่ยิ้มอย่างมีนัย เบียร์ปิดประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เธออีกครั้ง“ใช่… เหมาะสำหรับค่ำคืนแบบนี้” เบียร์กระซิบเบาๆ ริมฝีปากของเขาเกือบจะแตะกับแก้มของเธอ ก่อนจะค่อยๆ สัมผัสเบาๆเมย์ไม่พูดอะไร เธอหันกลับมาสบตากับเขาอย่างท้าทาย ทั้งคู่ยืนอยู่ใกล้กันจนแทบไม่มีช่องว่าง สัมผัสของเบียร์ที่แขนของเธอทำให้ร่างกายของเธอสั่นเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศในห้องเริ่มร้อนระอุร่างของเมย์ถูกเบียร์ดึงเข้ามาใกล้จนแนบชิดกับตัวเขา ริมฝีปากของเขากดลงเบาๆ ที่ต้นคอของเธอ สัมผัสอ่อนโยนแต่กลับสร้างความรู้สึกเร่าร้อนจนเมย์หายใจสะดุดเมย์ถอยหลังเล็กน้อย ขยับร่างตัวเองขึ้นไปนั่งบนเตียง มือบางของเธอค่อยๆ ลูบไล้แผงอกของเบียร์ ผ่านเสื้อเชิ้ตสีดำที่เขายังสวมอยู่ สายตาของเธอเต็มไปด้วยแรงดึงดูดและความต้องการที่ชัดเจน"คุณร้อนแรงกว่า
“ฮื้อ...อีกแล้ว” เสียงพึมพำอย่างไม่พอใจหลุดออกมาจากปากของเนยขณะที่จ้องมองคอมพิวเตอร์ที่หน้าจอดับไปอีกครั้ง“เป็นอะไรเหรอเนย?” แพรที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ชะโงกหน้ามาถามด้วยความสงสัย“ก็เครื่องคอมฯ ฉันน่ะสิ รวนอีกแล้ว” เนยบ่นด้วยความหงุดหงิด“อ้าว เมื่อวานนี้ฝ่ายสารสนเทศเพิ่งมาซ่อมให้ไม่ใช่เหรอ?” แพรเดินเข้ามาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเนยที่ตอนนี้ดับสนิท“ใช่น่ะสิ! ทำไมหมู่นี้มันถึงได้รวนบ่อยนักก็ไม่รู้” เนยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“สงสัยช่างที่มาซ่อมจะวางยาเครื่องเธอแล้วล่ะ” แพรหัวเราะแซว“หมายความว่าไงยะ?” เนยหันไปมองเพื่อนสาวอย่างไม่เข้าใจ“ก็หมอนั่นอาจจะอยากมาหาเธอทุกวันไงล่ะ เลยแอบทำให้เครื่องเธอเสียตลอดไง สาวสวยเสน่ห์แรงอย่างเธอ ใครจะไม่อยากมาเจอบ่อยๆ” แพรหัวเราะคิกคัก“อย่ามาล้อเล่นน่า อีตาช่างคนนั้นน่ะเหรอ? เฮอะ!” เนยยิ้มเหยียดเล็กน้อย“ก็แค่หน้าตาธรรมดา หน้าปลาจวดชัดๆ”“โธ่ เธอพูดอย่างนี้ได้ไง หมอนั่นเขามีชื่อว่าเป็นหนุ่มหล่อของบริษัทเลยนะ” แพรทำตาโต“ถ้านั่นน่ะหล่อ โลกนี้คงไม่มีใครหล่อแล้วล่ะ” เนยสวนกลับทันที“เอาน่าๆ รีบโทรตามเขามาเถอะ เดี๋ยวจะทำงานไม่ได้” แพรหัวเราะเบาๆ ด้วยความชอบใจที่ได้
ป้าป!“โธ่เว้ย! ติดซะทีเซ่!” เนยฟาดมือลงบนหน้าจอด้วยความโมโห“เฮ้ย! ตบลงไปแบบนั้น เดี๋ยวจอก็พังหรอก” แพรร้องออกมาอย่างตกใจ“มันน่าโมโหนี่นา” เนยบ่นก่อนจะบีบมือตัวเองด้วยความเจ็บ“แล้วเจ็บมั้ยล่ะนั่น” แพรแซวพร้อมขำเล็กๆ“เจ็บดิ ลองมั้ยล่ะ!” เนยมองแพรตาเขียว“พี่เนยแก้ปัญหาด้วยวิธีแปลกๆ นะคะ” เจี๊ยบหัวเราะคิกคัก“ไม่ต้องพูดมากน่ะ!” เนยพูดจบก็ก้มไปเตะเคสเครื่องคอมเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด“คู้ณ เตะเครื่องมันแบบนั้น มันคงจะติดหรอกนะ” เสียงของชายหนุ่มแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“ยุ่งอะไรด้วย!” เนยหันขวับไปมองทันทีด้วยความไม่พอใจ“เครื่องมือพวกนี้มันต้องถนอมๆ ใช้นะคุณ ไม่ใช่จะตบจะเตะเหมือนคุณทำเมื่อกี้” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ พร้อมยิ้มเย้ย“นี่มันเครื่องของฉัน ฉันจะทำยังไงก็เรื่องของฉันสิ!” เนยเชิดหน้าใส่เขาอย่างไม่พอใจ“เครื่องคุณที่ไหนล่ะ นี่มันเครื่องบริษัทต่างหาก” ชายหนุ่มแย้งกลับ“แล้วคุณเป็นใครถึงมายุ่ง?” เนยรู้สึกว่าถูกขัดใจหนักขึ้น จึงถามอย่างไม่พอใจ“ผมเป็นใครไม่สำคัญหรอกครับ แต่ผมว่าตอนนี้ เครื่องคอมพ์ของคุณสำคัญกว่านะ” ชายหนุ่มยิ้มกวนๆ“ทำเป็นพูดแบบนี้ คุณซ่อมเป็นหรือไง?” เนยถ
แสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นสาดส่องผ่านม่านโปร่งเข้าสู่ห้องนอนอันเงียบสงบ เนยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ความเมื่อยล้าจากค่ำคืนอันเร่าร้อนยังคงสะสมอยู่ในทุกอณูของร่างกาย เบียร์จัดเธอหนักจนถึงเช้า ทำให้เธอรู้สึกเหมือนพลังถูกสูบออกไปจนแทบหมดสิ้น เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ความปวดหน่วงในท้องน้อยทำให้ต้องนิ่วหน้าด้วยความทรมานเล็กน้อย“อือ...บ้าจริง” เนยพึมพำเบาๆ พลางลูบท้องเพื่อบรรเทาความปวด เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง แต่ไม่เห็นเบียร์อยู่ในห้องแล้ว มีเพียงความเงียบและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเขาที่ยังหลงเหลือบนหมอนข้างๆ ทำให้เธอย่นคิ้วเล็กน้อย“ไปไหนนะ?” เธอเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาปกปิดร่องรอยรักที่กระจายอยู่ตามผิวกาย เนยเดินโซเซไปยังห้องน้ำ หวังว่าจะพบเบียร์ที่นั่น แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าขณะที่เธอขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าชายคนรักหายไปไหน สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องสีดำใบเล็กวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ริบบิ้นสีทองที่ผูกอย่างประณีตสะดุดตาเธอ“กล่องอะไรน่ะ?” เธอพูดกับตัวเองพลางเดินเข้าไปหยิบขึ้นมาดูภายในกล่องมีการ์ดใบหนึ่งวางอยู่ เมื่อเธอเปิดออกก็พบตัวอักษรที่ดูเหมือนรหัสมอร์สเรียงรายเต็มการ์ด เนยยืนมองการ์ด
เมื่อเวลาค่ำมาถึง พนักงานของเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน มัลดีฟส์ ก็มาจัดเตรียมดินเนอร์สุดหรูบนระเบียงกลางแจ้งของวิลล่า แสงเทียนในโคมแก้วที่จัดวางไว้รอบโต๊ะส่องแสงอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกที่มีเพียงแสงดาวและเสียงคลื่นทะเลเป็นฉากหลังบนโต๊ะดินเนอร์ถูกจัดวางอย่างประณีตด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาดตา พร้อมช่อดอกไม้เล็กๆ ในแจกันแก้วใส อาหารค่ำที่จัดเตรียมมาเป็นเมนูพิเศษจากเชฟของโรงแรมเริ่มจาก ซุปล็อบสเตอร์บิสค์ ที่เสิร์ฟมาในชามเซรามิกขอบทอง กลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องเทศลอยมากระทบจมูก ตามด้วยจานหลักเป็น สเต็กปลากะพงย่างราดซอสเนยมะนาว เสิร์ฟคู่กับผักย่างและมันบดเนื้อเนียนละเอียดและไฮไลต์ของค่ำคืนนี้คือ ของหวานเค้กมูสมะพร้าว เสิร์ฟในเปลือกมะพร้าวขัดเงา ตกแต่งด้วยซอสมะม่วงราดอย่างละเมียดละไม ความหวานของมูสมะพร้าวเข้ากันดีกับรสเปรี้ยวสดชื่นของมะม่วง เป็นเมนูที่ทั้งตาและลิ้นต้องหลงรักเบียร์นั่งจิบไวน์ขาวที่เสิร์ฟเคียงกับอาหาร ขณะที่มองเนยที่กำลังตักซุปขึ้นมาชิม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและหลงใหล เนยที่สวมชุดเดรสผ้าชีฟองสีฟ้าอ่อนซึ่งพริ้วไหวตามลมทะเล ดูราวกับนางฟ้าท่ามกลางแสงเทียน“รสชาติเป็นไงบ
ฮิโร่และวาเลนไทน์ยืนเคียงข้างกันอย่างเงียบสงบที่จุดชมวิวริมแม่น้ำปิง แสงไฟจากริมฝั่งสะท้อนลงบนสายน้ำที่ไหลเอื่อย สายตาของทั้งคู่เหม่อมองออกไปไกลราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต“ไม่มีแบล็ควอล์คอีกแล้ว...” ฮิโร่พูดขึ้น ทำลายความเงียบที่รายล้อมแววตาของวาเลนไทน์สะท้อนไหววูบเล็กน้อย แต่ไม่นานนักเธอก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พังไปแบบนั้นก็ดีแล้ว”ฮิโร่หันมามองเธอด้วยความแปลกใจเล็กน้อยในคำพูดนั้น“หืม?”วาเลนไทน์ยังคงเหม่อมองสายน้ำไหล คล้ายกำลังดิ่งลึกลงไปในห้วงอดีตของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ“ชีวิตฉัน...ถูกไมค์ช่วยเอาไว้ก็จริง แต่เขาก็เป็นคนที่ทำลายมันลงเหมือนกัน...” เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงไฟริมน้ำ“เพราะงั้น...การที่มันพังไปแบบนั้น...ถือว่าดีแล้ว”วาเลนไทน์หันกลับมาสบตากับฮิโร่ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความซับซ้อน ทั้งความเศร้าและความโล่งใจที่ผสมปนเปกันฮิโร่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของวาเลนไทน์ คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยเหมือนกำลังไตร่ตรอง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“แล้วเธอคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ”วาเลนไทน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับคำถามนั้นกระทบใจเธออ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เนยเดินทางกลับจากมอสโก ข่าวใหญ่ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งโทรทัศน์และเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ทุกสำนัก รายงานเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ยูนิโอนิค คาร์ด กรุ๊ป ขณะเดินทางเยี่ยมชมสาขาในรัสเซียข่าวระบุว่าเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมดสี่ราย ได้แก่ นักบินประจำลำ ไมเคิล เวสท์ ผู้บริหารสูงสุดของยูนิโอนิค กรุ๊ป วินเซนต์ เกรย์ รองประธานฝ่ายบริหาร และเซเลสเท ลาโนว่า ผู้ช่วยส่วนตัวของวินเซนต์ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกธุรกิจ การสูญเสียบุคคลสำคัญระดับนี้ไม่เพียงกระทบต่อบริษัท ยูนิโอนิค คาร์ด กรุ๊ป เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความมั่นคงของอุตสาหกรรมการเงินระดับโลกอีกด้วย“หมอนั่น ทำให้ข่าวออกมาแบบนี้เหรอเนี่ย” เบียร์พูดขึ้น ขณะเลื่อนดูข่าวบนหน้าจอแท็บเล็ต ร่างสูงนั่งเอนตัวสบายๆ บนโซฟาภายในคอนโด โดยมีเนยนั่งอยู่บนตักของเขา“ก็ไม่แปลกนี่ อีตาสูทดำถนัดทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้วนี่นา” เนยหัวเราะเบาๆ ขณะมองภาพข่าวที่แสดงอยู่บนหน้าจอ“แล้วแบบนี้บริษัทเธอจะทำยังไงต่อล่ะ?” เบียร์เลิกคิ้วถามพลางโอบเอวเธอไว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงที่ดัดแปลงด้วยเอไอดังออกมาจากโทรศัพท์ของเนยที่เปิดสปีกเกอร์โฟน ราวกับเป็นเงาที่มองไม่เห็นของเกมนี้“แน่ใจเหรอ?” เสียงนั้นแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบไมเคิลขมวดคิ้วแน่น สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและสงสัยจับจ้องไปยังโทรศัพท์ในมือของเนย“นายคิดว่า แบล็ควอล์คไม่สามารถถูกทำลายได้จริงเหรอ?” เสียงนั้นยังคงดังออกมาราวกับเยาะเย้ย“แกเป็นใคร!!” ไมเคิลตะโกนลั่น เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบ“ไม่สำคัญหรอก” เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ ราวกับเพลิดเพลินกับความโกรธของไมเคิล“ฉันจะมอบของขวัญให้นายเอง ของขวัญแห่งความพินาศที่ชื่อว่า ‘แบล็คเฮเซล’ ”คำพูดนั้นเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนเปลวไฟ ไมเคิลกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด สายตาเขาเต็มไปด้วยคำถามและความเคียดแค้น“เขาว่างั้นล่ะ”เนยยกยิ้มบางพลางเดินเข้าไปหาไมเคิลที่ยังคงยืนตัวแข็งด้วยความโกรธ เธอเอื้อมมือดึงตัวเขาขึ้นจากพื้น ก่อนกดตัวเขานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับจอมอนิเตอร์ไมเคิลมองจอมอนิเตอร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ภาพข้อมูลบริษัท การฟอกเงิน การขนส่งของผิดกฎหมาย และฐานย่อยที่เป็นความลับระดับสูงสุด กำลังถูกเปิดเผยต่อหน้าต่อตาเขา“นี่มัน...”
ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเร่าร้อน เอมิกับไมเคิลยังคงจมอยู่ในความสุขที่เขาและเธอสร้างขึ้นร่วมกัน ไฟในดวงตาของไมเคิลเต็มไปด้วยความหลงใหล ในขณะที่เอมิกลับมีประกายร้ายกาจแฝงอยู่ในแววตาทันใดนั้น เอมิก็ชะงักเล็กน้อย สัญชาตญาณของเธอเตือนว่าเหตุการณ์กำลังเปลี่ยนไป ความเคลื่อนไหวจากภายนอกกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของเธอ“อะไรหรือ?” ไมเคิลถามพลางมองเธอด้วยสายตาสงสัย เมื่อเห็นเธอนิ่งไปชั่วครู่เอมิหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอียงหน้ามองเขา รอยยิ้มร้ายกาจของเธอฉายชัด“ดูท่า ความสนุกของเราจะหมดลงแค่นี้แล้วล่ะ” เธอเอ่ยเสียงเย้ายวน แต่เต็มไปด้วยความหมายลึกลับไมเคิลเลิกคิ้ว ดวงตาสีฟ้าของเขาหรี่ลงอย่างจับสังเกต ขณะเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติจากด้านนอก เสียงฝีเท้าและแรงระเบิดเล็กน้อยที่ดังมาจากระยะไกลส่งสัญญาณบางอย่างที่เขาไม่อาจมองข้ามไมเคิลลุกพรวดขึ้นจากเตียงทันที เขาเร่งสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวตรงไปยังโต๊ะทำงานข้างห้องพร้อมกดปุ่มลับที่ซ่อนอยู่ ไม่นานนัก มอนิเตอร์หลายสิบจอก็ปรากฏภาพตรงหน้า เขามองภาพสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบฐานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดภาพการพ่ายแพ้ของล
ภายใต้ความมืดของยามค่ำคืน ฮิโร่และเนยเคลื่อนตัวอย่างเงียบงัน ฝ่าหมอกควันที่ลอยตลบจากระเบิดควันที่ฮิโร่ปาออกไปตามทางเป็นระยะ เพื่อบดบังการเคลื่อนไหว ทั้งคู่ใช้ทางเดินด้านหน้าของอาคารหลัก บุกเข้าไปโดยไร้เสียงฮิโร่เคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่ว ดาบคาตานะในมือของเขาวาววับเมื่อสะท้อนแสงไฟสลัว เขาพุ่งตัวเข้าใกล้ศัตรูคนแรกที่ยืนเฝ้าทางเข้า ดาบในมือฟาดออกด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ เสียงเฉือนเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่ร่างของสมุนจะล้มลงโดยไร้เสียงโวยวาย ฮิโร่ใช้เท้าขยับร่างศัตรูเข้าข้างกำแพง ซ่อนร่างไว้ก่อนส่งสัญญาณให้เนยเดินตามเนยตามติดเขาไปอย่างว่องไว ดวงตาคมกริบของเธอจ้องจับทิศทางศัตรูคนถัดไปที่ยืนอยู่บริเวณมุมตึก เธอพุ่งตัวไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว มีดสั้นในมือปักเข้าที่ต้นคอของศัตรูจากด้านหลัง ร่างของเขาทรุดลงอย่างเงียบงัน ก่อนที่เธอจะวางร่างลงกับพื้นอย่างเบามือทั้งคู่เคลื่อนไหวราวกับเงา ไร้เสียง ไร้การสะดุดเมื่อเจอกับกลุ่มศัตรูที่อยู่เป็นทีมเล็ก ๆ ฮิโร่ใช้สัญญาณมือสั่งให้เนยหยุดรอ ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไปในพริบตา ดาบของเขาสะบัดฟาดในจังหวะเดียวล้มศัตรูสองคนที่ยืนหันหลังให้ ส่วนคนที่สามที่หันมาเห็นเหตุ
“ใจเย็นสิคะ...” เนยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ดวงตาพราวระยับ พร้อมยกมือบางขึ้นแตะที่ริมฝีปากของวินซ์ที่กำลังจะโน้มลงมา“หืม...นี่ผมใจเย็นสุดละ” วินซ์ตอบเสียงแหบพร่า แววตาเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาเขาใช้มือจับข้อมือของเธอเบาๆ ก่อนจะดึงมือเรียวเล็กออกจากริมฝีปากของเขา และกดริมฝีปากร้อนลงบนริมฝีปากบางของเธอทันทีจูบของเขาไม่รีบร้อน แต่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่เธอไม่อาจหลีกหนีได้ วินซ์สอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงปากของเธอ ตักตวงรสหวานที่เขาต้องการมาตลอดเนยขืนตัวเล็กน้อย แต่ไม่นานนักก็ปล่อยตัวไปตามอารมณ์ มือบางที่เคยพยายามผลักไส เปลี่ยนมาจับที่บ่าของเขาเบาๆ ขณะที่ลมหายใจของทั้งคู่เริ่มประสานกันวินซ์จรดริมฝีปากร้อนลงบนซอกคอขาวเนียนของเนย ไล้เบาๆ ด้วยความนุ่มนวลก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาช้าๆ จนถึงเนินอก เผยให้เห็นความปรารถนาที่เขาเก็บซ่อนไว้ในแววตา ขณะที่มือของเขาลูบไล้ไปตามร่างกายของเธออย่างเชื่องช้า“คุณสวยมาก...” วินซ์พึมพำเสียงเบา ดวงตาสีฟ้าเข้มทอดมองใบหน้าของเนย แต่แล้วเขาก็กระพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกเหมือนโลกเริ่มหมุน และภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไป“คุณอมลวัทน์...ทำไมผม...” วินซ์พูดแผ่ว ราวกับพยายามรวบรวม
ขณะเดียวกัน วินซ์พาเนยนั่งรถลีมูซีนกลับมายังโรงแรมท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืนของมอสโก บรรยากาศภายนอกเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่ภายในรถกลับอึมครึมไปด้วยความเงียบระหว่างพวกเขา จนกระทั่งรถจอดสนิทที่หน้าโรงแรม วินซ์เปิดประตูรถให้เธอ“ขอบคุณค่ะ” เนยยิ้มขณะก้าวลงจากรถ“ผมจะเดินไปส่งคุณที่ห้อง” วินซ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แววตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความลึกซึ้งเนยเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินนำเข้าไปในตัวโรงแรมเมื่อถึงหน้าห้องพักของเธอ วินซ์กลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ดูเหมือนตั้งใจมากกว่าครั้งก่อน“ถ้าจะให้ดี ผมขอเข้าไปดื่มกาแฟสักแก้วได้มั้ย? พอดีมีงานที่ต้องคุยกับคุณนิดหน่อย...ตอนที่คุณหายไป”เนยหลุดหัวเราะเบาๆ กับข้ออ้างที่ฟังดูน่าเอ็นดู รอยยิ้มของเธอเจือความรู้ทันอย่างชัดเจน เธอมองหน้าเขานิ่งๆ อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบ“แค่กาแฟแก้วเดียวนะคะ”วินซ์ยิ้มมุมปากราวกับได้สิ่งที่ต้องการ เขาก้าวตามเธอเข้าไปในห้องพัก ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีทองและน้ำตาลอ่อน พร้อมวิวเมืองมอสโกยามค่ำคืนที่มองเห็นได้จากกระจกบานใหญ่เนยเดินตรงไปที่มุมครัวเล็กๆ ในห้อง หยิบเ