เสียงตะโกนโหวกเหวกทำให้คนที่กำลังรับประทานอาหารเช้าหันไปมองทางด้านหน้าสำนักงาน เมื่อเห็นว่าเป็นแขกของแม่นายใจเดียว ทุกคนจึงเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ระหว่างรับประทานอาหารเช้า ปรายฝนยิ้มจางๆ มองสบตากับแม่นายใจเดียวที่ยิ้มให้เช่นกัน ปลากับกลอยและไตรถอนใจเพราะนอกจากคนเป็นมารดาที่แวะเวียนมาทุกวัน เช้านี้เพิ่มลูกสาวที่ส่งเสียงจนทุกคนตกใจรีบหันไปมอง ไม่รู้ว่าจะมาสร้างความวุ่นวายใจให้กับเจ้าของไร่หรือไม่
“สวัสดีค่ะ น้าเดียว” จันจิราพนมมือไหว้ทันที เมื่อเห็นเจ้าของไร่ออก มาต้อนรับ
“ทานอาหารเช้ากันมาหรือยังคะ” ใจเดียวถาม
“ยังเลย รู้ว่ายังไงเดียวคงเตรียมไว้ให้” แพรพรรณพูดขึ้น
“เดี๋ยวจัดการให้จ้ะ เชิญที่เรือนรับรองแขกดีกว่า” ใจเดียวบอก
“แพรไม่อยากเป็นแขก”
“แม่คะ แม่กำลังทำให้น้าเดียวอึดอัดนะ” จันจิราพูดขึ้น
“ไม่หรอก แขกไปใครมาน้าก็ต้อนรับหมดนั่นแหละ” ใจเดียวยิ้มๆ
“ปรายล่ะคะ น้าเดียว” จันจิราถาม
“ทานอาหารเช้าอยู่ที่โรงอาหารโน่น” ใจเดียวบอก
“ถ้าอย่างนั้น จันไปทานข้าวที่โรงอาหารนะคะ น้าเดียว” จันจิราพูดจบก็รีบเดินไปทันที
“เด็กๆ อยู่ด้วยกัน เข้ากันง่ายดี เหมือนผู้ใหญ่อย่างเราๆ” แพรพรรณพูดยิ้มๆ แต่ใจเดียวเฉยไม่ได้พูดอะไรและบอกให้ปลากับกลอยช่วยเรื่องจัด เตรียมอาหารเช้าให้กับแพรพรรณ
“อ้อนทั้งแม่ทั้งลูก งานการไม่ต้องทำกันหรือไง” ปลาพูดบ่นกับไตร
“ขึ้นอยู่กับคนถูกอ้อนว่าอยากให้เขาอ้อนหรือเปล่า” ไตรบอก
“หมายความว่าไง พี่ไตร” กลอยถาม
“ไม่รู้เว๊ย แยกย้ายไปทำงานได้แล้ว มีหน้าที่อะไรก็ไปทำ”
“ที่บ้านก็ร๊วยรวย ทำไมไม่กินข้าวกันมาก่อนนะ” ปลาพูดบ่นแต่ไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา เพราะไม่อยากให้ใครมาว่าเอาไว้
ปรายฝนยิ้มๆ ขณะเดินมายังอาคารสำนักงานพร้อมกับจันจิรา ซึ่งรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
“มาสมัครงาน น้าเดียวจะรับไหมนะ แม่ไปเล่าว่า ไร่น้าเดียวสวย”
“ไร่จันก็น่าจะสวยนะ ปรายว่า” ปรายฝนบอกและนึกถึงบ้านหลังใหญ่อันแสนสวยของจันจิรา
“ไม่ค่อยได้ไปดูหรอก คนงานเยอะเหลือเกิน ชอบมองแปลกๆ”
“แปลกยังไง ปรายก็เห็นปกติดี บางคนคุยสนุกอีกต่างหาก”
“คุยกับคนงานสนุกตรงไหนกัน ปรายนี่ก็แปลก” จันจิราพูดว่า
“ปรายเป็นคนแปลกๆ อยู่แล้วล่ะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ มองไปทาง
เรือนรับรองเห็นแม่นายแพรพรรณกับแม่นายใจเดียวอยู่ด้วยกัน
“แต่ปรายแปลกแบบน่ารักดี ปรายพาจันเที่ยวดูที่สวยๆ หน่อยสิ ถ่ายรูปให้ด้วยนะ นะ” จันจิราพูดอ้อน
“ไม่น่าได้นะ จัน เพราะปรายต้องทำงานพาแม่นายไปตรงโน้นตรงนี้เป็นคุณผู้ช่วยต้องดูแลเจ้านาย” ปรายฝนบอก
“จันไปขออนุญาตน้าเดียวให้ก็ได้ เรื่องแค่นี้เอง” จันจิราพูดขึ้น
“อย่าเลย ดูไม่ดีเหมือนปรายขี้เกียจทำงาน”
“ถือว่า เป็นงานสิคะ คุณผู้ช่วย การพาแขกเที่ยวชมไร่ถือเป็นงานอย่างหนึ่งนะคะ” จันจิราหัวเราะคิกคักก่อนจะรีบวิ่งตรงไปหาใจเดียว ซึ่งหันมามองสบตากับปรายฝนที่ทำหน้างออยู่
“เจ้าตัวเขาเต็มใจหรือเปล่าล่ะ” ใจเดียวถามจันจิรา
“เต็มใจมากค่ะ แต่เกรงใจน้าเดียวเลยให้จันมาขออนุญาต”
“ถ้าเขาเต็มใจ น้าก็ไม่ว่าอะไร เดี๋ยวน้าขี่จักรยานไปทำงานเอง”
“ขอบพระคุณค่ะ น้าเดียว” จันจิรายิ้มกว้างทันที เมื่อได้รับอนุญาต แพรพรรณยิ้มๆ กับลูกสาวที่เหมือนช่วยกันคุณผู้ช่วยออกไป
“ให้แพรช่วยทำงานไหม” แพรพรรณถาม
“ที่ไร่โน้นก็มีงานตั้งเยอะ คนช่วยงานเดียวมีถมเถไป”
“แพรปั่นจักรยานพาไปแทนคุณผู้ช่วยก็ได้” แพรพรรณเสนอตัว
“อย่าเลยกว่าจะเสร็จงาน ขาคงระบม”
“เดียวก็ทายาแล้วนวดให้สิ” แพรพรรณอมยิ้ม
“เดียวคงดูแลแพรตลอดไม่ได้หรอก ถ้าจะมาเที่ยวมาเยี่ยมเยียนกันบ่อยขนาดนี้ แพรจะพักที่เรือนหรือเดินเที่ยว หรือจะใช้รถก็บอกกับคนงาน
หรือเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานได้เลย” ใจเดียวยิ้มจางๆ ให้
“ไม่ให้ปั่นให้ ก็ปั่นตามไปด้วยก็ได้ ไปทำงานกันดีกว่า แพรอิ่มแล้วล่ะค่ะ แม่นายใจเดียว” แพรพรรณลุกขึ้นยืนทำท่าโค้งให้เล็กน้อยและยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อช่วยพยุงตัวใจเดียวให้ลุกขึ้น แต่เจ้าตัวเมินเฉยไม่ได้ยื่นมือไปให้ลุกขึ้นเองและเดินตรงไปที่สำนักงาน เพื่อสั่งงานกลอยกับปลาก่อนจะออกไปทำงานของตัวเอง
“เมื่อก่อนก็ทำนิ่งแบบนี้แหละ แต่สุดท้ายเดียวก็ยอมเป็นแฟนแพร” แพรพรรณยิ้มๆ และเริ่มขี่จักรยานตามใจเดียวไป
ปรายฝนพาจันจิราไปยังบริเวณที่เจ้าตัวต้องการ โดยนำภาพที่มีนิตยสารถ่ายเอาไว้มาเปิดให้ดู ซึ่งปรายฝนยังไม่ค่อยมั่นใจบางที่นัก จึงถามไถ่เอาจากคนที่พบเจอขณะทำงานกันอยู่ ปรายฝนยิ้มๆ ขณะมองดูจันจิรากดถ่ายภาพในบริเวณที่ตัวเองต้องการมาเห็น ซึ่งดูเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวทั้งๆ ที่ครอบครัวตัวเองก็ทำไร่เช่นกัน
เสียงหัวเราะที่ได้ยินดังแว่วๆ มาทำให้ปรายฝนหันไปมอง ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเสียงของใคร จันจิราเองก็เช่นกันหันไปตามเสียงที่ได้ยินและได้เห็นว่าเป็นมารดาของตัวเองกับแม่นายเจ้าของไร่แห่งนี้
“แม่เวลาอยู่กับน้าเดียวดูสดใสมากๆ จันดีใจที่น้าเดียวกับแม่กลับ มาสนิทสนมกันอีก” จันจิรายิ้มๆ มองดูสองสาวที่ขี่จักรยานตามกันไป
“ก่อนหน้าไม่สนิทกันหรอกหรือ” ปรายฝนถาม
“แม่ดูเกรงๆ น้าเดียวไม่รู้ทำไมเหมือนกัน” จันจิราบอกและเริ่มหันกลับไปถ่ายภาพอีก ปรายฝนโดนถ่ายรูปโดยไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่มองไปทาง
แม่นายใจเดียวที่หันมามองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่านไป
“อู้งานนะเรา” เสียงของไตรดังขึ้น
“ตกใจหมดเลย พี่ไตร” ปรายฝนยิ้มๆ หันมามองสบตากับไตร
“หน้าที่ปราย คือ ดูแลแม่นาย ไม่ใช่รับรองแขก” ไตรพูดเสียงเข้ม
“แม่นายคงอยากดูแลแขกตัวเองตามลำพังมั้งคะ พี่ไตร” ปรายฝนยิ้มๆ มองสบตากับไตรที่มองไปทางจันจิรา
“ไร่เขาสวยกว่าไร่ของเราเสียอีก เนื้อที่มากกว่าสองสามเท่า เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม แต่กลับมาเที่ยวไร่เราซะงั้น” ไตรถอนใจ
“วัตถุประสงค์ไม่น่าจะใช่ไร่นะ” ปรายฝนพูดขึ้น ไตรหัวเราะ
“อย่าลืมนะ ไอ้น้อง หน้าที่ตัวเองคือ ดูแลแม่นาย” ไตรพูดย้ำก่อนจะไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“ก็เจ้าตัวไม่ได้อยากให้ดูแลนี่นา” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ และหันกลับไปมองดูจันจิราที่ยังคงสนใจถ่ายภาพบรรยากาศโดยรอบ แต่ส่วนใหญ่ถ่ายภาพตัวเองเสียมากกว่า
ใจเดียวรู้สึกอึดอัดกับการมาตรวจดูงาน โดยมีแพรพรรณประกบจนตัวเกือบจะติดกัน คนงานมองดูด้วยสายตาแปลกๆ เพราะรู้ดีว่า ผู้หญิงสวยแต่งตัวดี คือ เจ้าของไร่ที่อยู่ติดกัน
“เห็นเขาเอาควายลงอาบน้ำกัน แม่นายไม่ไปดูหน่อยหรือ” ชายสูงวัยหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของใจเดียว
“นี่เลี้ยงควายด้วยหรือ” แพรพรรณถาม
“มีคนเอามาขายให้ เดียวเลยซื้อเอาไว้” ใจเดียวบอก เมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของแพรพรรณทำให้ใจเดียวยิ้มๆ กับชายสูงวัยที่ยิ้มจนเห็นฟันหลอ
แม่นายของไร่พยักหน้าให้เล็กน้อย
“ไม่ได้ไปดูนาน ไปดูสักหน่อยก็ดี” ใจเดียวพูดยิ้มๆ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็มาถึงบริเวณที่เป็นหนองน้ำ ซึ่งมีควายอยู่ห้าตัวด้วยกัน แม่นายของไร่เดินลุยลงไปในหนองน้ำและวักน้ำไปยังลำตัวของสัตว์มีเขาที่หันมามองดู
“ดูดู๊ไปลูบเนื้อลูบตัวไม่ขยะแขยงหรือไงกัน” แพรพรรณพูดขึ้นด้วยความที่ไม่ทันระวังขยับถอยหลังออกมาเล็กน้อย จึงชนเข้ากับจักรยานของปลากับกลอยที่ผ่านมาทำให้เซถลาตกลงไปในหนองน้ำ สองสาวออกอาการตกใจเล็กน้อย แต่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ เพราะสภาพของแม่นายไร่ข้างๆ ดูไม่ได้เอาเสียเลย จึงรีบไปช่วยดึงตัวขึ้นมาจากหนองน้ำ ส่วนใจเดียวเพียงแค่มองดูแล้วหันกลับมายิ้มให้กับคนงาน
“ไม่ไปดูหน่อยหรือครับ แม่นาย” เด็กหนุ่มที่พาควายมาอาบน้ำถามแม่นายใจเดียวที่ยิ้มน้อยๆ ให้
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ชาวไร่เหมือนพวกเรา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“ใช่หรือครับ” เด็กหนุ่มหัวเราะ แม่นายใจเดียวหันไปมองดูแขกที่ขึ้นจักรยานและกำลังปั่นกลับไปทางอาคารสำนักงาน
“เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน คนเรา” ใจเดียวถอนใจ แต่เมื่อชะเง้อมองไปทางปรายฝนจึงเห็นว่ากำลังพาจันจิรากลับไปเช่นกัน
“รอดไปเราสองคน นึกว่าจะโดนแม่นายเอ็ดเข้าให้” ปลาพูดขึ้นขณะมองตามแพรพรรณ
“แม่นายยิ้มได้ เราก็รอด ตกลงเราสองคนไม่ได้ตั้งใจ ใช่ไหม” กลอยหัวเราะ แต่เมื่อหันไปเห็นแม่นายใจเดียวเข้า จึงหุบยิ้มทันที
“ตั้งใจอะไร หันมาโดนเอง เซลงไปนอนในหนองน้ำเอง” ปลายิ้มๆ
“ไปทำงานกันได้แล้ว มายืนยิ้มกันอยู่ทำไม” เสียงแม่นายใจเดียวพูดคล้ายเอ็ด แต่สองสาวเห็นรอยยิ้มทำให้รู้สึกโล่งใจ
“ไปแล้วค่ะ” ปลากับกลอยพูดขึ้นพร้อมกัน แถมยังหัวเราะคิกคักให้ได้ยินแว่วๆ
ปรายฝนหลังจากทำหน้าที่ส่งแขกทั้งสองของแม่นายใจเดียวขึ้นรถกลับไป ก็รีบกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง โดยมานั่งอยู่ริมหนองน้ำมองดูคนที่ยังคงสนุกสนานกับการอาบน้ำให้กับเจ้าควายทั้งห้าตัว โดยไม่ได้สนใจเลยว่าปรายฝนมานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อใด
“แม่นายแพรพรรณท่าทางจะโกรธนะคะ” ปรายฝนพูดขึ้น
“ตกลงไปเอง โกรธใครได้ล่ะ” แม่นายใจเดียวบอก ขณะนั่งลงข้างๆ ปรายฝนที่นำผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาช่วยเช็ดหน้าให้
“โกรธที่ไม่มีใครดูแลมากกว่า”
“ฉันทำเท่าที่ทำได้และอยากทำ” แม่นายใจเดียวบอก
“ถ้าปรายตกลงไป จะมีคนลงไปช่วยไหมนะ” ปรายฝนถามพร้อมด้วยรอยยิ้มทะเล้น แม่นายใจเดียวยิ้มน้อยๆ และแกล้งเอามือที่เปื้อนโคลนป้ายไปตามเนื้อตามตัวของปรายฝนที่หัวเราะคิกคักวักน้ำในหนองน้ำรดไปตามเนื้อตัวของแม่นายใจเดียวเช่นกัน
“คุณผู้ช่วยทำให้แม่นายของพวกเราดูสวยสดใสขึ้นมากเลยทีเดียว” เด็กหนุ่มอมยิ้มมองดูสองสาวต่างวัยที่เนื้อตัวเปียกเลอะโคลนด้วยกันทั้งคู่
เสียงหัวเราะของแม่นายใจเดียวที่ดังแว่วๆ อยู่ทำเอาคนที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ เหลียวมองไปตามเสียงที่ได้ยิน จึงได้เห็นความสดใสของผู้หญิงที่ดูเรียบนิ่งซึ่งดูเปลี่ยนไปและเล่นเป็นสาวๆ กับคุณผู้ช่วย สองสาวต่างวัยไม่ได้สนใจใครเลย แม่นายใจเดียวยิ้มน้อยๆ ด้วยวัยที่ล่วงเลยผ่านเลขห้ามาทำให้ถึงกับต้องหยุดหอบหายใจครู่หนึ่ง
“ชอบแกล้งอะ แม่นาย ดูสิเลอะเทอะหมดแล้ว” ปรายฝนมองดูตามเนื้อตัวของตัวเอง
“เป็นสาวสำอางหรือยังไงกัน” แม่นายใจเดียวถาม
“เป็นสาวเป็นนางก็ต้องมีบ้างสิคะ แม่นายปากซีดแล้วลมพัดเย็นๆ ด้วยเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ปลายฝนพูดขึ้น แล้วเดินไปที่กระติกน้ำตักน้ำมาลูบๆ ให้ที่ใบหน้าของแม่นายใจเดียวที่จ้องมองไม่วางตา
“ยายจันเป็นอย่างไรบ้าง” แม่นายใจเดียวถาม
“สดใสน่ารักตามวัยค่ะ” ปรายฝนบอก
“วัยเดียวกันคงเข้ากันได้ดี”
“แม่นายก็ลดวัยสิ เดี๋ยวปรายเพิ่มวัยเอง เผื่อจะเข้ากันได้ดี” คนพูดยิ้มๆ เดินอ้อมตัวแม่นายใจเดียวไปดันหลังให้ไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง แม่นายใจเดียวยิ้ม ขณะเอื้อมแขนไปโอบเอวของปรายฝนเอาไว้
“หยอดฉันตลอดเลยนะ เธอ” แม่นายใจเดียวคิด
แพรพรรณโวยวายใส่ลูกสาวตั้งแต่ขึ้นรถ จนขับมาถึงที่ไร่ตัวเองซึ่งทำเอาจันจิรานั่งหน้างอมาตลอดทาง “ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ลูกสาวฉัน” แพรพรรณพูดบ่น “บอกให้แยกปรายออกไป จันก็ทำให้แล้ว แม่จะเอายังไงอีก” “ไม่เอายังไง จันต้องไปกับแม่ที่ไร่นั้นทุกวัน” แพรพรรณพูดเสียงเข้ม “น้าเดียวรำคาญตายพอดี แม่คิดดีแล้วหรือคะ” จันจิราถาม “ฉันไม่สนใจ อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันก็ควรได้เหมือนพ่อเธอนั่นแหละ” แพรพรรณพูดขึ้น “เอาแต่ใจตัวเองหนักมาก จันเป็นบ้างไม่ต้องมาถามเลยว่าเหมือนใครกัน” จันจิราบ่นพึมพำมองดูมารดาที่ลงจากรถแล้วรีบเข้าบ้านไปก่อน จันจิราตะโกนไล่หลังมารดาไป โดยบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในเมืองไม่ทันได้ทัดทานหรือหันมาพูดอะไร จันจิราก็ขับรถออกจากไร่ไปแล้ว “ยายจันนะ ยายจัน พึงพาอะไรไม่ได้เลย งานการก็ไม่คิดจะช่วยดูแลเอาแต่เที่ยวกับขอเงินเท่านั้น” แพรพรรณมองดูเสื้อผ้าและเนื้อตัวทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เพราะเสียเวลาและโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับใจเดียว “ต้องเหนื่อยขนาดไหนคะ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้”
พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น “คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย “ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน “ขอบคุณค่ะ” “ครับผม” กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาว
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมยกเว้นระยะห่างที่แม่นายใจเดียวมอบให้ ซึ่งปรายฝนสัมผัสได้ตั้งแต่กลับมาจากในเมือง เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมีเพียงช่วงเวลาทำงาน เพราะหลังจากหมดเวลางานการพูดคุย การพูดเล่น การได้ใกล้ชิดกันต่างไปจากเดิม แต่ความรู้สึกของปรายฝนเหมือนดอกไม้ในใจเหี่ยวเฉาจากที่เคยตื่นเช้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยากรีบออกมาทำงาน กลับกลายเป็นว่ารู้สึกเกียจคร้านไม่อยากตื่นนอนเอาเสียเลย “เบื่ออาหารหรือ” ไตรถาม เพราะหลายวันแล้วที่เห็นปรายฝนทานอาหารน้อยลง ปลากับกลอยเองสังเกตเห็นเช่นกัน “นั่นสิทำงานทั้งวัน ถ้าไม่กินเยอะๆ จะไม่ไหวนะ” ปลาพูดเตือน “เนือยๆ เดี๋ยวก็หาย แม่นายไม่มาทานอาหารเช้าหรอกหรือ ไม่ค่อยเห็นมาที่โรงอาหาร” ปรายฝนพูดขึ้นและมองไปรอบๆ บริเวณโรงอาหารที่มีเสียงการสนทนาและพูดคุยกันเหมือนทุกวัน “แม่นายแพรพรรณมาอยู่ที่เรือนรับรอง” กลอยบอก ปรายฝนยิ้มๆ ไม่กล้าสบตากับทุกคน “เมื่อคืนพี่ตื่นขึ้นมาเลยออกมายืนที่ระเบียงบ้านพักเห็นแม่นายออกมาเดินดูดาวเหมือนคิดอะไรอยู่ น่าแปลกเพราะไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่” สิ่งที่ไตรบอกทำเ
ปรายฝนแปลกใจ เมื่อกลอยแจ้งว่ามีโทรศัพท์มาจากพี่ชายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นลูกคนเดียวและไม่มีใครรู้เลยว่ามาทำงานอยู่ที่นี่ นอกจากบิดาของเท่านั้น “สวัสดีค่ะ ปรายฝนค่ะ” ปรายฝนพูดทักทายขึ้นก่อน “พี่ฤทธิ์เองค่ะ ปรายใจร้ายจังนะคะ” เสียงที่ได้ยินทำเอาปรายฝนมีรอยยิ้มเจื่อนๆ หันมองดูไปรอบๆ มีเพียงกลอยที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ “ไปเอาเบอร์มาจากไหนคะ” ปรายฝนพูดน้ำเสียงแปร่งๆ “คุณพ่อให้มาค่ะ หนีไปอยู่เสียไกลคิดว่าพี่จะตามปรายไม่เจอหรืออย่างไรกัน” ดวงฤทธิ์ถาม “ปรายไม่ได้เป็นอะไรด้วย พี่ฤทธิ์จะมาตามทำไมกัน แค่นี้ก่อนนะคะ ปรายต้องไปทำงานแล้วล่ะ” พูดจบปรายฝนรีบวางสายทันที “ไว้ถ่ายละครเสร็จ จะตามไปง้อนะจ๊ะ คนสวย” ดวงฤทธิ์ยิ้มๆ ถึงแม้ปลายทางจะวางสายไปแล้วก็ตาม กลอยมองเห็นปรายฝนทำหน้ามุ่ยเลยยิ้มให้แต่แปลกใจทำไมเวลาทางบ้านโทรศัพท์มาทีไร ปรายฝนดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนักหลังจากพูดคุยกับคนในครอบครัว “หนีออกจากบ้านมาหรือไง ปราย” กลอยถาม “ประมาณนั้นแหละ” ปรายฝนบอกแล้วยิ้มจางๆ ให้ “คงแค่อยากรู้ทุกข์สุข อย
แพรพรรณรีบออกมาที่หน้าบ้านทันที เมื่อเห็นรถยนต์คันที่ลูกสาวขับออกไปกำลังเข้ามาจอด จันจิราดูร่าเริงสดใสไม่เห็นเหมือนตอนไปที่บ่นโน่นนี่อิดออดไม่อยากไปที่ไร่ใจเดียว “กลับเร็วไปนะ” แพรพรรณพูดขึ้น “แผนแม่ไม่สำเร็จ” จันจิราบอก “แค่ให้ไปแยกยายผู้ช่วยให้อยู่ห่างๆ น้าเดียวแค่นี้จัดการไม่ได้” “น้าเดียวไม่ยอมแยก ไม่ไล่จันออกมาจากไร่ก็บุญแล้ว” จันจิราพูดต่อปากต่อคำกับมารดา “ใช้อะไรไม่ได้เรื่องเลย อย่าได้คิดมาขอเงินฉันเชียวนะ” แพรพรรณพูดต่อว่าลูกสาว “ถ้าแม่ไม่ให้เงิน จันจะไปสมัครเป็นผู้ช่วยพี่ไตร น้าเดียวรับจันเข้าทำงานแน่นอน ถึงตอนนั้นล่ะก็แม่จะเหลือตัวคนเดียวแล้วนะ ถ้าไม่มีลูกสาวอย่างจันอยู่ด้วยน่ะ” จันจิรายักไหล่ “แทนที่จะเข้าข้างฉัน กลับไปเข้าข้างคนไร่โน้น” “พ่อเสียไปนานแล้วนะคะ แม่ ถ้าน้าเดียวยังรู้สึกลึกซึ้งกับแม่ล่ะก็น้าเดียวคงมาขอแม่ไปอยู่ด้วยแล้ว แม่ไม่รู้หรือแค่อยากเอาชนะกันแน่” “เอ๊า ไอ้ลูกคนนี้ ฉันแม่แกนะ ยายจัน” “ถ้าจันเป็นน้าเดียว จันก็จะไม่ย้อนอดีตไปหรอ
จันจิรามองดูทิวารีที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอนมารดาของตัวเองทำเอาถึงกับถอนใจ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด เพราะถึงแม้จะเป็นเด็กสมัยใหม่ก็ตาม ถ้าหากเลือกได้ขอเป็นใจเดียวดีกว่า “แม่นะแม่ อยากได้น้าเดียว แล้วดูดู๊ทำอะไรลงไป” จันจิราพูดบ่น ทิวารีกำลังเตรียมอาหารมื้อเช้า เมื่อเห็นจันจิราเลยแปลกใจเพราะปกติตื่นสาย แต่เช้านี้ถือว่าเช้ามาก “รับน้ำส้มก่อนไหมคะ คุณจัน” ทิวารีถาม “ดีเหมือนกัน แม่ยังไม่ลงมาหรือ” จันจิราแสร้งถาม “ยังไม่เห็นค่ะ” “ฉันควรสงสารแม่หรือสงสารเธอดีทิวารี” จันจิราคิด เพราะมารดาของตัวเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน แพรพรรณลงมาจากชั้นบนเห็นลูกสาวเข้าถึงกับยิ้มๆ เพราะรายนั้นตื่นสายมาก หากให้ตื่นเช้าต้องไปปลุกจนแทบจะต้องลากลงจากเตียงกันเลยทีเดียว “แม่นายแพรพรรณดูสดชื่นนะคะ เช้านี้ ท่าทางคงจะไปทานอาหารเช้าที่ไร่แม่นายใจเดียวกระมัง” จันจิราพูดแหย่แถมยังพูดเสียงดังให้ได้ยินไปถึงสาวที่อยู่ในห้องครัว “ข้าวบ้านฉันก็มีกิน ไม่เห็นต้องไปบากหน้าขอข้าวบ้านอื่นเลย”
รสสุคนธ์หลังจากจอดรถก็หันไปมองบริเวณโดยรอบ ซึ่งเขียวชอุ่ม ลมพัดเย็นสบายรู้สึกทึ่งในความสามารถของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พยายามสร้างอาณาเขตเสียกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะได้ยินมาว่าค่อยๆ ซื้อที่ซึ่งอยู่ติดกัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์มากมายขนาดนี้ “ยายเดียวเอ๊ย ฉันล่ะทึ่งเธอจริงๆ ไม่ได้มาเสียนาน ไร่กว้างใหญ่มองดูสุดลูกหูลูกตาเลยเธอเอ๊ย” รสสุคนธ์หัวเราะและยังนึกชื่นชมความขยันของเพื่อนรัก “สวัสดีค่ะ คุณรส” ปรายฝนพนมมือไหว้ทักทาย “ดูแลแม่นายดีล่ะสิเรา เดี๋ยวนี้ยิ้มเก่งขึ้นมาก” รสสุคนธ์พูดแหย่ “มาถึงก็แซวเพื่อนเลย” ใจเดียวยิ้มๆ “ยิ้มสวยกว่าครั้งก่อนด้วย อะไรยังไงมีอะไรลับลมคมนัยหรือเปล่า” รสสุคนธ์ถาม เพราะจากครั้งก่อนที่ได้เห็นรอยยิ้มจางๆ ของใจเดียว แต่ครั้งนี้กลับยิ้มสวยและดูสดใส “อะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย” ใจเดียวพูดขึ้น “แววตามันฟ้องจ้ะ แม่นาย ฉันดีใจด้วยเห็นไร่แล้วก็ชื่นใจ พ่อกับแม่คงมีความสุขที่เห็นไร่เล็กๆ ของท่านขยับขยายจนกว้างใหญ่ด้วยฝีมือของ ลูกสาวคนเดียว “ไปหาอะไรดื่มด
รสสุคนธ์เอ่ยชวนแพรพรรณอยู่นอนคุยเล่นด้วยกันสามคน แต่ถูกปฏิเสธ จึงมีเพียงใจเดียวที่นอนอยู่ข้างๆ นอกจากเรื่องทั่วไปที่พูดคุยกัน ก็มีเรื่องของปรายฝนซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ทีเดียว “แพรพาสาวมายั่วเดียว รู้ตัวหรือเปล่าจ๊ะ” รสสุคนธ์พูดขึ้น “รสก็คิดไปเรื่อย” “รสคิดไม่เท่าไร นังหนูปรายคิดล่ะจะมีปัญหา” “นี่ก็ชอบพูดให้ใจไม่ดี” ใจเดียวพูดดุ “รสดีใจมากเลยที่รู้ว่าเดียวรู้สึกดีกับนังหนูปราย รอมานานมากเสียจนคิดว่า เพื่อนต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาเสียแล้ว” “ความรู้สึกมาเร็วจนเดียวเองยังแปลกใจ อยู่ๆ ก็หวงเขาขึ้นมา” “ไม่คิดหรือว่าเด็กเกินไป” รสสุคนธ์ถามด้วยความเป็นห่วง “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่คนรอบตัวเขาน่ะสิ” ใจเดียวพูดขึ้น “ก็จริง แต่รสเชื่อว่า ถ้ารักกันมากพอคงช่วยกันหาทางที่จะใช้ชีวิตด้วยกันจนได้นั่นแหละ เนอะ นอนล่ะชักง่วง” รสสุคนธ์บอก ใจเดียวมานึกถึงบิดาของปรายฝนที่เคยโทรศัพท์มาและท่าทางคงอยากจะให้ลูกสาวกลับไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาที่ทำให้ปรายฝ
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ
ปรายฝนมาอาบน้ำเข้านอนก่อนปล่อยให้ผู้ใหญ่ดื่มและพูดคุยกัน รอยยิ้มจางลงเมื่อนึกถึงรูปภาพผู้หญิงที่หน้าจอโทรศัพท์ของแม่นายใจเดียว ที่ได้เห็นตอนเข้าเมืองไปทำธุระด้วยกัน “ไม่คิดสิ เรื่องเก่านมนานแล้ว” ปรายฝนพูดบ่นกับตัวเอง แต่สายตาวาววับของแม่นายแพรพรรณนั่นทำให้กลับมาคิดมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่นายใจเดียวมากขึ้น หรือเป็นเพราะความใกล้ชิดทำให้ยิ่งคิดมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนกอดกันที่ปลายไร่ตรงทางเชื่อมระหว่างไร่ทั้งสอง ปรายฝนมองดูเพดานห้องคอยฟังเสียงประตูห้องแม่นายใจเดียว “ถ้าไม่กลับมานอนที่ห้องล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เสียงประตูห้องของแม่นายใจเดียวก็ดังขึ้น ปรายฝนรีบลุกขึ้นนั่งทันทีและมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูกั้นห้องระหว่างตัวเองกับแม่นายใจเดียวดังขึ้น หัวใจกระโดดโลดเต้นแต่ทำเป็นนิ่งนั่งหน้าง้ำคิดว่าแม่นายใจเดียวจะเข้ามาดู หากแต่กลับได้ยินเสียงเปิดเข้าไปในห้องน้ำทำเอาคนที่หัวใจลิงโลดอยู่เมื่อครู่ทำหน้าจ๋อยล้มตัวลงนอนหันหลังให้ “เด็กขี้เซา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นและจูบเบาๆ
“เสียวสันหลังวาบนึกว่าจะไล่ปรายกลับไปด้วย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ มองดูมือที่แม่นายใจเดียวยังจับอยู่ “เสียตัวไปแล้ว ใครจะยอมเสียใจอีกล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ตายแล้วเป็นสาวเป็นนางพูดเรื่องเสียตงเสียตัว อายชาวบ้านเขานะคะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ “คุณรู้สึกเหมือนปรายพยายามสู้เพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน คุณควรทำอย่างนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” แม่นายใจเดียวบอกปรายฝนที่หันไปดูรอบๆ ไม่เห็นใครจึงจูบเล็กๆ ไปที่ริมฝีปากเรียวสวยของเจ้าของไร่ “ปรายเป็นเด็กมีปัญหา ไปที่ไหนก็สร้างปัญหาให้เขาไปหมด” “คนมายืนเอาใจช่วยกันทั้งไร่ อย่าลืมคิดถึงความน่ารักของตัวเองด้วยล่ะ อีกอย่างเหมือนจะได้พี่ชายที่แสนดีด้วยนะ เราน่ะ” แม่นายใจเดียวยิ้ม เมื่อนึกถึงไตรที่พร้อมจะปกป้องทั้งตัวเธอและปรายฝน “พี่ไตรเป็นพี่ชายปรายตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วล่ะค่ะ มีแต่คนคิดมากเท่านั้นแหละที่แอบคิดเป็นอื่น” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก เมื่อแม่นายใจเดียวทำท่าเหมือนจะเขกที่ศีรษะ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ถ้าคุณฤทธิ์ไปบอกพ่อเรื่องของเรา” “ปรายมันเด็กดื้อ พ่อคงปล่
แม่นายใจเดียวถอนใจ แต่ความรู้สึกจากสัมผัสอ่อนโยนทำให้ยอม คล้อยตามโดยปล่อยให้ปรายฝนคลอเคลียชิดใกล้ แม้ก่อนหน้าจะห้ามใจเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้หัวใจที่เคยว่างเปล่าได้มีสาวน้อยเข้าไปยึดครองพื้นที่ในหัวใจเอาไว้ ถึงจะรวดเร็วแต่ความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นมีมากมายเสียจนลืม ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวไปเลยทีเดียว “ปรายถอดเสื้อให้นะคะ” ปรายฝนกระซิบบอกแล้วจูบเบาๆ ที่แก้ม แม่นายใจเดียวพยักหน้าเล็กน้อย เรือนร่างเปลือยเปล่าเคลิ้มไหวไปกับสัมผัสของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างไม่วางตาคล้ายอยากบันทึกทุกสัดส่วนเอาไว้ จุมพิตที่กำลังทาบทับที่หน้าท้องทำเอาแม่นายใจเดียวถึงกับหยุดหายใจ ปรายฝนคลอเคลียไม่ยอมออกห่าง โดยค่อยๆ จุมพิตไปตามเรือนร่าง จนแม่นายใจเดียวรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ ซึ่งมีเรือนร่างแสนน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนทำให้แม่นายใจเดียวพลิกตัวให้ปรายฝนนอนลง โดยเอาตัวเองทาบทับเอาไว้ไม่ ให้ถอยห่างไปไหน สายตาของทั้งคู่ผสานกันปรายฝนค่อยๆ บรรจงเขี่ยเส้นผมแม่นายใจเดียวที่ลงมาปรกหน้าและนำไปทัดไว้ที่หู จุมพิตร้อนแรงเริ่มเบียดชิดเข้าหาโดยปรายฝนตอบรับอย่างร้อนแรงปนเปกับอ่อนหวาน ซึ่งน
ไตรถอนใจ เพราะเมื่อกลับมาที่สำนักงานถึงได้ทราบเรื่องแขกที่มาหาปรายฝน ปลากับกลอยรายงานอย่างละเอียด แต่ไตรแปลกใจกับการไปพบปรายฝนรอแม่นายใจเดียวอยู่ที่ทางเข้าออกทั้งสองไร่ทั้งตอนที่ได้พบกันและดูเหมือนช่วงเย็นด้วย “คงไม่ต้องหาผู้ช่วยใหม่ ถ้าปรายกลับไปแม่นายคงไม่รับผู้ช่วยแล้ว” ไตรพูดขึ้น “น่าเสียดายนะคะ ช่วยงานได้ตั้งเยอะ ทั้งงานแม่นาย งานเอกสาร เข้ากับคนงานได้ดีด้วย ยิ่งคนแก่ยิ่งพูดชมกันทุกคนเลยว่า คุณผู้ช่วยจิตใจดี” ปลาบอกกับไตร “ดูค่ะ แม่นายเดินมาไม่ซ้อนจักรยานเหมือนทุกวัน” ไตรหันไปมอง ดูเห็นแม่นายเดินอยู่ลิบๆ แต่ปรายฝนกำลังนำจักรยานไปจอดข้างสำนักงาน “ผู้ชายคนนั้นท่าทางเป็นอย่างไร” ไตรถาม “หล่อมากค่ะ เป็นดารานักร้อง คนงานตื่นเต้นมาขอถ่ายรูปกันเต็มเลยค่ะ” ปลารายงานให้ไตรทราบ “ถ้าปรายกลับไป แม่นายจะเป็นอย่างไร” ไตรคิดแต่ไม่ได้พูดออกมารีบออกไปจูงจักรยานเพื่อไปรับแม่นาย “พี่ไตรอย่าไปเลย รออยู่ที่นี่ดีกว่า” กลอยรีบมาทักท้วง “จริงของกลอย แม่นายอาจจะเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ ไปกินข้าวกันดีก