ปรายฝนยืนส่องกระจกหมุนตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าที่คนอื่นๆ สวมใส่จึงคิดได้ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วควรหลิ่วตาตาม ซึ่งจริงอย่างที่แม่นายใจเดียวบอก เสื้อผ้าชุดที่สวมใส่มากับชุดที่เพิ่งถอดเปลี่ยนมีหวังคงซักให้กลับคืนมาเป็นสภาพเดิมไม่ได้แน่ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ปรายฝนจึงรีบเดินไปดูผ่านช่องเล็กๆ ก่อนจะเปิดออก
“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงที่ไร่ข้างๆ ฉันอยากให้เธอไปด้วย” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝนที่ขมวดคิ้วจ้องมอง
“รวมอยู่ในหน้าที่ผู้ช่วยด้วยหรือคะ เรื่องออกงาน” ปรายฝนถาม
“ในสัญญาไม่ได้ระบุเวลาทำงานของเธอ” แม่นายใจเดียวบอก
“โหดร้าย” ปรายฝนบ่นพึมพำ
“ไปเลือกเสื้อผ้าที่ห้องฉันดู เพราะต้องแต่งตัวเรียบร้อยนิดหนึ่ง”
“เสื้อผ้าแม่นาย” ปรายฝนยิ้มๆ แล้วทำหน้าเหยเก
“แค่ให้ไปเลือกดู ฉันรู้ว่าเธอน่ะสาวทันสมัย เผื่อเอาที่ฉันมีมารวม กับที่เธอมีอาจเข้ากันได้” แม่นายใจเดียวบอก
“ขอบคุณค่ะ สะดวกให้ไปดูได้ตอนไหนคะ” ปรายฝนถาม
“รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูห้องให้ ตรงนั้นมีประตูเชื่อมถึงห้องนอนฉัน แต่เปิดจากห้องเธอไม่ได้” แม่นายใจเดียวบอก ปรายฝนยืนงงๆ มองไปยังผนังห้องที่ไม่เคยสังเกตเลยว่ามีประตูเชื่อมกับอีกห้องหนึ่ง
“แล้วไงว๊ะ เปิดเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้งี้” ปรายฝนรำพึงออกมาเบาๆ
เรื่องประตูห้องที่เปิดเข้ามาถึงห้องของตัวเองได้ ปรายฝนยังรู้สึก คาใจ แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าในตู้ของแม่นายใจเดียวทำเอาแปลกใจอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้าคิดถึงเสื้อผ้าของผู้สูงอายุ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ แม้ไม่ได้ดูหรูหรามากนัก แต่เป็นเสื้อผ้าลำลองที่สวมใส่ได้ไม่ว่าจะวัยไหนด้วยเสื้อสีพื้น กับกางเกงรัดรูป ปรายฝนยิ้มนึกไม่ออกว่าแม่นายใจเดียว หากสวมใส่เสื้อผ้าเหล่านี้แล้วจะออกมาเป็นอย่างไร
“นึกว่าต้องชุดราตรี” ปรายฝนหัวเราะหึๆ แม่นายใจเดียวส่ายหน้า
“ไว้กลับเข้ากรุงค่อยใส่เถอะ ไอ้ชุดพวกนั้นน่ะ”
“แค่นี้ก็ต้องดุด้วย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ มองดูกางเกงรัดรูปที่คิดว่าตัวเองน่าจะใส่ได้ แต่ทำไมแม่นายถึงได้ใจดีให้หยิบยืม
“ได้หรือยัง พิรี้พิไรอยู่ได้” เสียงพูดดุที่ดังขึ้นทำเอาปรายฝนถอนใจ
“ไม่ถือหรือคะ ให้ใครไม่รู้มายืมเสื้อผ้าใส่”
“ทำไม เธอไม่รักษาความสะอาดเนื้อตัวหรือไง” แม่นายใจเดียวถาม ปรายฝนถอนใจเสียงดังเห้อออกมา
“อาจจะต้องเอากลับมาต้มเลย เปลี่ยนใจไม่ให้ยืมก็ได้นะคะ ปรายขับรถไปให้แล้วรออยู่ในรถก็ได้ ถ้าแม่นายอายที่มีผู้ช่วยเป็นเด็กสกปรกขี้เหร่ๆ ล่ะก็” ปรายฝนทำหน้างอ แต่กลับทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มออกมา
“ต้มทำไมกัน ทิ้งเลยดีกว่า ฉันอยากให้ไปเป็นเพื่อนไม่ได้อยากให้
ขับรถให้ เข้าใจ๋ เอานี่ไปลองดู” แม่นายใจเดียวหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพร้อมกับกางเกงยีนรัดรูปที่ดูเหมาะเจาะและดูดีในความรู้สึกของปรายฝน
“ดูดีนี่” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น หลังจากปรายฝนเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมายืนมองดูอยู่ที่กระจกเงา
“แน่สิคะ ไม้แขวนออกจะหุ่นดีขนาดนี้” ปรายฝนอมยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น ฉันคงรูปร่างดีเหมือนกันสินะ” แม่นายใจเดียวบอก
“จริงด้วยค่ะ” ปรายฝนยิ้มๆ เมื่อหันมามองสบตากับแม่นายใจเดียว
“เรียบร้อยกลับห้องไปได้แล้วจ้ะ อ้อไม่มีวันที่ฉันจะเปิดเข้าไป หากไม่ได้รับอนุญาตจากเธอก่อน ไม่ต้องกังวลเรื่องประตูห้อง” แม่นายใจเดียวบอกก่อนจะดันหลังให้ปรายฝนเดินผ่านประตูกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“ใครกังวล ไม่มี๊” ปรายฝนยิ้มๆ และพนมมือไหว้ขอบคุณสำหรับชุดที่ให้ยืม
“เด็กหนอเด็กทะเล้นเสียเหลือเกิน” แม่นายใจเดียวถอนใจ
“แววตาบางทีก็ดุ๊ดุ บางทีก็นิ่งเป็นน้ำเย็นเจี๊ยบ บางทีก็อ่อนโยนเสียจนรู้สึกแปลกๆ ทำไมถึงได้อยู่ตัวคนเดียวมาจนป่านนี้” ปรายฝนคิด
ปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่วางอยู่ ซึ่งเมื่อหยิบมาดูถึงได้รู้ว่าแทบจะไม่มีสัญญาณเลย แต่ทำให้รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะตัวเองไม่ได้อยากติดต่อใครสักเท่าไรนัก บางทีที่นี่อาจเป็นสถานที่ที่จะลงหลักปักฐานก็เป็นได้อยู่ไปเรื่อยๆ ถ้ามีความสบายใจ ปรายฝนยิ้มจางๆ และหยิบโทรศัพท์วางลงที่เดิม เพราะถือเป็นสิ่งไม่จำเป็นเลยสำหรับการมาอยู่ที่ไร่ใจเดียว
“ค่อยดูเป็นพวกเดียวกับคนอื่นหน่อย ปราย” เจ้าตัวมองดูเสื้อผ้าที่
สวมใส่อยู่ หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดทำงานเหมือนกับคนอื่น
ไตรเป็นหัวหน้าคนงานยิ้มๆ เมื่อเห็นปรายฝนมองดูเสื้อผ้าที่สวมใส่ซึ่งเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เสื้อออกจะใหญ่กว่าเจ้าตัวไปสักหน่อย
“ชุดปั่นจักรยานเละแล้วสิ” ไตรพูดขึ้น ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ
“ค่ะ ชื่อ คุณไตร หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม
“ครับ ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ เรียกพี่ไตรเถอะ ปราย” ไตรยิ้มๆ
“ที่นี่มีอะไรเจ๋งๆ ที่น่าสนใจบ้างไหมคะ พี่ไตร” ปรายฝนถาม
“หาเรื่องซน แม่นายจะดุเอา”
“โดนดุตลอดเวลาตั้งแต่เจอหน้าแล้วล่ะ พี่ไตรมีอะไรให้ช่วยไหม”
“ไม่มี งานพี่ไม่ใช่งานของผู้หญิง แบกหาม ขับรถไถอะไรแบบนี้”
“ทำไมแม่นายชอบขี่จักรยานคะ พี่ไตร” ปรายฝนถามยิ้มๆ เพราะอาการปวดขายังคงอยู่กับตัวเอง
“พวกเราพยายามลดมลพิษ รถยนต์ถึงได้เปลี่ยนบ่อยๆ จะได้ไม่มีควันดำออกมา มอเตอร์ไซด์ที่ใช้ก็แบบไฟฟ้า แต่ชอบจักรยานกันมากกว่า” ไตรบอกเล่าเกี่ยวกับไร่แห่งนี้
“สาว ECO” ปรายยิ้มๆ เมื่อนึกถึงแม่นายใจเดียว
“พวกเราชิน ไม่เคยนึกเรื่องสร้างภาพหรอก เพราะถ้าไม่มีมลพิษคน เราจะมีสุขภาพที่ดี ไม่เจ็บป่วยง่ายนัก คนงานที่นี่ไม่ค่อยป่วยกัน แต่ชายๆ พื้นที่มีไร่ที่เขายังใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งเราทำอะไรไม่ได้ แม่นายเลยให้ปลูกต้นสนไว้เพื่อเป็นรั้วคิดว่าคงพอจะช่วยกรองสารเคมีได้บ้าง
“แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีลอยมาอยู่ดี” ปรายฝนพูดขึ้น
“แต่เราส่งไปตรวจสอบได้ว่า ผัก ผลไม้ ข้าว ปลอดสารพิษหรือไม่”
“กว้างใหญ่ขนาดนี้ แม่นายดูแลคนเดียว เก่งจริงๆ เลย”
“แต่กว่าจะได้อย่างที่เห็น ก็ไม่ได้ง่ายนัก เวลาพี่เหนื่อยมากๆ พอมอง ดูแม่นายทำงานแล้วหายเหนื่อยเลย ปรายมาเป็นผู้ช่วยก็ดีแล้ว พี่จะได้ทำ งานได้เต็มที่หน่อย ไม่ต้องไปไหนมาไหนกับแม่นาย” ไตรหัวเราะ
“ผลักภาระนะเนี่ย พี่ไตรจะไปไหน ปรายขอตามไปดูได้ไหม”
“ได้สิ ไปเอาวิทยุสื่อสารที่สำนักงานมาก่อน เผื่อแม่นายเรียกใช้จะได้รีบกลับมา จักรยานด้วย รับรองสักสามเดือนกล้ามเนื้อที่ขาแข็งปั๋ง” ไตรหัวเราะ เมื่อเห็นปรายฝนขมวดคิ้วแต่ยังมีรอยยิ้มและรีบวิ่งกลับไปที่อาคารสำนักงานตามคำสั่งของไตร
เมื่อมองเห็นรถไถที่ใช้ปรับพื้นที่เพื่อเตรียมปลูกข้าว ปรายฝนนึกถึงข้าวที่ไม่ได้ขัดสี ซึ่งรับประทานมาได้สองสามมื้อ ตอนแรกเกิดคำถามอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อได้ยินการบอกเล่าจากหัวหน้าคนงานที่ชื่อ ไตร จึงเข้าใจว่าทำไมถึงทานข้าวกล้องและอาหารส่วนใหญ่เป็นผักมากกว่าเนื้อสัตว์
“ไม่อยากนึกถึงเรื่องเจ้าระเบียบเล๊ย” ปรายฝนรำพึงออกมาเบาๆ ทำให้ไตรยิ้มๆ เพราะได้ยินเข้าพอดี
“ความเจ้าระเบียบที่พอดี ถือเป็นความดีงามนะจ๊ะ แม่นายปราย” ไตรพูดแหย่แล้วหัวเราะคิกคัก
“ปรายเฉยๆ ก็พอค่ะ พี่ไตร”
“วันหนึ่ง ปรายอาจได้เป็นแม่นายก็ได้ใครจะรู้ พี่ซ้อมเรียกไว้ก่อน” ไตรยักคิ้วล้อปรายฝนที่ถึงกับหัวเราะออกมา
“ไม่รู้จะอยู่ได้สักกี่น้ำ” ปรายฝนพูดบ่น
ไตรกำลังเริ่มอธิบายงานของตัวเอง โดยพาปรายฝนขึ้นไปยืนอยู่ด้วยขณะที่เขาขับรถไถ่เพื่อปรับพื้นที่ ไตรเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีพูดจาสุภาพและเป็นสุภาพบุรุษ ปรายฝนสัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พูดคุยกัน
“ทำไมหัวหน้าคนงานต้องมาขับรถไถเองล่ะคะ” ปรายฝนถาม
“ต้องทำทุกอย่างนั่นแหละ จะว่าไปจริงๆ ก็ไม่ได้มีหัวหน้าลูกน้องหรอกนะ อะไรที่ทำได้ก็ช่วยๆ กันทำให้เสร็จ คนของเราไม่ได้มีมากมายนัก พี่มีหน้าที่แบ่งงานให้คนงานตามความเหมาะสม” ไตรบอก
“นายไตรครับ เดี๋ยวผมจัดการต่อเองครับผม” เสียงคนงานตะโกนโหวกเหวกฝ่าเสียงของเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างดัง ไตรจอดรถทันทีทำให้คนที่ยืนอยู่เสียการทรงตัวเซถลาเข้าหา ไตรจึงรวบตัวแล้วกอดเอาไว้แน่น
“ปล่อยปรายได้แล้วค่ะ พี่ไตร” ปรายฝนพูดขึ้น เมื่อมองเห็นคนที่เพิ่งขี่จักรยานแล้วหันมามองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขี่เลยไป
“ขอโทษที พี่กลัวปรายตกลงไปจะแย่เอา ขอโทษนะครับ” ไตรยิ้มๆ ให้แต่เมื่อหันไปมองเห็นคนงานที่ยืนยิ้มกริ่ม จึงทำหน้าดุใส่และส่ายหน้าเพื่อเป็นการบอกว่าไม่ให้ไปเล่าหรือพูดให้ใครฟัง ปรายฝนมองตามรถจักรยานคันนั้นที่ปั่นไปอย่างรวดเร็วจนลับสายตา
“มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” ปรายฝนพูดขึ้น
“ขอบใจนะที่ไม่โกรธ พี่” ไตรยิ้ม
“ถ้าไม่กอดเอาไว้ล่ะก็ มีหวังคงตกลงไปหลังหัก ปรายจะไปโกรธได้อย่างไรกัน”
“พวกนายก็อย่าเอาไปพูดกันล่ะ ปรายเขาจะเสียหาย” ไตรพูดปรามคนงานที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันอยู่
“ปรายขอไปดูทางโน้นหน่อยนะคะ” ปรายฝนพูดขึ้นแล้วมองไปทาง
ที่แม่นายใจเดียวปั่นจักรยานผ่านไปเมื่อสักครู่
“ตามไปเลย คุณผู้ช่วย แม่นายคงไปเก็บมะเขือเทศไว้ทาน” ไตรบอกแล้วยิ้มๆ ให้ปรายฝนที่ขมวดคิ้วจ้องมอง
“ขออีกคำถามก่อนไปนะคะ ที่ไร่ไม่มีผักและผลไม้อะไรบ้างคะ”
“ฉลาดถาม แต่นึกไม่ออกแฮะ อยากกินอะไรก็มีหมด ถ้าอยากกินหลายอย่าง ก็ต้องขยันปั่นจักรยานกันหน่อย เพราะผักผลไม้ต้องการดินที่แตกต่างกัน แต่พวกเราเชื่อกันว่า เป็นแผนของแม่นายเพื่อควบคุมน้ำหนักพวกเราด้วยการให้ปั่นจักรยานไปเก็บผักผลไม้ไกลหน่อย” ไตรหัวเราะ
“มิน่าถึงได้รูปร่างดี ไปเก็บมะเขือเทศกินจากต้น น่าอร่อย ปรายไปก่อนนะ” ปรายฝนกระโดดลงจากรถไถแล้วรีบขี่จักรยานตามแม่นายใจเดียวไปทันที
แม่นายใจเดียวไม่ได้หันมาสนใจคนที่เปิดประตูเข้ามาในโรงเรือนซึ่งน่าจะเรียกว่าโรงเรือนกางมุ้ง ปรายฝนยืนหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเริ่มเดินเข้าไปดูภายในทำให้ถึงกับตาลุกวาว เมื่อเห็นผลมะเขือเทศซึ่งเรียกกันว่ามะเขือเทศราชินีที่มีสีแดงสดตัดกับสีเขียวของใบ โดยมีผลค่อนข้างใหญ่กว่าที่เคยเห็นขายกันตามท้องตลาด
“แม่เจ้าทำไมลูกใหญ่ขนาดนี้” ปรายฝนรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาแม่นายใจเดียวที่ยังคงบรรจงตัดกิ่งต้นมะเขือเทศที่มีผลสวยๆ และค่อยๆ วางลงในตะกร้าหวาย
“ขอชิมสักหน่อยเถ๊อะ” ปรายฝนเอื้อมมือไปหยิบในตะกร้าแต่ถูก
ตีมือแรงๆ จึงร้องเอะอะโวยวาย
“โอ๊ย แค่นี้ต้องหวงด้วย” ปรายฝนพูดโวยวาย แต่เมื่อหันไปเห็นคนที่ยืนทำหน้านิ่งจ้องมองอยู่เลยทำหน้าจ๋อยทันที
“อยากกินทำไมไม่เก็บเอาเอง” แม่นายใจเดียวพูดดุ
“ขอชิมลูกเดียวก็ไม่ได้ ไหนใครๆ ก็ว่า แม่นายใจเดียวใจดี”
“อยากกินก็ต้องทำงาน เดินไปหยิบกรรไกรที่ประตูโน่นมา”
“ลูกเดียวก็ไม่ได้เหรอคะ” ปรายฝนถาม
“ทำไมไม่อยู่ช่วย ไตรล่ะ ตามมาทำไม” แม่นายใจเดียวพูด โดยมือก็ยังคงทำงานต่อไป ปรายฝนจึงรับผลมะเขือเทศ ซึ่งติดที่กิ่งเป็นช่อสวยใส่ลงในตะกร้า
“พี่ไตรบอกว่ามีมะเขือเทศค่ะ เลยรีบแจ้นมา” ปรายฝนอมยิ้ม
“อ๊ะ ลองชิมดู” แม่นายใจเดียวถอดถุงมือและปัดผงที่ติดอยู่ที่ผลให้ก่อนจะยื่นให้ปรายฝน
“อาบยาพิษหรือเปล่าเนี่ย” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ
“ถ้าอยากให้ตาย มีอีกหลายวิธีสำหรับจัดการคนตะกละอย่างเธอ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“เมื่อกี้เป็นอุบัติเหตุนะคะ พี่ไตรจอดรถเร็ว ปรายไม่ทันตั้งตัวเลยล้มไปทับที่ตัวพี่ไตรเข้า” ปรายฝนบอก แต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องอธิบาย
“ถ้าเธอจะชอบนายไตรก็ไม่แปลก รูปหล่อ ขยันขันแข็ง ใจดีด้วย”
“ดีไปค่ะ แบบนั้น ชีวิตขาดสีสัน ชอบแบบร้ายนิดๆ ช่างว่าหน่อยๆ อะไรแบบนี้น่ะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ แต่ยังคงช่วยนำผลของมะเขือเทศใส่ลงในตะกร้าอยู่ ซึ่งแม่นายใจเดียวจะคอยส่งให้โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ปรายฝนปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ด้วยความไม่ค่อยคุ้นชินกับการทำ งานในไร่สักเท่าไรนัก แม้งานดูไม่ยากอะไร แต่การเก็บพืชผักผลไม้จำนวนมากก็เหนื่อยเอาเรื่องและยังปวดไปหมดในทุกส่วนบนร่างกายเลยทีเดียว “ไหนว่าให้มาเป็นผู้ช่วยแม่นาย” ปรายฝนบ่นพึมพำ “ตอนมาใหม่ๆ ปลาก็คิดเหมือนปรายนั่นแหละ แต่อีกสักพักก็ชินไปเอง อย่าไปบ่นให้แม่นายได้ยินเข้าล่ะ มีหวังได้โดนใช้งานหนักกว่าเดิมแน่ๆ ทุกคนโดนมาหมดแล้ว” ปลาหัวเราะ เมื่อเห็นปรายฝนยิ้มเจื่อนๆ “เดี๋ยวต้องขับรถพาแม่นายไปงานเลี้ยงอีก อยากนอนชะมัดเลย” “งานเลี้ยงของอร่อยเยอะ ข้าวเย็นที่โรงอาหารไม่ต้องกินเลย” “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ถ้าเสร็จช้ากว่าแม่นายมีหวังโดนเอ็ดไปอีกหลายเพลา” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ เมื่อได้พูดนินทาเจ้านาย แม่นายใจเดียวมองดูตัวเองผ่านกระจกเงาที่อยู่ตรงหน้า ริ้วรอยมีให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด การต้องไปงานเลี้ยงมากกว่าที่สร้างความรู้สึกอึดอัดให้ “ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น เมื่อออกจากห้องเ
ปรายฝนรับประทานอาหารเช้าพร้อมกันคนอื่นๆ ที่โรงอาหารซึ่งมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมองดูรอบๆ ไม่เห็นแม่นายใจเดียว ตอนออกมาจากห้องพักก็ชะเง้อชะแง้ดูไปทางด้านหน้าที่พักแต่ไร้เงาเจ้าของไร่ “แม่นายไร่โน้นเอาอาหารเช้ามาส่ง แม่นายไร่นี้เลยอยู่รับรองที่เรือนรับรองแขก” ปลาพูดขึ้น ปรายฝนขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน “ปรายไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” ปลากับกลอยยิ้มๆ เมื่อได้ยิน “อ้าวนึกว่ามองหาอยู่ เพราะคนอื่นๆ ก็ยังไม่คุ้นเคยกันนี่ ปลาเลยคิดว่าปรายมองหาแม่นาย” ปลาบอกแล้วหันไปยิ้มกับกลอย “แต่ก็แปลกนะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะมา” กลอยพูดขึ้น “นั่นสิ” ปลาพูดขึ้นรีบรับประทานอาหารเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน “สนิทกันไม่เคยไปมาหาสู่หรอกหรือ” ปรายฝนเอ่ย “ไม่เคยมา เพิ่งเห็นครั้งแรกนี่แหละ” เสียงของไตรดังขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ ปรายฝน “เจอที่งานเลี้ยงเห็นออกจะสนิทกัน” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆทำเอาอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยจ้องมองพร้อมๆ กัน “พี่ได้ยินมาว่า ตอนสาวๆ สนิทสนมกัน แต่พอแม
ใจเดียวหลังจากเข้ามากราบสักการะพระประธานในอุโบสถยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ภายใน โดยมีแพรพรรณนั่งอยู่ด้วยข้างๆ อย่างเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยหรือสนทนาใดๆ ทั้งสองคนรับไหว้ผู้คนที่รู้จักซึ่งเข้ามาทักทายตลอด “ออกไปหาน้ำดื่ม กินขนมกันดีกว่า” แพรพรรณกระซิบบอกใกล้ๆ ใกล้เสียจนปลายจมูกสัมผัสเบาๆ ไปที่หูของใจเดียวที่รีบลุกขึ้นทันที ใจเดียวมองดูรอบๆ หวังว่าจะได้เห็นปรายฝน จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชิงช้าสวรรค์ แม่นายใจเดียวโบกไม้โบกมือให้ปรายฝนที่ยิ้มสวยๆ ให้ “จะได้เป็นลูกบุญธรรมแม่นายซะล่ะมั้ง เราน่ะ ปราย” กลอยพูดขึ้น ปรายฝนขมวดคิ้ว “นั่นสิ เราอยู่มานานยังไม่กล้าโหวกเหวกเรียกแม่นายเลย” ปลายิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อเห็นปรายฝนทำหน้าจ๋อย “น่าเกลียดเหรอ” ปรายฝนถาม “ไม่หรอก แม่นายยิ้มสวยเลยน่ะ” กลอยบอก “เวลายิ้มสวยดีออก อยากให้แม่นายยิ้มบ่อยๆ” ปรายฝนพูดขึ้น “หนุ่มๆ ตอมกันหึ่ง ได้ยินคนเก่าคนแก่พูดกัน สวยแบบไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรเลย เวลายิ้มน้อยๆ ให้เห็นต้องเรียกว่างดงาม เขาว่
เสียงตะโกนโหวกเหวกทำให้คนที่กำลังรับประทานอาหารเช้าหันไปมองทางด้านหน้าสำนักงาน เมื่อเห็นว่าเป็นแขกของแม่นายใจเดียว ทุกคนจึงเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ระหว่างรับประทานอาหารเช้า ปรายฝนยิ้มจางๆ มองสบตากับแม่นายใจเดียวที่ยิ้มให้เช่นกัน ปลากับกลอยและไตรถอนใจเพราะนอกจากคนเป็นมารดาที่แวะเวียนมาทุกวัน เช้านี้เพิ่มลูกสาวที่ส่งเสียงจนทุกคนตกใจรีบหันไปมอง ไม่รู้ว่าจะมาสร้างความวุ่นวายใจให้กับเจ้าของไร่หรือไม่ “สวัสดีค่ะ น้าเดียว” จันจิราพนมมือไหว้ทันที เมื่อเห็นเจ้าของไร่ออก มาต้อนรับ “ทานอาหารเช้ากันมาหรือยังคะ” ใจเดียวถาม “ยังเลย รู้ว่ายังไงเดียวคงเตรียมไว้ให้” แพรพรรณพูดขึ้น “เดี๋ยวจัดการให้จ้ะ เชิญที่เรือนรับรองแขกดีกว่า” ใจเดียวบอก “แพรไม่อยากเป็นแขก” “แม่คะ แม่กำลังทำให้น้าเดียวอึดอัดนะ” จันจิราพูดขึ้น “ไม่หรอก แขกไปใครมาน้าก็ต้อนรับหมดนั่นแหละ” ใจเดียวยิ้มๆ “ปรายล่ะคะ น้าเดียว” จันจิราถาม “ทานอาหารเช้าอยู่ที่โรงอาหารโน่น” ใจเดียวบอก “ถ้าอย่างนั้น จันไปทานข้าวที่โรงอาห
แพรพรรณโวยวายใส่ลูกสาวตั้งแต่ขึ้นรถ จนขับมาถึงที่ไร่ตัวเองซึ่งทำเอาจันจิรานั่งหน้างอมาตลอดทาง “ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ลูกสาวฉัน” แพรพรรณพูดบ่น “บอกให้แยกปรายออกไป จันก็ทำให้แล้ว แม่จะเอายังไงอีก” “ไม่เอายังไง จันต้องไปกับแม่ที่ไร่นั้นทุกวัน” แพรพรรณพูดเสียงเข้ม “น้าเดียวรำคาญตายพอดี แม่คิดดีแล้วหรือคะ” จันจิราถาม “ฉันไม่สนใจ อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันก็ควรได้เหมือนพ่อเธอนั่นแหละ” แพรพรรณพูดขึ้น “เอาแต่ใจตัวเองหนักมาก จันเป็นบ้างไม่ต้องมาถามเลยว่าเหมือนใครกัน” จันจิราบ่นพึมพำมองดูมารดาที่ลงจากรถแล้วรีบเข้าบ้านไปก่อน จันจิราตะโกนไล่หลังมารดาไป โดยบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในเมืองไม่ทันได้ทัดทานหรือหันมาพูดอะไร จันจิราก็ขับรถออกจากไร่ไปแล้ว “ยายจันนะ ยายจัน พึงพาอะไรไม่ได้เลย งานการก็ไม่คิดจะช่วยดูแลเอาแต่เที่ยวกับขอเงินเท่านั้น” แพรพรรณมองดูเสื้อผ้าและเนื้อตัวทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เพราะเสียเวลาและโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับใจเดียว “ต้องเหนื่อยขนาดไหนคะ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้”
พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น “คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย “ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน “ขอบคุณค่ะ” “ครับผม” กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาว
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมยกเว้นระยะห่างที่แม่นายใจเดียวมอบให้ ซึ่งปรายฝนสัมผัสได้ตั้งแต่กลับมาจากในเมือง เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมีเพียงช่วงเวลาทำงาน เพราะหลังจากหมดเวลางานการพูดคุย การพูดเล่น การได้ใกล้ชิดกันต่างไปจากเดิม แต่ความรู้สึกของปรายฝนเหมือนดอกไม้ในใจเหี่ยวเฉาจากที่เคยตื่นเช้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยากรีบออกมาทำงาน กลับกลายเป็นว่ารู้สึกเกียจคร้านไม่อยากตื่นนอนเอาเสียเลย “เบื่ออาหารหรือ” ไตรถาม เพราะหลายวันแล้วที่เห็นปรายฝนทานอาหารน้อยลง ปลากับกลอยเองสังเกตเห็นเช่นกัน “นั่นสิทำงานทั้งวัน ถ้าไม่กินเยอะๆ จะไม่ไหวนะ” ปลาพูดเตือน “เนือยๆ เดี๋ยวก็หาย แม่นายไม่มาทานอาหารเช้าหรอกหรือ ไม่ค่อยเห็นมาที่โรงอาหาร” ปรายฝนพูดขึ้นและมองไปรอบๆ บริเวณโรงอาหารที่มีเสียงการสนทนาและพูดคุยกันเหมือนทุกวัน “แม่นายแพรพรรณมาอยู่ที่เรือนรับรอง” กลอยบอก ปรายฝนยิ้มๆ ไม่กล้าสบตากับทุกคน “เมื่อคืนพี่ตื่นขึ้นมาเลยออกมายืนที่ระเบียงบ้านพักเห็นแม่นายออกมาเดินดูดาวเหมือนคิดอะไรอยู่ น่าแปลกเพราะไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่” สิ่งที่ไตรบอกทำเ
ปรายฝนแปลกใจ เมื่อกลอยแจ้งว่ามีโทรศัพท์มาจากพี่ชายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นลูกคนเดียวและไม่มีใครรู้เลยว่ามาทำงานอยู่ที่นี่ นอกจากบิดาของเท่านั้น “สวัสดีค่ะ ปรายฝนค่ะ” ปรายฝนพูดทักทายขึ้นก่อน “พี่ฤทธิ์เองค่ะ ปรายใจร้ายจังนะคะ” เสียงที่ได้ยินทำเอาปรายฝนมีรอยยิ้มเจื่อนๆ หันมองดูไปรอบๆ มีเพียงกลอยที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ “ไปเอาเบอร์มาจากไหนคะ” ปรายฝนพูดน้ำเสียงแปร่งๆ “คุณพ่อให้มาค่ะ หนีไปอยู่เสียไกลคิดว่าพี่จะตามปรายไม่เจอหรืออย่างไรกัน” ดวงฤทธิ์ถาม “ปรายไม่ได้เป็นอะไรด้วย พี่ฤทธิ์จะมาตามทำไมกัน แค่นี้ก่อนนะคะ ปรายต้องไปทำงานแล้วล่ะ” พูดจบปรายฝนรีบวางสายทันที “ไว้ถ่ายละครเสร็จ จะตามไปง้อนะจ๊ะ คนสวย” ดวงฤทธิ์ยิ้มๆ ถึงแม้ปลายทางจะวางสายไปแล้วก็ตาม กลอยมองเห็นปรายฝนทำหน้ามุ่ยเลยยิ้มให้แต่แปลกใจทำไมเวลาทางบ้านโทรศัพท์มาทีไร ปรายฝนดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนักหลังจากพูดคุยกับคนในครอบครัว “หนีออกจากบ้านมาหรือไง ปราย” กลอยถาม “ประมาณนั้นแหละ” ปรายฝนบอกแล้วยิ้มจางๆ ให้ “คงแค่อยากรู้ทุกข์สุข อย
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ
ปรายฝนมาอาบน้ำเข้านอนก่อนปล่อยให้ผู้ใหญ่ดื่มและพูดคุยกัน รอยยิ้มจางลงเมื่อนึกถึงรูปภาพผู้หญิงที่หน้าจอโทรศัพท์ของแม่นายใจเดียว ที่ได้เห็นตอนเข้าเมืองไปทำธุระด้วยกัน “ไม่คิดสิ เรื่องเก่านมนานแล้ว” ปรายฝนพูดบ่นกับตัวเอง แต่สายตาวาววับของแม่นายแพรพรรณนั่นทำให้กลับมาคิดมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่นายใจเดียวมากขึ้น หรือเป็นเพราะความใกล้ชิดทำให้ยิ่งคิดมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนกอดกันที่ปลายไร่ตรงทางเชื่อมระหว่างไร่ทั้งสอง ปรายฝนมองดูเพดานห้องคอยฟังเสียงประตูห้องแม่นายใจเดียว “ถ้าไม่กลับมานอนที่ห้องล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เสียงประตูห้องของแม่นายใจเดียวก็ดังขึ้น ปรายฝนรีบลุกขึ้นนั่งทันทีและมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูกั้นห้องระหว่างตัวเองกับแม่นายใจเดียวดังขึ้น หัวใจกระโดดโลดเต้นแต่ทำเป็นนิ่งนั่งหน้าง้ำคิดว่าแม่นายใจเดียวจะเข้ามาดู หากแต่กลับได้ยินเสียงเปิดเข้าไปในห้องน้ำทำเอาคนที่หัวใจลิงโลดอยู่เมื่อครู่ทำหน้าจ๋อยล้มตัวลงนอนหันหลังให้ “เด็กขี้เซา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นและจูบเบาๆ
“เสียวสันหลังวาบนึกว่าจะไล่ปรายกลับไปด้วย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ มองดูมือที่แม่นายใจเดียวยังจับอยู่ “เสียตัวไปแล้ว ใครจะยอมเสียใจอีกล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ตายแล้วเป็นสาวเป็นนางพูดเรื่องเสียตงเสียตัว อายชาวบ้านเขานะคะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ “คุณรู้สึกเหมือนปรายพยายามสู้เพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน คุณควรทำอย่างนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” แม่นายใจเดียวบอกปรายฝนที่หันไปดูรอบๆ ไม่เห็นใครจึงจูบเล็กๆ ไปที่ริมฝีปากเรียวสวยของเจ้าของไร่ “ปรายเป็นเด็กมีปัญหา ไปที่ไหนก็สร้างปัญหาให้เขาไปหมด” “คนมายืนเอาใจช่วยกันทั้งไร่ อย่าลืมคิดถึงความน่ารักของตัวเองด้วยล่ะ อีกอย่างเหมือนจะได้พี่ชายที่แสนดีด้วยนะ เราน่ะ” แม่นายใจเดียวยิ้ม เมื่อนึกถึงไตรที่พร้อมจะปกป้องทั้งตัวเธอและปรายฝน “พี่ไตรเป็นพี่ชายปรายตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วล่ะค่ะ มีแต่คนคิดมากเท่านั้นแหละที่แอบคิดเป็นอื่น” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก เมื่อแม่นายใจเดียวทำท่าเหมือนจะเขกที่ศีรษะ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ถ้าคุณฤทธิ์ไปบอกพ่อเรื่องของเรา” “ปรายมันเด็กดื้อ พ่อคงปล่
แม่นายใจเดียวถอนใจ แต่ความรู้สึกจากสัมผัสอ่อนโยนทำให้ยอม คล้อยตามโดยปล่อยให้ปรายฝนคลอเคลียชิดใกล้ แม้ก่อนหน้าจะห้ามใจเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้หัวใจที่เคยว่างเปล่าได้มีสาวน้อยเข้าไปยึดครองพื้นที่ในหัวใจเอาไว้ ถึงจะรวดเร็วแต่ความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นมีมากมายเสียจนลืม ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวไปเลยทีเดียว “ปรายถอดเสื้อให้นะคะ” ปรายฝนกระซิบบอกแล้วจูบเบาๆ ที่แก้ม แม่นายใจเดียวพยักหน้าเล็กน้อย เรือนร่างเปลือยเปล่าเคลิ้มไหวไปกับสัมผัสของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างไม่วางตาคล้ายอยากบันทึกทุกสัดส่วนเอาไว้ จุมพิตที่กำลังทาบทับที่หน้าท้องทำเอาแม่นายใจเดียวถึงกับหยุดหายใจ ปรายฝนคลอเคลียไม่ยอมออกห่าง โดยค่อยๆ จุมพิตไปตามเรือนร่าง จนแม่นายใจเดียวรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ ซึ่งมีเรือนร่างแสนน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนทำให้แม่นายใจเดียวพลิกตัวให้ปรายฝนนอนลง โดยเอาตัวเองทาบทับเอาไว้ไม่ ให้ถอยห่างไปไหน สายตาของทั้งคู่ผสานกันปรายฝนค่อยๆ บรรจงเขี่ยเส้นผมแม่นายใจเดียวที่ลงมาปรกหน้าและนำไปทัดไว้ที่หู จุมพิตร้อนแรงเริ่มเบียดชิดเข้าหาโดยปรายฝนตอบรับอย่างร้อนแรงปนเปกับอ่อนหวาน ซึ่งน
ไตรถอนใจ เพราะเมื่อกลับมาที่สำนักงานถึงได้ทราบเรื่องแขกที่มาหาปรายฝน ปลากับกลอยรายงานอย่างละเอียด แต่ไตรแปลกใจกับการไปพบปรายฝนรอแม่นายใจเดียวอยู่ที่ทางเข้าออกทั้งสองไร่ทั้งตอนที่ได้พบกันและดูเหมือนช่วงเย็นด้วย “คงไม่ต้องหาผู้ช่วยใหม่ ถ้าปรายกลับไปแม่นายคงไม่รับผู้ช่วยแล้ว” ไตรพูดขึ้น “น่าเสียดายนะคะ ช่วยงานได้ตั้งเยอะ ทั้งงานแม่นาย งานเอกสาร เข้ากับคนงานได้ดีด้วย ยิ่งคนแก่ยิ่งพูดชมกันทุกคนเลยว่า คุณผู้ช่วยจิตใจดี” ปลาบอกกับไตร “ดูค่ะ แม่นายเดินมาไม่ซ้อนจักรยานเหมือนทุกวัน” ไตรหันไปมอง ดูเห็นแม่นายเดินอยู่ลิบๆ แต่ปรายฝนกำลังนำจักรยานไปจอดข้างสำนักงาน “ผู้ชายคนนั้นท่าทางเป็นอย่างไร” ไตรถาม “หล่อมากค่ะ เป็นดารานักร้อง คนงานตื่นเต้นมาขอถ่ายรูปกันเต็มเลยค่ะ” ปลารายงานให้ไตรทราบ “ถ้าปรายกลับไป แม่นายจะเป็นอย่างไร” ไตรคิดแต่ไม่ได้พูดออกมารีบออกไปจูงจักรยานเพื่อไปรับแม่นาย “พี่ไตรอย่าไปเลย รออยู่ที่นี่ดีกว่า” กลอยรีบมาทักท้วง “จริงของกลอย แม่นายอาจจะเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ ไปกินข้าวกันดีก