แพรพรรณโวยวายใส่ลูกสาวตั้งแต่ขึ้นรถ จนขับมาถึงที่ไร่ตัวเองซึ่งทำเอาจันจิรานั่งหน้างอมาตลอดทาง
“ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ลูกสาวฉัน” แพรพรรณพูดบ่น
“บอกให้แยกปรายออกไป จันก็ทำให้แล้ว แม่จะเอายังไงอีก”
“ไม่เอายังไง จันต้องไปกับแม่ที่ไร่นั้นทุกวัน” แพรพรรณพูดเสียงเข้ม
“น้าเดียวรำคาญตายพอดี แม่คิดดีแล้วหรือคะ” จันจิราถาม
“ฉันไม่สนใจ อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันก็ควรได้เหมือนพ่อเธอนั่นแหละ” แพรพรรณพูดขึ้น
“เอาแต่ใจตัวเองหนักมาก จันเป็นบ้างไม่ต้องมาถามเลยว่าเหมือนใครกัน” จันจิราบ่นพึมพำมองดูมารดาที่ลงจากรถแล้วรีบเข้าบ้านไปก่อน
จันจิราตะโกนไล่หลังมารดาไป โดยบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในเมืองไม่ทันได้ทัดทานหรือหันมาพูดอะไร จันจิราก็ขับรถออกจากไร่ไปแล้ว
“ยายจันนะ ยายจัน พึงพาอะไรไม่ได้เลย งานการก็ไม่คิดจะช่วยดูแลเอาแต่เที่ยวกับขอเงินเท่านั้น” แพรพรรณมองดูเสื้อผ้าและเนื้อตัวทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เพราะเสียเวลาและโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับใจเดียว
“ต้องเหนื่อยขนาดไหนคะ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้” ปรายฝนถามหลัง จากนำชาอุ่นๆ มาให้แม่นายใจเดียวที่เพิ่งออกจากบ้านพักมานั่งอยู่ที่ระเบียงด้านหน้า
“ปางตายเลยล่ะ จากที่ดินของพ่อแม่ผืนเล็กๆ พอมีเงินทองบ้างก็ซื้อที่ขยายไปเรื่อยๆ ฉันโชคดีด้วยที่คนทำงานให้เอาใจใส่หน้าที่ของตัวเอง”
“ลูกหลานก็ไม่มี แล้วจะยังไงต่อคะ” ปรายฝนถาม
“คงแบ่งให้คนงานทำกันต่อไป” แม่นายใจเดียวพูดยิ้มๆ
“ใจดีจริงน้อ” ปรายฝนพูดขึ้น
“ถ้าเธอมาอยู่ ฉันก็จะจัดสรรให้เธอ” แม่นายใจเดียวยิ้มน้อยๆ
“มีใครรู้หรือเปล่าคะ เรื่องที่แม่นายจะยกที่ให้” ปรายฝนถาม
“ยัง แต่คิดเอาไว้”
“ปรายว่าท่าจะวุ่นวาย” ปรายฝนบอก
“ไม่หรอกจัดการให้ดี มีส่วนกลางดูแล ใครทำกินตรงไหนก็ได้รายได้ ณ ตรงนั้นไป ไตรคงช่วยจัดการให้ได้”
“ปรายมีโทรศัพท์จากทางบ้าน มารับเร็วเข้า” เสียงเรียกจากปลาทำให้ปรายฝนมีรอยยิ้มจางลงทันที แม่นายใจเดียวสังเกตเห็น
“ไปเร็วๆ โทรศัพท์มือถือใช้ไม่ได้คงเป็นห่วงแย่แล้วล่ะ”
“เดี๋ยวปรายมานะคะ” ปลายฝนน้ำเสียงดูแปลกไป
“มีอะไรกับที่บ้านหรืออย่างไรกันนะ” แม่นายใจเดียวคิด
“สวัสดีค่ะ พ่อ” ปรายฝนเอ่ยทักทาย เพราะรู้ดีว่าปลายสายเป็นใคร ปลากับกลอยเดินออกไปจากสำนักงานทันที
“ยังไงกัน โทรศัพท์มือถือติดต่อไม่ได้” บิดาถาม
“ไม่มีสัญญาณค่ะ”
“อยู่ยังไงโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ” เสียงเข้มๆ ทำให้ปรายฝนถอนใจ
“ปรายสบายดีค่ะ”
“จะกลับเมื่อไหร่” บิดาถามลูกสาว
“ปรายมาทำงานนะ พ่อ ไม่ได้มาเที่ยว”
“งานที่กรุงเทพฯ มีเยอะแยะ อยากทำอะไรที่ไหนพ่อจัดการให้ได้ทำไมต้องประชดไปอยู่เสียทุรกันดารขนาดนั้น” บิดาพูดคล้ายต่อว่า
“ไม่เห็นทุรกันดารตรงไหน พ่อไม่ต้องห่วงหรอก ปรายอยู่ได้สบายๆ ไม่เดือดร้อนต้องไปขอเงินพ่อเหมือนเมื่อก่อน อยู่ที่นี่ไม่ได้ใช้เงินสักบาทเลยตั้งแต่ก้าวเข้ามาในไร่” ปรายฝนยิ้มและรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ
“อย่ามาพูดดีเลย เพิ่งไปได้ไม่เท่าไร เดี๋ยวอีกไม่นานก็เบื่อ”
“ปรายไม่อยู่ก็ดีแล้วไง จะได้ไม่ไปอยู่เกะกะที่บ้าน แค่นี้ก่อนนะคะ ปรายต้องไปทำงานแล้ว” ปรายฝนพูดตัดบท
“จะคอยดูว่าจะอยู่ได้นานสักเท่าไร” บิดาพูดคล้ายดูถูกลูกสาว
“แล้วถ้าอยู่เลยล่ะ” ปรายฝนพูดต่อปากต่อคำ
“เจ้าปราย เราน่ะจะไปได้สักกี่น้ำ พ่อว่าเจ้าของไร่จะไล่ออกพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ไม่รู้” บิดาถอนใจก่อนจะวางสาย เพราะความดื้อรั้นของลูกสาวที่มีมากจนเบื่อที่จะดุจะว่าแล้ว
“ไล่ก็ไม่ไป จะตื้อขออยู่ที่นี่แหละ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้ตัว
แม่นายใจเดียวมองเห็นสาวน้อยหน้างอเดินออกมาจากสำนักงานจึงขมวดคิ้วจ้องมองและคิดย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่ปรายฝนตกปากรับคำมา
ทำงานอยู่ไกลบ้าน
“ยังไง มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถาม
“ไม่มีค่ะ พ่อโทรฯ มาถามทุกข์สุข เพราะโทรฯ เข้ามือถือไม่ได้”
“ดูจากหน้าตาคงทุกข์มากกว่าสุข” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ
“ใครจะสุขเหมือนแม่นายล่ะ คนไร่โน้นมาเยี่ยมแทบทุกวัน”
“ถ้าพ่อเป็นห่วง ก็ถ่ายรูปที่ห้องกับสถานที่รอบๆ ไร่เอาไว้ เดี๋ยวเข้าเมืองค่อยส่งไปให้ดูจะได้หายห่วง” แม่นายใจเดียวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ชอบส่งรายงาน แม่นายจะให้ปรายปั่นพาไปไหนไหมคะ”
“ฉันไม่ได้รับความไว้วางใจพอสินะ ถึงไม่อยากเล่าอะไร” น้ำเสียงที่ได้ยินฟังดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร
“เปล่าสักหน่อย ก็ไม่มีอะไร แค่เด็กดื้อที่พ่อชอบดุ โทรฯ มาซักโน่นซักนี่ก็เท่านั้นเอง แต่จะว่าไปก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ห่างกันตั้งยี่สิบห้าปี จะให้สนิทนักก็คงไม่ได้ ไปกินข้าวดีกว่า”
“แก่แล้วยังจะขี้งอนอีกน้อ” ปรายฝนบ่นพึมพำ แต่แอบยิ้มมองตามแม่นายใจเดียวที่กำลังเดินไปทางโรงอาหาร
ปรายฝนแทบจะลืมวันลืมคืน เพราะไม่ได้สนใจเลยว่าวันนี้วันอะไร วันที่เท่าไรจะรู้เมื่อถึงวันเสาร์อาทิตย์ ถึงแม้จะเป็นวันหยุดแต่ยังคงมีคนออก ไปทำงานของตัวเองที่คั่งค้างเอาไว้ ส่วนแม่นายใจเดียวยังคงตื่นก่อนคนอื่นเสมอและไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกับคนอื่นๆ เหมือนเช่นทุกวัน
“ฝากพี่ไตรโอนเงินให้พ่อแม่แล้วสบายใจดีแท้” ปลาพูดขึ้น กลอยยิ้ม
เพราะตัวเองจัดการส่งเงินให้ทางบ้านเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
“ไม่อยากเข้าเมืองไปซื้อข้าวของกันบ้างเหรอ” ปรายฝนถาม
“แรกๆ มีบ้าง หลังๆ ลืมเรื่องเงิน เรื่องข้าวของไปเลย แต่ก็มีบ้างที่ฝากพี่ไตรซื้อของกินมานานๆ ที” กลอยบอก
“ดีจัง อยู่สักสองสามปีคงรวย” ปรายฝนหัวเราะ แต่ยิ้มจางลงเมื่อเห็นแม่นายใจเดียวมองมา
“ถ้าไม่มีภาระอะไร ก็ติดรถไปกับพี่ไตรสิ เผื่ออยากได้หรืออยากกินอะไร เพราะปรายเพิ่งมาจากกรุงเทพได้เดือนเดียวเอง” ปลาพูดยิ้มๆ
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จต้องขับพาแม่นายเข้าเมือง อยากได้อะไรกันไหม เดี๋ยวปรายซื้อมาฝาก” ปรายฝนถามและหันไปมองคนอื่นๆ ที่เพียงแค่ยิ้มๆ ให้เท่านั้น
“ที่ร้านขายของในไร่มีของใช้จำเป็นทุกอย่างอยู่แล้ว” กลอยบอก
“งั้นถ้าเจออะไรอร่อยๆ จะซื้อมาฝากก็แล้วกัน”
“พาแม่นายไปทำธุระไม่ใช่หรือ”
“นั่นสิ ไม่รู้จะได้เถลไถลหรือเปล่าน่ะสิ” ปรายฝนทำเป็นพูดเสียงเล็กเสียงน้อย โดยไม่รู้เลยว่า แม่นายใจเดียวมายืนอยู่ข้างหลัง ปลาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มจนถึงกับหัวเราะออกมาเพราะกลั้นเอาไว้ไม่ไหว
“นินทา มันน่านักนะ” เสียงแม่นายใจเดียวที่ดังมาจากด้านหลังทำเอาปรายฝนยิ้มเจื่อนๆ รีบลุกขึ้นทันที ปลากับกลอยหัวเราะ รวมถึงคนอื่นๆ ด้วยที่เริ่มคุ้นเคยกับปรายฝนกันบ้างแล้ว
“ไม้เรียวไหมครับ แม่นาย เดี๋ยวผมไปตัดมาให้” เสียงของชายสูงวัยดังแว่วๆ มา แม่นายใจเดียวส่ายหน้า เมื่อเห็นปรายฝนหันมายิ้มไม่ได้
แสดงท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ทำอย่างไรคะ ทุกคนถึงได้รู้จักพอเพียง ไม่อยากได้อะไรเลยนอก จากสิ่งที่มีอยู่และไม่ต้องใช้เงินด้วย” ปรายฝนถาม
“ไม่มีสิ่งล่อตาล่อใจ ข้าวของมีครบ ส่วนใหญ่อยากให้คนที่อยู่ทางบ้านมีกินมีใช้ ปลากับกลอยส่งเงินให้พ่อกับแม่ปลูกบ้านแล้ว แรกๆ บอกว่าถ้าได้บ้านก็จะกลับไปทำสวนทำไร่เองที่บ้าน” แม่นายใจเดียวบอก
“ถ้าอยู่ไปเรื่อยๆ คงมีเงินเก็บเพียบเลย” ปรายฝนพูดพึมพำ
“แล้วจะเอาไปทำอะไร หรือจะส่งให้ทางบ้าน เดี๋ยวเข้าเมืองแวะไปจัดการได้ เพราะฉันจะไปทำธุระที่ธนาคารเหมือนกัน” แม่นายใจเดียวหันมาจ้องมองปรายฝนที่ยิ้มจางๆ อยู่
“พ่อมีเงินเยอะแล้วล่ะค่ะ เงินขี้ประติ๋วอย่างนี้คงไม่อยากได้หรอก” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายงอนบิดา
“แต่มันเป็นความภูมิใจของเธอไม่ใช่หรือ การให้เงินทองพ่อแม่ถือเป็นสิ่งดีๆ ในชีวิตเลยนะ ถึงท่านจะมีเยอะแล้วก็ตาม แต่ลูกก็มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องดูแลท่าน ถึงแม้คิดว่าขี้ประติ๋วก็ตาม โอนไปไม่เห็นต้องไปป่าวประกาศบอกใครเขาให้เท่าที่เราอยากให้” แม่นายใจเดียวพูดไปตามประสาผู้ใหญ่ที่สอนเด็กให้รู้จักการตอบแทนบุญคุณบิดามารดา
“โอนไปคงเห็นหรอกนะคะ ว่ามีเงินน้อยนิดของลูกเข้าไปน่ะ”
“ขยันทำเรื่องดีๆ เดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้น อย่างน้อยเธอก็สุขใจกับการให้โดยเฉพาะกับพ่อแม่” แม่นายใจเดียวบอกแล้วเดินนำหน้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ
“งั้นก็โอนให้พ่อครึ่งหนึ่ง เก็บไว้เป็นเงินเก็บครึ่งหนึ่ง ทำดีไม่ต้องรอ
หรือต้องรู้ว่ามีใครจะรู้ แม่นายรู้ก็พอแล้วมั้ง” ปรายฝนยิ้มๆ และรีบขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งคนขับก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถขับออกไป
สิ่งแรกที่แม่นายใจเดียวทำก็คือ การมาทำบุญถวายสังฆทานที่วัดซึ่งได้ยินจากการสนทนากับพระคล้ายดังว่า แม่นายใจเดียวมาทำบุญให้กับบิดามารดาและญาติ
“หายไปนานเลย โยมแม่นาย” ปรายฝนยิ้มๆ เมื่อได้ยิน
“ให้ไตรมาแทนค่ะ ขับรถเองไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะพอมืดค่ำค่อน ข้างลำบากค่ะท่าน” แม่นายใจเดียวยังคงพูดคุยอยู่กับพระ
“หลาน หรือคนทำงานที่ไร่ล่ะนั่น” พระท่านถามถึงปรายฝน
“หนูเป็นผู้ช่วยแม่นายค่ะ” ปรายฝนบอก
“เออ เก่งนะยังดูเด็กอยู่เลย มาๆ ขยับเข้ามาใกล้” พระท่านหยิบสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้แม่นายใจเดียวกับปรายฝนและให้ศีลให้พร
“พาเข้าวัดบ่อยๆ ท่าจะดี เพราะเรียบร้อยกว่าปกติ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น ปรายฝนยิ้มๆ
“งานที่ไร่เยอะออก แม่นายคงมีเวลามาวัดบ่อยๆ หรอกนะคะ”
“ก็จริงของเธอ เดี๋ยวระหว่างขับรถไปธนาคารลองดู ถ้าอยากทานอะไรก็บอก ฉันให้เธอเลือก”
“ให้รางวัลเด็กเรียบร้อย หรือคะ” ปรายฝนถาม
“ถ้าอยากให้เป็นแบบนั้นก็ได้”
“ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ ปรายทานอะไรก็ได้ กินผักเยอะจนเบื่ออย่างอื่นแล้วเนี่ย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ แกล้งทำหน้าเศร้าคนที่หันมาเห็นเข้าถึงกับหัวเราะ ปรายฝนยิ้มน้อยๆ ชำเลืองมอง เพราะก่อนหน้าได้ยินมาว่า แม่นายใจเดียวไม่ค่อยมีรอยยิ้มกว้างๆ หรือเสียงหัวเราะสักเท่าไรนักแต่พักหลังๆ ได้เห็นแทบทุกวันมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่โอกาส
“ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ฉันจะให้” แม่นายใจเดียวหันมายิ้มให้
“แค่นี้แหละ” ปรายฝนหอมแก้มแม่นายใจเดียวฟอดเล็กๆ หลังจากจอดรถอยู่ด้านข้างธนาคาร คนถูกหอมแก้มนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งทำเอาปรายฝนใจคอไม่ดี
“โกรธปราย หรือคะ” ปรายฝนถามเสียงอ่อยๆ เพราะแม่นายใจเดียวเงียบไปครู่หนึ่งนั่งนิ่งมองไปด้านหน้าตัวรถไม่ได้หันมามองปรายฝน
“เปล่า” แม่นายใจเดียวพูดเพียงแค่นั้นและทำท่าจะเปิดประตูรถ
“ปรายจะไม่ทำอีกค่ะ” ปรายฝนหน้าจ๋อยกว่าเดิม เมื่อคนที่ตัวเองจับมือเอาไว้ไม่ยอมหันมามอง
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
“แต่แม่นายไม่ยอมมองหน้าปรายเลยนะ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ
“ไปทำธุระให้เสร็จ ฝนตั้งเค้ามืดมาแล้วนั่น ฉันไม่ได้เป็นอะไรแปลกใจนิดหน่อยที่เธออยากได้รางวัลแบบนั้น” แม่นายใจเดียวยิ้มน้อยๆ หันมามองสบตากับปรายฝนที่ยิ้มกว้างมากขึ้น
“ถ้าวันไหนแม่นายอยากได้รางวัลบ้าง ปรายให้หอมแก้มสองข้างเลยค่ะ แต่แน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร” ปรายฝนถามย้ำ
“ถ้าถามอีกทีจะให้อดข้าวมื้อกลางวัน” แม่นายใจเดียวทำเสียงเข้ม
“โห แค่นี้ต้องดุด้วย นั่งรอก่อนเดี๋ยวไปเปิดประตูให้ค่ะ” ปรายฝนรีบลงจากรถและวิ่งอ้อมไปเปิดประตูให้แม่นายใจเดียวทันที
ฝนเริ่มตกตั้งแต่จัดการธุรกรรมของแม่นายใจเดียวที่ธนาคาร โดยปรายฝนจัดการโอนเงินเดือนครึ่งหนึ่งให้กับบิดา จากที่เคยเป็นคนขอเงินและใช้เงินเก่งมาโดยตลอด แต่ด้วยทิฐิจึงตัดสินใจมาทำงานอยู่ไกลบ้าน ซึ่งตอนที่มาไม่ได้คิดอะไรมากนัก หากว่าช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนทำให้รู้เลยว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่มาทำงานที่ไร่ใจเดียว
“เห็นไหม การทำดีทำให้เธอยืนยิ้มอยู่ได้ตั้งนาน” เสียงที่ได้ยินทำให้ปรายฝนยิ้มอายๆ หันไปมองสบตากับคนที่มาหยุดยืนรออยู่ด้านหลัง
“ไม่ใช่เรื่องนั้นเรื่องเดียวสักหน่อย”
“เรื่องอะไรก็ได้ เธอมีความสุขยิ้มได้ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ”
“ปรายดีใจกับการตัดสินใจมาทำงานที่ไร่ของแม่นาย”
“ฉันก็ดีใจที่มีผู้ช่วยจอมกวนอย่างเธอ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฝนตกหนักขนาดนี้ไม่รู้จะหยุดตกก่อนเรากลับหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวบอกแล้วแหงนมองดูท้องฟ้าซึ่งมืดครึ้มและมีฝนตกอย่างหนักอยู่นานพอสมควร
พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น “คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย “ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน “ขอบคุณค่ะ” “ครับผม” กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาว
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมยกเว้นระยะห่างที่แม่นายใจเดียวมอบให้ ซึ่งปรายฝนสัมผัสได้ตั้งแต่กลับมาจากในเมือง เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมีเพียงช่วงเวลาทำงาน เพราะหลังจากหมดเวลางานการพูดคุย การพูดเล่น การได้ใกล้ชิดกันต่างไปจากเดิม แต่ความรู้สึกของปรายฝนเหมือนดอกไม้ในใจเหี่ยวเฉาจากที่เคยตื่นเช้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยากรีบออกมาทำงาน กลับกลายเป็นว่ารู้สึกเกียจคร้านไม่อยากตื่นนอนเอาเสียเลย “เบื่ออาหารหรือ” ไตรถาม เพราะหลายวันแล้วที่เห็นปรายฝนทานอาหารน้อยลง ปลากับกลอยเองสังเกตเห็นเช่นกัน “นั่นสิทำงานทั้งวัน ถ้าไม่กินเยอะๆ จะไม่ไหวนะ” ปลาพูดเตือน “เนือยๆ เดี๋ยวก็หาย แม่นายไม่มาทานอาหารเช้าหรอกหรือ ไม่ค่อยเห็นมาที่โรงอาหาร” ปรายฝนพูดขึ้นและมองไปรอบๆ บริเวณโรงอาหารที่มีเสียงการสนทนาและพูดคุยกันเหมือนทุกวัน “แม่นายแพรพรรณมาอยู่ที่เรือนรับรอง” กลอยบอก ปรายฝนยิ้มๆ ไม่กล้าสบตากับทุกคน “เมื่อคืนพี่ตื่นขึ้นมาเลยออกมายืนที่ระเบียงบ้านพักเห็นแม่นายออกมาเดินดูดาวเหมือนคิดอะไรอยู่ น่าแปลกเพราะไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่” สิ่งที่ไตรบอกทำเ
ปรายฝนแปลกใจ เมื่อกลอยแจ้งว่ามีโทรศัพท์มาจากพี่ชายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นลูกคนเดียวและไม่มีใครรู้เลยว่ามาทำงานอยู่ที่นี่ นอกจากบิดาของเท่านั้น “สวัสดีค่ะ ปรายฝนค่ะ” ปรายฝนพูดทักทายขึ้นก่อน “พี่ฤทธิ์เองค่ะ ปรายใจร้ายจังนะคะ” เสียงที่ได้ยินทำเอาปรายฝนมีรอยยิ้มเจื่อนๆ หันมองดูไปรอบๆ มีเพียงกลอยที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ “ไปเอาเบอร์มาจากไหนคะ” ปรายฝนพูดน้ำเสียงแปร่งๆ “คุณพ่อให้มาค่ะ หนีไปอยู่เสียไกลคิดว่าพี่จะตามปรายไม่เจอหรืออย่างไรกัน” ดวงฤทธิ์ถาม “ปรายไม่ได้เป็นอะไรด้วย พี่ฤทธิ์จะมาตามทำไมกัน แค่นี้ก่อนนะคะ ปรายต้องไปทำงานแล้วล่ะ” พูดจบปรายฝนรีบวางสายทันที “ไว้ถ่ายละครเสร็จ จะตามไปง้อนะจ๊ะ คนสวย” ดวงฤทธิ์ยิ้มๆ ถึงแม้ปลายทางจะวางสายไปแล้วก็ตาม กลอยมองเห็นปรายฝนทำหน้ามุ่ยเลยยิ้มให้แต่แปลกใจทำไมเวลาทางบ้านโทรศัพท์มาทีไร ปรายฝนดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนักหลังจากพูดคุยกับคนในครอบครัว “หนีออกจากบ้านมาหรือไง ปราย” กลอยถาม “ประมาณนั้นแหละ” ปรายฝนบอกแล้วยิ้มจางๆ ให้ “คงแค่อยากรู้ทุกข์สุข อย
แพรพรรณรีบออกมาที่หน้าบ้านทันที เมื่อเห็นรถยนต์คันที่ลูกสาวขับออกไปกำลังเข้ามาจอด จันจิราดูร่าเริงสดใสไม่เห็นเหมือนตอนไปที่บ่นโน่นนี่อิดออดไม่อยากไปที่ไร่ใจเดียว “กลับเร็วไปนะ” แพรพรรณพูดขึ้น “แผนแม่ไม่สำเร็จ” จันจิราบอก “แค่ให้ไปแยกยายผู้ช่วยให้อยู่ห่างๆ น้าเดียวแค่นี้จัดการไม่ได้” “น้าเดียวไม่ยอมแยก ไม่ไล่จันออกมาจากไร่ก็บุญแล้ว” จันจิราพูดต่อปากต่อคำกับมารดา “ใช้อะไรไม่ได้เรื่องเลย อย่าได้คิดมาขอเงินฉันเชียวนะ” แพรพรรณพูดต่อว่าลูกสาว “ถ้าแม่ไม่ให้เงิน จันจะไปสมัครเป็นผู้ช่วยพี่ไตร น้าเดียวรับจันเข้าทำงานแน่นอน ถึงตอนนั้นล่ะก็แม่จะเหลือตัวคนเดียวแล้วนะ ถ้าไม่มีลูกสาวอย่างจันอยู่ด้วยน่ะ” จันจิรายักไหล่ “แทนที่จะเข้าข้างฉัน กลับไปเข้าข้างคนไร่โน้น” “พ่อเสียไปนานแล้วนะคะ แม่ ถ้าน้าเดียวยังรู้สึกลึกซึ้งกับแม่ล่ะก็น้าเดียวคงมาขอแม่ไปอยู่ด้วยแล้ว แม่ไม่รู้หรือแค่อยากเอาชนะกันแน่” “เอ๊า ไอ้ลูกคนนี้ ฉันแม่แกนะ ยายจัน” “ถ้าจันเป็นน้าเดียว จันก็จะไม่ย้อนอดีตไปหรอ
จันจิรามองดูทิวารีที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอนมารดาของตัวเองทำเอาถึงกับถอนใจ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด เพราะถึงแม้จะเป็นเด็กสมัยใหม่ก็ตาม ถ้าหากเลือกได้ขอเป็นใจเดียวดีกว่า “แม่นะแม่ อยากได้น้าเดียว แล้วดูดู๊ทำอะไรลงไป” จันจิราพูดบ่น ทิวารีกำลังเตรียมอาหารมื้อเช้า เมื่อเห็นจันจิราเลยแปลกใจเพราะปกติตื่นสาย แต่เช้านี้ถือว่าเช้ามาก “รับน้ำส้มก่อนไหมคะ คุณจัน” ทิวารีถาม “ดีเหมือนกัน แม่ยังไม่ลงมาหรือ” จันจิราแสร้งถาม “ยังไม่เห็นค่ะ” “ฉันควรสงสารแม่หรือสงสารเธอดีทิวารี” จันจิราคิด เพราะมารดาของตัวเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน แพรพรรณลงมาจากชั้นบนเห็นลูกสาวเข้าถึงกับยิ้มๆ เพราะรายนั้นตื่นสายมาก หากให้ตื่นเช้าต้องไปปลุกจนแทบจะต้องลากลงจากเตียงกันเลยทีเดียว “แม่นายแพรพรรณดูสดชื่นนะคะ เช้านี้ ท่าทางคงจะไปทานอาหารเช้าที่ไร่แม่นายใจเดียวกระมัง” จันจิราพูดแหย่แถมยังพูดเสียงดังให้ได้ยินไปถึงสาวที่อยู่ในห้องครัว “ข้าวบ้านฉันก็มีกิน ไม่เห็นต้องไปบากหน้าขอข้าวบ้านอื่นเลย”
รสสุคนธ์หลังจากจอดรถก็หันไปมองบริเวณโดยรอบ ซึ่งเขียวชอุ่ม ลมพัดเย็นสบายรู้สึกทึ่งในความสามารถของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พยายามสร้างอาณาเขตเสียกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะได้ยินมาว่าค่อยๆ ซื้อที่ซึ่งอยู่ติดกัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์มากมายขนาดนี้ “ยายเดียวเอ๊ย ฉันล่ะทึ่งเธอจริงๆ ไม่ได้มาเสียนาน ไร่กว้างใหญ่มองดูสุดลูกหูลูกตาเลยเธอเอ๊ย” รสสุคนธ์หัวเราะและยังนึกชื่นชมความขยันของเพื่อนรัก “สวัสดีค่ะ คุณรส” ปรายฝนพนมมือไหว้ทักทาย “ดูแลแม่นายดีล่ะสิเรา เดี๋ยวนี้ยิ้มเก่งขึ้นมาก” รสสุคนธ์พูดแหย่ “มาถึงก็แซวเพื่อนเลย” ใจเดียวยิ้มๆ “ยิ้มสวยกว่าครั้งก่อนด้วย อะไรยังไงมีอะไรลับลมคมนัยหรือเปล่า” รสสุคนธ์ถาม เพราะจากครั้งก่อนที่ได้เห็นรอยยิ้มจางๆ ของใจเดียว แต่ครั้งนี้กลับยิ้มสวยและดูสดใส “อะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย” ใจเดียวพูดขึ้น “แววตามันฟ้องจ้ะ แม่นาย ฉันดีใจด้วยเห็นไร่แล้วก็ชื่นใจ พ่อกับแม่คงมีความสุขที่เห็นไร่เล็กๆ ของท่านขยับขยายจนกว้างใหญ่ด้วยฝีมือของ ลูกสาวคนเดียว “ไปหาอะไรดื่มด
รสสุคนธ์เอ่ยชวนแพรพรรณอยู่นอนคุยเล่นด้วยกันสามคน แต่ถูกปฏิเสธ จึงมีเพียงใจเดียวที่นอนอยู่ข้างๆ นอกจากเรื่องทั่วไปที่พูดคุยกัน ก็มีเรื่องของปรายฝนซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ทีเดียว “แพรพาสาวมายั่วเดียว รู้ตัวหรือเปล่าจ๊ะ” รสสุคนธ์พูดขึ้น “รสก็คิดไปเรื่อย” “รสคิดไม่เท่าไร นังหนูปรายคิดล่ะจะมีปัญหา” “นี่ก็ชอบพูดให้ใจไม่ดี” ใจเดียวพูดดุ “รสดีใจมากเลยที่รู้ว่าเดียวรู้สึกดีกับนังหนูปราย รอมานานมากเสียจนคิดว่า เพื่อนต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาเสียแล้ว” “ความรู้สึกมาเร็วจนเดียวเองยังแปลกใจ อยู่ๆ ก็หวงเขาขึ้นมา” “ไม่คิดหรือว่าเด็กเกินไป” รสสุคนธ์ถามด้วยความเป็นห่วง “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่คนรอบตัวเขาน่ะสิ” ใจเดียวพูดขึ้น “ก็จริง แต่รสเชื่อว่า ถ้ารักกันมากพอคงช่วยกันหาทางที่จะใช้ชีวิตด้วยกันจนได้นั่นแหละ เนอะ นอนล่ะชักง่วง” รสสุคนธ์บอก ใจเดียวมานึกถึงบิดาของปรายฝนที่เคยโทรศัพท์มาและท่าทางคงอยากจะให้ลูกสาวกลับไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาที่ทำให้ปรายฝ
วันหยุดไตรเข้าไปดูไร่ของแม่นายแพรพรรณตามที่ได้รับปากไว้กับลูกสาวก็คือ จันจิรา โดยไตรเข้าไปทักทายเจ้าของไร่ก่อน ถึงแม้จันจิราจะบอกกับมารดาเอาไว้แล้วก็ตาม แต่ตามมารยาทคนเป็นเด็กควรต้องไปลามาไหว้เพราะไม่อยากให้มีใครต่อว่าไปถึงแม่นายใจเดียวที่เป็นเจ้านาย “ไตรจะเหนื่อยเปล่านะ แม่ลูกสาวฉัน คุณหนูออกจะตาย” “แม่คะ รักษาหน้าลูกสาวด้วยค่ะ” จันจิราพูดต่อว่ามารดา “ทิไปด้วยใช่ไหม” แพรพรรณถามทิวารี “ค่ะ” “ดีแล้วล่ะ ไปกันสองคนเดี๋ยวไตรจะเสียหายเอา” แพรพรรณยิ้มๆ “แม่นายก็ชอบไปว่าจัน” ทิวารีไม่เรียกคุณจันเหมือนปกติ “ยายจันบังคับเรียกชื่อเฉยๆ ล่ะสิ” “เปล่าสักหน่อย พี่ไตรสอนว่าให้ดูแลคนงานและผู้ร่วมงานเหมือนเป็นญาติ จันเลยให้เรียกชื่อเฉยๆ และจันเองก็เรียก พี่ทิ แม่น่าจะดีใจนาที่จันเข้ากับพี่ทิได้ดี” จันจิรายักคิ้วหลิ่วตาล้อ “เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ วันนี้วันหยุด แม่นายไร่โน้นก็ได้พักสิ” “คนงานพักครับ แม่นายก็คงตรวจไร่ตามปกติ แต่คงออกสายครับไปกันหรือยังครับ ถ้าสายจะร้อนเอานะครับ
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ
ปรายฝนมาอาบน้ำเข้านอนก่อนปล่อยให้ผู้ใหญ่ดื่มและพูดคุยกัน รอยยิ้มจางลงเมื่อนึกถึงรูปภาพผู้หญิงที่หน้าจอโทรศัพท์ของแม่นายใจเดียว ที่ได้เห็นตอนเข้าเมืองไปทำธุระด้วยกัน “ไม่คิดสิ เรื่องเก่านมนานแล้ว” ปรายฝนพูดบ่นกับตัวเอง แต่สายตาวาววับของแม่นายแพรพรรณนั่นทำให้กลับมาคิดมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่นายใจเดียวมากขึ้น หรือเป็นเพราะความใกล้ชิดทำให้ยิ่งคิดมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนกอดกันที่ปลายไร่ตรงทางเชื่อมระหว่างไร่ทั้งสอง ปรายฝนมองดูเพดานห้องคอยฟังเสียงประตูห้องแม่นายใจเดียว “ถ้าไม่กลับมานอนที่ห้องล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เสียงประตูห้องของแม่นายใจเดียวก็ดังขึ้น ปรายฝนรีบลุกขึ้นนั่งทันทีและมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูกั้นห้องระหว่างตัวเองกับแม่นายใจเดียวดังขึ้น หัวใจกระโดดโลดเต้นแต่ทำเป็นนิ่งนั่งหน้าง้ำคิดว่าแม่นายใจเดียวจะเข้ามาดู หากแต่กลับได้ยินเสียงเปิดเข้าไปในห้องน้ำทำเอาคนที่หัวใจลิงโลดอยู่เมื่อครู่ทำหน้าจ๋อยล้มตัวลงนอนหันหลังให้ “เด็กขี้เซา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นและจูบเบาๆ
“เสียวสันหลังวาบนึกว่าจะไล่ปรายกลับไปด้วย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ มองดูมือที่แม่นายใจเดียวยังจับอยู่ “เสียตัวไปแล้ว ใครจะยอมเสียใจอีกล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ตายแล้วเป็นสาวเป็นนางพูดเรื่องเสียตงเสียตัว อายชาวบ้านเขานะคะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ “คุณรู้สึกเหมือนปรายพยายามสู้เพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน คุณควรทำอย่างนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” แม่นายใจเดียวบอกปรายฝนที่หันไปดูรอบๆ ไม่เห็นใครจึงจูบเล็กๆ ไปที่ริมฝีปากเรียวสวยของเจ้าของไร่ “ปรายเป็นเด็กมีปัญหา ไปที่ไหนก็สร้างปัญหาให้เขาไปหมด” “คนมายืนเอาใจช่วยกันทั้งไร่ อย่าลืมคิดถึงความน่ารักของตัวเองด้วยล่ะ อีกอย่างเหมือนจะได้พี่ชายที่แสนดีด้วยนะ เราน่ะ” แม่นายใจเดียวยิ้ม เมื่อนึกถึงไตรที่พร้อมจะปกป้องทั้งตัวเธอและปรายฝน “พี่ไตรเป็นพี่ชายปรายตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วล่ะค่ะ มีแต่คนคิดมากเท่านั้นแหละที่แอบคิดเป็นอื่น” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก เมื่อแม่นายใจเดียวทำท่าเหมือนจะเขกที่ศีรษะ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ถ้าคุณฤทธิ์ไปบอกพ่อเรื่องของเรา” “ปรายมันเด็กดื้อ พ่อคงปล่
แม่นายใจเดียวถอนใจ แต่ความรู้สึกจากสัมผัสอ่อนโยนทำให้ยอม คล้อยตามโดยปล่อยให้ปรายฝนคลอเคลียชิดใกล้ แม้ก่อนหน้าจะห้ามใจเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้หัวใจที่เคยว่างเปล่าได้มีสาวน้อยเข้าไปยึดครองพื้นที่ในหัวใจเอาไว้ ถึงจะรวดเร็วแต่ความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นมีมากมายเสียจนลืม ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวไปเลยทีเดียว “ปรายถอดเสื้อให้นะคะ” ปรายฝนกระซิบบอกแล้วจูบเบาๆ ที่แก้ม แม่นายใจเดียวพยักหน้าเล็กน้อย เรือนร่างเปลือยเปล่าเคลิ้มไหวไปกับสัมผัสของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างไม่วางตาคล้ายอยากบันทึกทุกสัดส่วนเอาไว้ จุมพิตที่กำลังทาบทับที่หน้าท้องทำเอาแม่นายใจเดียวถึงกับหยุดหายใจ ปรายฝนคลอเคลียไม่ยอมออกห่าง โดยค่อยๆ จุมพิตไปตามเรือนร่าง จนแม่นายใจเดียวรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ ซึ่งมีเรือนร่างแสนน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนทำให้แม่นายใจเดียวพลิกตัวให้ปรายฝนนอนลง โดยเอาตัวเองทาบทับเอาไว้ไม่ ให้ถอยห่างไปไหน สายตาของทั้งคู่ผสานกันปรายฝนค่อยๆ บรรจงเขี่ยเส้นผมแม่นายใจเดียวที่ลงมาปรกหน้าและนำไปทัดไว้ที่หู จุมพิตร้อนแรงเริ่มเบียดชิดเข้าหาโดยปรายฝนตอบรับอย่างร้อนแรงปนเปกับอ่อนหวาน ซึ่งน
ไตรถอนใจ เพราะเมื่อกลับมาที่สำนักงานถึงได้ทราบเรื่องแขกที่มาหาปรายฝน ปลากับกลอยรายงานอย่างละเอียด แต่ไตรแปลกใจกับการไปพบปรายฝนรอแม่นายใจเดียวอยู่ที่ทางเข้าออกทั้งสองไร่ทั้งตอนที่ได้พบกันและดูเหมือนช่วงเย็นด้วย “คงไม่ต้องหาผู้ช่วยใหม่ ถ้าปรายกลับไปแม่นายคงไม่รับผู้ช่วยแล้ว” ไตรพูดขึ้น “น่าเสียดายนะคะ ช่วยงานได้ตั้งเยอะ ทั้งงานแม่นาย งานเอกสาร เข้ากับคนงานได้ดีด้วย ยิ่งคนแก่ยิ่งพูดชมกันทุกคนเลยว่า คุณผู้ช่วยจิตใจดี” ปลาบอกกับไตร “ดูค่ะ แม่นายเดินมาไม่ซ้อนจักรยานเหมือนทุกวัน” ไตรหันไปมอง ดูเห็นแม่นายเดินอยู่ลิบๆ แต่ปรายฝนกำลังนำจักรยานไปจอดข้างสำนักงาน “ผู้ชายคนนั้นท่าทางเป็นอย่างไร” ไตรถาม “หล่อมากค่ะ เป็นดารานักร้อง คนงานตื่นเต้นมาขอถ่ายรูปกันเต็มเลยค่ะ” ปลารายงานให้ไตรทราบ “ถ้าปรายกลับไป แม่นายจะเป็นอย่างไร” ไตรคิดแต่ไม่ได้พูดออกมารีบออกไปจูงจักรยานเพื่อไปรับแม่นาย “พี่ไตรอย่าไปเลย รออยู่ที่นี่ดีกว่า” กลอยรีบมาทักท้วง “จริงของกลอย แม่นายอาจจะเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ ไปกินข้าวกันดีก