พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น
“คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน
“ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย
“ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่
ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน
“ขอบคุณค่ะ”
“ครับผม”
กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาวางให้ ความเงียบไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด แต่คนที่มีคำถามเลือกที่จะไม่ถามออกไป แม่นายใจเดียวมองดูปรายฝนก่อนจะยิ้มๆ ให้เห็น
“มานั่งใกล้ๆ นี่มา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น ปรายฝนนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจลุกขึ้นและไปนั่งที่เตียงเหมือนถูกสายตาต้องมนต์ที่จ้องมองมาสะกดให้ลุกไปตามคำพูดที่ได้ยิน กระดาษนุ่มๆ สีขาวสัมผัสเบาๆ ที่ริมฝีปากซึ่งทำให้ปรายฝนรู้ว่าคงมีคราบจากฟองนมของกาแฟ แต่แววตาคู่นั่นที่จ้องมองอยู่ใกล้ๆ ทำให้หัวใจปั่นป่วน โดยเฉพาะริมฝีปากที่ไม่ได้ฉาบด้วยสีสัน ถึงแม้จะซีดเซียวไปบ้าง แต่สามารถดึงดูดให้จ้องมอง จนขยับเข้ามาใกล้ๆ ค่อยๆ ทาบทับไปที่ริมฝีปากของตัวเธอ ปรายฝนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจนกระทั่งเผยอริมฝีปากตอบรับไปเล็กน้อยก่อนจะขยับถอยห่างออกมา
“ปรายขอลงไปเดินเล่นข้างล่างนะคะ” ปรายฝนพูดขึ้น แต่ยังคงรอให้แม่นายใจเดียวอนุญาต รอยยิ้มจางๆ บอกความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งทำให้คนที่ยังนั่งจ้องตาแป๋วอยู่รู้สึกกังวลใจ แต่ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา
“ไปเถอะ อีกสักชั่วโมงฉันจะตามลงไปได้ไปทานมื้อค่ำกัน แต่อย่าออกไปด้านนอกล่ะ ฝนยังตกหนักอยู่” แม่นายใจเดียวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนวันแรกที่ได้พบกัน
“ค่ะ” ปรายฝนพูดเพียงแค่นั้นแล้วลุกขึ้นเปิดประตูออกจากห้องไป แม่นายใจเดียวถอนใจมองดูจนกระทั่งประตูห้องพักปิดสนิท
“ฉันคิดไปเองคนเดียวสินะ” ใจเดียวรำพึงออกมาเบาๆ มองดูรอยเปื้อนบนกระดาษแผ่นบางสีขาวที่มีรอยลิปสติกสีอ่อนจากริมฝีปากของคนที่เพิ่งออกจากห้องไป
ร้านอาหารรสสุคนธ์เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียง ซึ่งเจ้าของร้านเป็นเพื่อนของใจเดียว ดังนั้นมื้อค่ำจึงมาฝากท้องที่ร้านแห่งนี้ โดยปรายฝนขอไม่ตามมาด้วยเพราะจะรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม
“ตายแล้ว แม่นายมาร้านของดิฉัน” การทักทายของเจ้าของร้านซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เยาว์วัยได้ทำให้ใจเดียวยิ้ม แต่รอยยิ้มไม่ได้สดใสดั่งเช่นก่อนหน้าที่ได้พบกันซึ่งทำให้รสสุคนธ์แปลกใจ
“ทำเหมือนหลายปีจะมาสักที เข้าเมืองทีไร เดียวมาอุดหนุนร้านของรสตลอดเลยนะ” ใจเดียวบอกรสสุคนธ์
“แหมฉันก็แค่แหย่เธอเล่นเท่านั้นแหละ แล้วทำไมถึงมาคนเดียวล่ะ นายไตรไม่เคยปล่อยแม่นายไปไหนมาไหนลำพังนี่นา” รสสุคนธ์ยิ้มๆ เมื่อนึกถึงไตรซึ่งเป็นผู้ช่วยและควบตำแหน่งหัวหน้าคนงาน
“ไตรไม่ได้มา เดียวมากับผู้ช่วยคนใหม่เป็นผู้หญิง”
“อ้าวแล้วทำไมไม่มาดูแล เดียวล่ะ” รสสุคนธ์ถาม
“เห็นว่าจะทานมื้อค่ำที่ห้องอาหารโรงแรม” ใจเดียวยิ้มน้อย
“อดกินของอร่อยเลย เสียดายแทนแม่คนนั้นจริงๆ” รสสุคนธ์หัวเราะ แต่ท่าทางแปลกๆ ของเพื่อนไม่สามารถหลุดรอดสายตาคนช่างสังเกตไปได้
“งั้นขอของอร่อยให้เพื่อนสักสองอย่างสิ” ใจเดียวยิ้ม
“มาร้านฉันจะมากินสองอย่างได้ไง เดี๋ยวให้เด็กจัดให้สักสี่ห้าอย่าง รสจำได้ว่าเดียวชอบอะไร รอเดี๋ยวนะ” รสสุคนธ์หายไปครู่หนึ่ง
“ร้านคนแน่นเหมือนเดิม” ใจเดียวบอก
“คุณผู้ช่วย ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยทั่วไปใช่ไหม” รสสุคนธ์ถามตามตรง
“เป็นหมอดูหรือไง” ใจเดียวยิ้มจางๆ
“ดูหน้าเพื่อนฉันก็รู้แล้ว แววตาที่เคยสดใสหายไป ไม่รู้ตัวล่ะสิ”
“ขนาดนั้นเลย” ใจเดียวขมวดคิ้ว
“ใช่จ้ะ รสเป็นเพื่อนเดียวนะ” รสสุคนธ์เป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีช่างพูดช่างคุยและเป็นคนช่างสังเกตด้วย
“ตอนแรกคิดว่าไม่ทั่วไป แต่ตอนนี้คงเป็นผู้ช่วยทั่วไปแล้วล่ะ”
ใจเดียวบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รสสุคนธ์ตั้งใจฟังแต่แปลกใจที่ผู้ช่วยคนใหม่อายุห่างจากใจเดียวค่อนข้างมาก แต่กลับทำให้แม่นายใจเดียวหวั่นไหวได้อีกครั้ง เพราะครั้งก่อนที่มีความรักเวลาผ่านมานานมากแล้วจนรสสุคนธ์คิดว่า แม่นายคนสวยจะใจเดียวสมชื่อ
“เด็กคงตกใจ” รสสุคนธ์บอก
“เดียวรู้สึกแย่ ปูนนี้แล้วไปทำแบบนั้นกับเด็ก” ใจเดียวพูดขึ้น
“แต่ถ้าถามรสก่อน รสอยากให้ทำแบบนั้น ถ้าไม่แสดงออกจะรู้ไหม ผลออกมาเป็นอย่างไร ก็ค่อยว่ากัน” รสสุคนธ์ยิ้มๆ แต่รอยยิ้มจางลงทันที เมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน
“เหมือนนัดกันมาเลยนะ” รสสุคนธ์หันมามองสบตากับใจเดียว
“ไม่ได้นัดจ้ะ ใจตรงกันต่างหาก” แพรพรรณพูดขึ้นและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ใจเดียว
“ติดฝนเหมือนกันหรือ” ใจเดียวถามแพรพรรณ
“ใช่ ทำไมเดียวมาคนเดียวล่ะ” แพรพรรณถาม
“ตัวคนเดียว ก็ต้องมาคนเดียวสิ” รสสุคนธ์ตอบแทนใจเดียวที่ยิ้มๆ กับการช่างพูดเหน็บแนมและต่อล้อต่อเถียงกันระหว่างเพื่อนทั้งสอง
“เหมือนแพรเลย” แพรพรรณหัวเราะเล็กๆ และรับเมนูอาหารมาจากเจ้าของร้านที่ส่ายหน้ากับแม่นายเจ้าของไร่คนสวยอีกคน รสสุคนธ์เป็นคนเปิดประเด็นการพูดคุย แต่แพรพรรณยังคงสนใจอยู่แค่ใจเดียว ซึ่งขยับถอยห่างออกไปเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่า แพรพรรณขยับเข้าใกล้จนไหล่เบียดชิดกัน รอยยิ้มที่จางหายไปทำให้รสสุคนธ์มองตามสายตาของใจเดียว หลังจากเห็นสีหน้าของเพื่อนทำให้พอจะเดาได้ว่า หญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาเป็นใคร
“สวัสดีค่ะ ปรายเอาร่มมาให้ค่ะ ตอนแม่นายออกมาไม่ได้ถือมา” ปรายฝนรู้สึกตัวเองยืนเกะกะอย่างไรชอบกล
“มีความห่วงใย ดีมากนังหนู นั่งก่อนกินข้าวด้วยกันก่อน ร้านฉันน่ะขึ้นชื่อนะ ไม่อร่อยล่ะก็ไปต่อว่าเพื่อนฉันได้เลย” รสสุคนธ์หัวเราะ ขณะมองสบตากับใจเดียว
“กินข้าวหรือยัง” ใจเดียวถาม
“ยังไม่ได้ทานค่ะ” ปรายฝนตอบและมองดูแพรพรรณที่ตักกับข้าวใส่ให้ในจานของแม่นายใจเดียว
“ดีเลยมาๆ นั่งเลยนังหนู นี่เมนูอยากกินอะไรสั่งเลย แม่นายทั้งสองพร้อมจ่ายมากๆ” รสสุคนธ์หัวเราะ ขณะดันหลังปรายฝนและคะยั้นคะยอให้นั่งลง เพราะเชื่อว่าอย่างไรเด็กก็ต้องเกรงใจผู้ใหญ่
“ทานที่มีอยู่ก็ได้ค่ะ เต็มโต๊ะเลย” ปรายฝนหันมายิ้มให้กับรสสุคนธ์เจ้าของร้านที่ยิ้มๆ มองสบตากับสาวน้อยทีมองสบตากับเพื่อนตัวเองที
“คุณผู้ช่วยพาฝ่าฝนกลับไร่ไม่ไหวนี่เอง ถึงได้เจอเดียว” แพรพรรณ
พูดขึ้น ซึ่งทำให้รสสุคนธ์แปลกใจ
“แพรรู้จักผู้ช่วยใหม่ด้วยหรือ เจอกันยังไง” รสสุคนธ์ถามไปตามตรง เพราะรู้เรื่องราวระหว่างแพรพรรณกับใจเดียวเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสัญญา ที่แพรพรรณรับปากว่าจะไม่เข้าไปในไร่ใจเดียว
“แพรไปหาเดียวที่ไร่มาออกบ่อย” แพรพรรณพูดขึ้น
“ทำไมเป็นคนแบบนี้ไปได้ ทำไมไม่รักษาสัญญา เดียวมันเคยขออะไรเธอบ้าง แม่นายแพรพรรณ” รสสุคนธ์พูดต่อว่าแทนใจเดียว
“แพรเป็นแม่หม้ายนะ รส เพราะฉะนั้นสัญญาอันนั้นก็ควรยกเลิก” แพรพรรณบอก
“เกี่ยวกันตรงไหน” รสสุคนธ์พูดต่อว่า
“ตรงนี้แหละ” แพรพรรณหันมองสบตากับใจเดียวที่นั่งรับประทานอาหารเงียบๆ โดยแอบมองปรายฝนที่นั่งฟังเงียบๆ เช่นกัน
“เอาแต่ใจตัวเองน่ะทำได้นะ แม่คุ๊ณ แต่ปูนนี้แล้วช่วยคิดถึงใจคนอื่นด้วย แล้วหยุดอย่ามาพูดเรื่องความรักเด็ดขาด รสยังไม่เชื่อ อย่าหวังเลยว่าอีกคนจะเชื่อ” รสสุคนธ์พูดดักทางทำเอาแพรพรรณหน้างอและเงียบไป
“พอได้แล้ว เวลากินข้าวใครเขาทะเลาะกันล่ะ อายเด็กบ้าง”
“เรื่องจริงไม่เห็นต้องอายอะไรเลย ใช่ไหมนังหนู” รสสุคนธ์หัวเราะ เมื่อหันไปถามปรายฝนที่หันมายิ้มเจื่อนๆ ให้
“ปรายว่า ปรายไปก่อนดีกว่าค่ะ จะได้คุยกันสะดวกหน่อย”
“ไปไม่ได้ นั่งแล้วยังกินไม่อิ่มห้ามลุกไปไหนเป็นกฎของร้านและเราเป็นเด็กเป็นเล็กต้องฟังผู้ใหญ่เข้าใจไหม” รสสุคนธ์พูดคล้ายดู ปรายฝนเห็นแม่นายใจเดียวสบตากับรสสุคนธ์ซึ่งมีรอยยิ้มแปลกๆ
“เข้าใจค่ะ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ แต่เมื่อมือของรสสุคนธ์ทาบทับไปที่ศีรษะทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างยิ่งเมื่อมองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่มองสบตาด้วยแม้เพียงครู่เดียวก็ตาม
“เด็กว่าง่าย ผู้ใหญ่เอ็นดูนะนังหนู รู้เอาไว้ด้วยล่ะ” รสสุคนธ์หัวเราะรู้สึกถูกชะตากับสาวน้อยที่ดูเฉลียวฉลาด ถึงแม้เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกกลับเชื่อว่าดูเหมาะกับใจเดียวเพื่อนของตัวเอง รสสุคนธ์มองดูเพื่อนอีกคนที่คง รู้ว่า สองสาวต่างวัยที่แอบมองกันและกันอยู่ไม่ได้เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น
“อาหารอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมความอร่อยยิ่งขึ้นด้วยเพื่อนร่วมรับประทาน อิ่มอร่อยมากๆ รส เจอกันพร้อมหน้าไปดื่มกันสักหน่อยดีกว่า” แพรพรรณเอ่ยชวน รสสุคนธ์มองสบตากับใจเดียว
“ดีไหม ย้อมใจสักหน่อยก่อนเข้านอน” รสสุคนธ์หัวเราะ
“ได้” ใจเดียวพูดขึ้นก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้ปรายฝน
“เราล่ะ เด็กน้อย” รสสุคนธ์ถาม
“ไม่ดีกว่าค่ะ ปรายต้องขับรถกลับพรุ่งนี้ แต่ไปไกลไหมคะ ถ้าไปไกลปรายจะไปด้วย” ปรายฝนบอกกับรสสุคนธ์ที่ยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าคงเป็นห่วงใจเดียว
“ห่วงแม่นายของเราว่างั้น ฉันไม่ทิ้งแม่นายเธอหรอกน่า แต่เราดื่มกันที่โรงแรมก็ได้คุณผู้ช่วยจะได้ไม่ต้องห่วงเดียวเนอะ เออจะว่าไปก็น่าเป็นห่วงอยู่เว๊ย” รสสุคนธ์พูดแล้วมองดูแพรพรรณที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ขึ้นไปนอนที่ห้องไป ไม่ต้องห่วง” แม่นายใจเดียวบอกปรายฝน
“ถ้าอยากให้อยู่ด้วย ปรายอยู่ได้นะคะ” ปรายฝนบอก
“อย่ามานั่งอึดอัดอยู่เลย เดี๋ยวเมาก็แยกย้ายกันไปนอนเองแหละ” แม่นายใจเดียวบอกแล้วพยักพเยิดให้ปรายฝนขึ้นห้องพักไปก่อน
“งั้นถ้าดึกมาก ปรายลงมาดูนะคะ”
“แล้วแต่เธอก็แล้วกัน” แม่นายใจเดียวบอกก่อนจะเดินไปสมทบกับเพื่อนทั้งสองที่นานๆ ครั้งจะได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตา
“จะนอนหลับได้ไงล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำมองตามแม่นายใจเดียวจนหายเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรม
ปรายฝนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามองดูนาฬิกาที่ผนังห้องเพิ่งสามทุ่มกว่าๆ ตั้งใจว่าจะงีบหลับสักพัก แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมีผ้ามาทาบทับลงที่หน้าอกพอลืมตาดูถึงได้เห็นว่าเป็นแม่นายใจเดียวที่ยิ้มน้อยๆ ให้ กลิ่นเหล้าคละคลุ้งเล็กน้อย
“นอนต่อเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวก็นอนแล้ว” แม่นายใจเดียวพูดคล้ายไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“เมาหรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม แม่นายใจเดียวคิ้วขมวดทำท่าคิด
“คิดว่าไม่นะ ยังเข้าห้องถูกทำไมกลัวหรือ ถ้ากลัวฉันไปนอนที่ห้องแม่นายแพรพรรณก็ได้” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองแววตาเรียบนิ่งของปรายฝนที่หน้างอทันทีเมื่อได้ยิน
“งั้นทำไมไม่ไปนอนตั้งแต่แรก” ปรายฝนพูดขึ้นก่อนจะล้มตัวลงนอนและหันหลังให้แม่นายใจเดียว
ปรายฝนพลิกตัวตะแคงข้างมาอีกด้านหนึ่ง เพราะอีกสักพักคนที่อาบน้ำเสร็จคงมาล้มตัวลงนอนข้างๆ พยายามข่มตาให้หลับเพื่อจะได้ไม่ได้ยินเสียงอะไรของแม่นายอีก แต่ยิ่งพยายามยิ่งรู้สึกกระสับกระส่าย จึงลุกขึ้น มารินน้ำเอาไว้ให้จนเกือบเต็มแก้ว ก่อนจะรีบกลับมาล้มตัวลงนอนทำเหมือนหลับไปแล้ว แม่นายใจเดียวออกมาจากห้องน้ำเหลือบไปเห็นน้ำดื่มที่ถูกรินเอาไว้จนเกือบเต็มแก้ว จึงเดินไปดื่มจนหมดเพราะรู้ดีว่ามีคนเตรียมไว้ให้
ปรายฝนยิ้มน้อยได้ยินเสียงสวดมนต์เบาๆ จึงหลับตาลงอีกครั้งและหลับไป ส่วนอีกคนนอนหงายมองดูเพดานห้องและคิดทบทวนตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับสาวน้อยน่ารักที่นอนหลับอยู่ข้างๆ แม่นายใจเดียวหันมามองดูเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองดูเพดานเหมือนเดิม
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” แม่นายใจเดียวรำพึงออกมาเบาๆ
แสงสว่างทอแสงพาดผ่านช่องว่างของผ้าม่านเข้ามา ปรายฝนตื่นมาเห็นเข้าถึงรู้ว่าเช้าแล้ว แต่อ้อมกอดของคนที่กอดเอาไว้นั่นต่างหากที่ทำให้หลับสบายแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวตลอดทั้งคืน ปรายฝนไม่กล้าขยับตัวเพราะเกรงว่าแม่นายใจเดียวจะตื่น จนกระทั่งคนที่กอดอยู่นั้นกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นและดึงตัวเข้าไปเสียใกล้ จนริมฝีปากของปรายฝนเกือบโดนเข้ากับแก้มของแม่นายใจเดียวอยู่แล้ว เมื่อได้อยู่ใกล้มากจึงมองดูเรียวปากที่ดูซีด แต่คงเป็นปรกติในยามเช้า ปรายฝนยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงริมฝีปากอันอบอุ่นที่ทาบทับและเว้าวอนอย่างอ่อนหวาน แต่มัวเพลิดเพลินกับการจ้องมองริมฝีปากเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่า เจ้าของริมฝีปากเรียวสวยลืมตาขึ้นมาขมวดคิ้วจ้องมองอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นพร้อมกับคลายอ้อมกอดออกทันที ปรายฝนรีบขยับถอยห่างออกมา
“เปล่าค่ะ ปรายนอนเบียดเมื่อยหรือเปล่าคะ” ปรายฝนพูดแก้เก้อ เพราะจริงๆ ไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองเข้าไปเบียดหาอ้อมกอดอันอบอุ่นหรือถูกดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้กันแน่ แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นยังไงหรือเพราะอะไร ความ รู้สึกอุ่นใจนั่นต่างหากที่ควรจะหาเหตุผลว่า เพราะอะไรถึงหลับไปได้อย่างมีความสุขจนกระทั่งรุ่งสาง
“ไม่นี่ หลับสบายดี ไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะ” แม่นายใจเดียวบอก
“เรื่องเมื่อวาน” ปรายฝนพูดขึ้น
“ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว”
“ปรายแค่อยากบอกว่า ปรายไม่เคยชอบผู้หญิงมาก่อน ก็เท่านั้น”
“เอาเป็นว่า ฉันรับทราบ สบายใจหรือยัง” แม่นายใจเดียวรอยยิ้มหายไปในทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่ปรายฝนพูดออกมา ความอึดอัดกลับมาพร้อมกับความเงียบ ปรายฝนจึงลุกไปอาบน้ำก่อนและขอลงไปรอข้างล่างเพื่อจะได้เตรียมตัวกลับไร่ เพราะฝนหยุดตกแล้ว
“ปรายก็แค่เด็กไม่เอาไหน วันหนึ่งแม่นายก็จะรู้” ปรายฝนถอนใจ
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมยกเว้นระยะห่างที่แม่นายใจเดียวมอบให้ ซึ่งปรายฝนสัมผัสได้ตั้งแต่กลับมาจากในเมือง เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมีเพียงช่วงเวลาทำงาน เพราะหลังจากหมดเวลางานการพูดคุย การพูดเล่น การได้ใกล้ชิดกันต่างไปจากเดิม แต่ความรู้สึกของปรายฝนเหมือนดอกไม้ในใจเหี่ยวเฉาจากที่เคยตื่นเช้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยากรีบออกมาทำงาน กลับกลายเป็นว่ารู้สึกเกียจคร้านไม่อยากตื่นนอนเอาเสียเลย “เบื่ออาหารหรือ” ไตรถาม เพราะหลายวันแล้วที่เห็นปรายฝนทานอาหารน้อยลง ปลากับกลอยเองสังเกตเห็นเช่นกัน “นั่นสิทำงานทั้งวัน ถ้าไม่กินเยอะๆ จะไม่ไหวนะ” ปลาพูดเตือน “เนือยๆ เดี๋ยวก็หาย แม่นายไม่มาทานอาหารเช้าหรอกหรือ ไม่ค่อยเห็นมาที่โรงอาหาร” ปรายฝนพูดขึ้นและมองไปรอบๆ บริเวณโรงอาหารที่มีเสียงการสนทนาและพูดคุยกันเหมือนทุกวัน “แม่นายแพรพรรณมาอยู่ที่เรือนรับรอง” กลอยบอก ปรายฝนยิ้มๆ ไม่กล้าสบตากับทุกคน “เมื่อคืนพี่ตื่นขึ้นมาเลยออกมายืนที่ระเบียงบ้านพักเห็นแม่นายออกมาเดินดูดาวเหมือนคิดอะไรอยู่ น่าแปลกเพราะไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่” สิ่งที่ไตรบอกทำเ
ปรายฝนแปลกใจ เมื่อกลอยแจ้งว่ามีโทรศัพท์มาจากพี่ชายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นลูกคนเดียวและไม่มีใครรู้เลยว่ามาทำงานอยู่ที่นี่ นอกจากบิดาของเท่านั้น “สวัสดีค่ะ ปรายฝนค่ะ” ปรายฝนพูดทักทายขึ้นก่อน “พี่ฤทธิ์เองค่ะ ปรายใจร้ายจังนะคะ” เสียงที่ได้ยินทำเอาปรายฝนมีรอยยิ้มเจื่อนๆ หันมองดูไปรอบๆ มีเพียงกลอยที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ “ไปเอาเบอร์มาจากไหนคะ” ปรายฝนพูดน้ำเสียงแปร่งๆ “คุณพ่อให้มาค่ะ หนีไปอยู่เสียไกลคิดว่าพี่จะตามปรายไม่เจอหรืออย่างไรกัน” ดวงฤทธิ์ถาม “ปรายไม่ได้เป็นอะไรด้วย พี่ฤทธิ์จะมาตามทำไมกัน แค่นี้ก่อนนะคะ ปรายต้องไปทำงานแล้วล่ะ” พูดจบปรายฝนรีบวางสายทันที “ไว้ถ่ายละครเสร็จ จะตามไปง้อนะจ๊ะ คนสวย” ดวงฤทธิ์ยิ้มๆ ถึงแม้ปลายทางจะวางสายไปแล้วก็ตาม กลอยมองเห็นปรายฝนทำหน้ามุ่ยเลยยิ้มให้แต่แปลกใจทำไมเวลาทางบ้านโทรศัพท์มาทีไร ปรายฝนดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนักหลังจากพูดคุยกับคนในครอบครัว “หนีออกจากบ้านมาหรือไง ปราย” กลอยถาม “ประมาณนั้นแหละ” ปรายฝนบอกแล้วยิ้มจางๆ ให้ “คงแค่อยากรู้ทุกข์สุข อย
แพรพรรณรีบออกมาที่หน้าบ้านทันที เมื่อเห็นรถยนต์คันที่ลูกสาวขับออกไปกำลังเข้ามาจอด จันจิราดูร่าเริงสดใสไม่เห็นเหมือนตอนไปที่บ่นโน่นนี่อิดออดไม่อยากไปที่ไร่ใจเดียว “กลับเร็วไปนะ” แพรพรรณพูดขึ้น “แผนแม่ไม่สำเร็จ” จันจิราบอก “แค่ให้ไปแยกยายผู้ช่วยให้อยู่ห่างๆ น้าเดียวแค่นี้จัดการไม่ได้” “น้าเดียวไม่ยอมแยก ไม่ไล่จันออกมาจากไร่ก็บุญแล้ว” จันจิราพูดต่อปากต่อคำกับมารดา “ใช้อะไรไม่ได้เรื่องเลย อย่าได้คิดมาขอเงินฉันเชียวนะ” แพรพรรณพูดต่อว่าลูกสาว “ถ้าแม่ไม่ให้เงิน จันจะไปสมัครเป็นผู้ช่วยพี่ไตร น้าเดียวรับจันเข้าทำงานแน่นอน ถึงตอนนั้นล่ะก็แม่จะเหลือตัวคนเดียวแล้วนะ ถ้าไม่มีลูกสาวอย่างจันอยู่ด้วยน่ะ” จันจิรายักไหล่ “แทนที่จะเข้าข้างฉัน กลับไปเข้าข้างคนไร่โน้น” “พ่อเสียไปนานแล้วนะคะ แม่ ถ้าน้าเดียวยังรู้สึกลึกซึ้งกับแม่ล่ะก็น้าเดียวคงมาขอแม่ไปอยู่ด้วยแล้ว แม่ไม่รู้หรือแค่อยากเอาชนะกันแน่” “เอ๊า ไอ้ลูกคนนี้ ฉันแม่แกนะ ยายจัน” “ถ้าจันเป็นน้าเดียว จันก็จะไม่ย้อนอดีตไปหรอ
จันจิรามองดูทิวารีที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอนมารดาของตัวเองทำเอาถึงกับถอนใจ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด เพราะถึงแม้จะเป็นเด็กสมัยใหม่ก็ตาม ถ้าหากเลือกได้ขอเป็นใจเดียวดีกว่า “แม่นะแม่ อยากได้น้าเดียว แล้วดูดู๊ทำอะไรลงไป” จันจิราพูดบ่น ทิวารีกำลังเตรียมอาหารมื้อเช้า เมื่อเห็นจันจิราเลยแปลกใจเพราะปกติตื่นสาย แต่เช้านี้ถือว่าเช้ามาก “รับน้ำส้มก่อนไหมคะ คุณจัน” ทิวารีถาม “ดีเหมือนกัน แม่ยังไม่ลงมาหรือ” จันจิราแสร้งถาม “ยังไม่เห็นค่ะ” “ฉันควรสงสารแม่หรือสงสารเธอดีทิวารี” จันจิราคิด เพราะมารดาของตัวเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน แพรพรรณลงมาจากชั้นบนเห็นลูกสาวเข้าถึงกับยิ้มๆ เพราะรายนั้นตื่นสายมาก หากให้ตื่นเช้าต้องไปปลุกจนแทบจะต้องลากลงจากเตียงกันเลยทีเดียว “แม่นายแพรพรรณดูสดชื่นนะคะ เช้านี้ ท่าทางคงจะไปทานอาหารเช้าที่ไร่แม่นายใจเดียวกระมัง” จันจิราพูดแหย่แถมยังพูดเสียงดังให้ได้ยินไปถึงสาวที่อยู่ในห้องครัว “ข้าวบ้านฉันก็มีกิน ไม่เห็นต้องไปบากหน้าขอข้าวบ้านอื่นเลย”
รสสุคนธ์หลังจากจอดรถก็หันไปมองบริเวณโดยรอบ ซึ่งเขียวชอุ่ม ลมพัดเย็นสบายรู้สึกทึ่งในความสามารถของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พยายามสร้างอาณาเขตเสียกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะได้ยินมาว่าค่อยๆ ซื้อที่ซึ่งอยู่ติดกัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์มากมายขนาดนี้ “ยายเดียวเอ๊ย ฉันล่ะทึ่งเธอจริงๆ ไม่ได้มาเสียนาน ไร่กว้างใหญ่มองดูสุดลูกหูลูกตาเลยเธอเอ๊ย” รสสุคนธ์หัวเราะและยังนึกชื่นชมความขยันของเพื่อนรัก “สวัสดีค่ะ คุณรส” ปรายฝนพนมมือไหว้ทักทาย “ดูแลแม่นายดีล่ะสิเรา เดี๋ยวนี้ยิ้มเก่งขึ้นมาก” รสสุคนธ์พูดแหย่ “มาถึงก็แซวเพื่อนเลย” ใจเดียวยิ้มๆ “ยิ้มสวยกว่าครั้งก่อนด้วย อะไรยังไงมีอะไรลับลมคมนัยหรือเปล่า” รสสุคนธ์ถาม เพราะจากครั้งก่อนที่ได้เห็นรอยยิ้มจางๆ ของใจเดียว แต่ครั้งนี้กลับยิ้มสวยและดูสดใส “อะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย” ใจเดียวพูดขึ้น “แววตามันฟ้องจ้ะ แม่นาย ฉันดีใจด้วยเห็นไร่แล้วก็ชื่นใจ พ่อกับแม่คงมีความสุขที่เห็นไร่เล็กๆ ของท่านขยับขยายจนกว้างใหญ่ด้วยฝีมือของ ลูกสาวคนเดียว “ไปหาอะไรดื่มด
รสสุคนธ์เอ่ยชวนแพรพรรณอยู่นอนคุยเล่นด้วยกันสามคน แต่ถูกปฏิเสธ จึงมีเพียงใจเดียวที่นอนอยู่ข้างๆ นอกจากเรื่องทั่วไปที่พูดคุยกัน ก็มีเรื่องของปรายฝนซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ทีเดียว “แพรพาสาวมายั่วเดียว รู้ตัวหรือเปล่าจ๊ะ” รสสุคนธ์พูดขึ้น “รสก็คิดไปเรื่อย” “รสคิดไม่เท่าไร นังหนูปรายคิดล่ะจะมีปัญหา” “นี่ก็ชอบพูดให้ใจไม่ดี” ใจเดียวพูดดุ “รสดีใจมากเลยที่รู้ว่าเดียวรู้สึกดีกับนังหนูปราย รอมานานมากเสียจนคิดว่า เพื่อนต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาเสียแล้ว” “ความรู้สึกมาเร็วจนเดียวเองยังแปลกใจ อยู่ๆ ก็หวงเขาขึ้นมา” “ไม่คิดหรือว่าเด็กเกินไป” รสสุคนธ์ถามด้วยความเป็นห่วง “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่คนรอบตัวเขาน่ะสิ” ใจเดียวพูดขึ้น “ก็จริง แต่รสเชื่อว่า ถ้ารักกันมากพอคงช่วยกันหาทางที่จะใช้ชีวิตด้วยกันจนได้นั่นแหละ เนอะ นอนล่ะชักง่วง” รสสุคนธ์บอก ใจเดียวมานึกถึงบิดาของปรายฝนที่เคยโทรศัพท์มาและท่าทางคงอยากจะให้ลูกสาวกลับไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาที่ทำให้ปรายฝ
วันหยุดไตรเข้าไปดูไร่ของแม่นายแพรพรรณตามที่ได้รับปากไว้กับลูกสาวก็คือ จันจิรา โดยไตรเข้าไปทักทายเจ้าของไร่ก่อน ถึงแม้จันจิราจะบอกกับมารดาเอาไว้แล้วก็ตาม แต่ตามมารยาทคนเป็นเด็กควรต้องไปลามาไหว้เพราะไม่อยากให้มีใครต่อว่าไปถึงแม่นายใจเดียวที่เป็นเจ้านาย “ไตรจะเหนื่อยเปล่านะ แม่ลูกสาวฉัน คุณหนูออกจะตาย” “แม่คะ รักษาหน้าลูกสาวด้วยค่ะ” จันจิราพูดต่อว่ามารดา “ทิไปด้วยใช่ไหม” แพรพรรณถามทิวารี “ค่ะ” “ดีแล้วล่ะ ไปกันสองคนเดี๋ยวไตรจะเสียหายเอา” แพรพรรณยิ้มๆ “แม่นายก็ชอบไปว่าจัน” ทิวารีไม่เรียกคุณจันเหมือนปกติ “ยายจันบังคับเรียกชื่อเฉยๆ ล่ะสิ” “เปล่าสักหน่อย พี่ไตรสอนว่าให้ดูแลคนงานและผู้ร่วมงานเหมือนเป็นญาติ จันเลยให้เรียกชื่อเฉยๆ และจันเองก็เรียก พี่ทิ แม่น่าจะดีใจนาที่จันเข้ากับพี่ทิได้ดี” จันจิรายักคิ้วหลิ่วตาล้อ “เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ วันนี้วันหยุด แม่นายไร่โน้นก็ได้พักสิ” “คนงานพักครับ แม่นายก็คงตรวจไร่ตามปกติ แต่คงออกสายครับไปกันหรือยังครับ ถ้าสายจะร้อนเอานะครับ
ไตรถอนใจ เพราะเมื่อกลับมาที่สำนักงานถึงได้ทราบเรื่องแขกที่มาหาปรายฝน ปลากับกลอยรายงานอย่างละเอียด แต่ไตรแปลกใจกับการไปพบปรายฝนรอแม่นายใจเดียวอยู่ที่ทางเข้าออกทั้งสองไร่ทั้งตอนที่ได้พบกันและดูเหมือนช่วงเย็นด้วย “คงไม่ต้องหาผู้ช่วยใหม่ ถ้าปรายกลับไปแม่นายคงไม่รับผู้ช่วยแล้ว” ไตรพูดขึ้น “น่าเสียดายนะคะ ช่วยงานได้ตั้งเยอะ ทั้งงานแม่นาย งานเอกสาร เข้ากับคนงานได้ดีด้วย ยิ่งคนแก่ยิ่งพูดชมกันทุกคนเลยว่า คุณผู้ช่วยจิตใจดี” ปลาบอกกับไตร “ดูค่ะ แม่นายเดินมาไม่ซ้อนจักรยานเหมือนทุกวัน” ไตรหันไปมอง ดูเห็นแม่นายเดินอยู่ลิบๆ แต่ปรายฝนกำลังนำจักรยานไปจอดข้างสำนักงาน “ผู้ชายคนนั้นท่าทางเป็นอย่างไร” ไตรถาม “หล่อมากค่ะ เป็นดารานักร้อง คนงานตื่นเต้นมาขอถ่ายรูปกันเต็มเลยค่ะ” ปลารายงานให้ไตรทราบ “ถ้าปรายกลับไป แม่นายจะเป็นอย่างไร” ไตรคิดแต่ไม่ได้พูดออกมารีบออกไปจูงจักรยานเพื่อไปรับแม่นาย “พี่ไตรอย่าไปเลย รออยู่ที่นี่ดีกว่า” กลอยรีบมาทักท้วง “จริงของกลอย แม่นายอาจจะเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ ไปกินข้าวกันดีก
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ
ปรายฝนมาอาบน้ำเข้านอนก่อนปล่อยให้ผู้ใหญ่ดื่มและพูดคุยกัน รอยยิ้มจางลงเมื่อนึกถึงรูปภาพผู้หญิงที่หน้าจอโทรศัพท์ของแม่นายใจเดียว ที่ได้เห็นตอนเข้าเมืองไปทำธุระด้วยกัน “ไม่คิดสิ เรื่องเก่านมนานแล้ว” ปรายฝนพูดบ่นกับตัวเอง แต่สายตาวาววับของแม่นายแพรพรรณนั่นทำให้กลับมาคิดมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่นายใจเดียวมากขึ้น หรือเป็นเพราะความใกล้ชิดทำให้ยิ่งคิดมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนกอดกันที่ปลายไร่ตรงทางเชื่อมระหว่างไร่ทั้งสอง ปรายฝนมองดูเพดานห้องคอยฟังเสียงประตูห้องแม่นายใจเดียว “ถ้าไม่กลับมานอนที่ห้องล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เสียงประตูห้องของแม่นายใจเดียวก็ดังขึ้น ปรายฝนรีบลุกขึ้นนั่งทันทีและมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูกั้นห้องระหว่างตัวเองกับแม่นายใจเดียวดังขึ้น หัวใจกระโดดโลดเต้นแต่ทำเป็นนิ่งนั่งหน้าง้ำคิดว่าแม่นายใจเดียวจะเข้ามาดู หากแต่กลับได้ยินเสียงเปิดเข้าไปในห้องน้ำทำเอาคนที่หัวใจลิงโลดอยู่เมื่อครู่ทำหน้าจ๋อยล้มตัวลงนอนหันหลังให้ “เด็กขี้เซา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นและจูบเบาๆ
“เสียวสันหลังวาบนึกว่าจะไล่ปรายกลับไปด้วย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ มองดูมือที่แม่นายใจเดียวยังจับอยู่ “เสียตัวไปแล้ว ใครจะยอมเสียใจอีกล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ตายแล้วเป็นสาวเป็นนางพูดเรื่องเสียตงเสียตัว อายชาวบ้านเขานะคะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ “คุณรู้สึกเหมือนปรายพยายามสู้เพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน คุณควรทำอย่างนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” แม่นายใจเดียวบอกปรายฝนที่หันไปดูรอบๆ ไม่เห็นใครจึงจูบเล็กๆ ไปที่ริมฝีปากเรียวสวยของเจ้าของไร่ “ปรายเป็นเด็กมีปัญหา ไปที่ไหนก็สร้างปัญหาให้เขาไปหมด” “คนมายืนเอาใจช่วยกันทั้งไร่ อย่าลืมคิดถึงความน่ารักของตัวเองด้วยล่ะ อีกอย่างเหมือนจะได้พี่ชายที่แสนดีด้วยนะ เราน่ะ” แม่นายใจเดียวยิ้ม เมื่อนึกถึงไตรที่พร้อมจะปกป้องทั้งตัวเธอและปรายฝน “พี่ไตรเป็นพี่ชายปรายตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วล่ะค่ะ มีแต่คนคิดมากเท่านั้นแหละที่แอบคิดเป็นอื่น” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก เมื่อแม่นายใจเดียวทำท่าเหมือนจะเขกที่ศีรษะ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ถ้าคุณฤทธิ์ไปบอกพ่อเรื่องของเรา” “ปรายมันเด็กดื้อ พ่อคงปล่
แม่นายใจเดียวถอนใจ แต่ความรู้สึกจากสัมผัสอ่อนโยนทำให้ยอม คล้อยตามโดยปล่อยให้ปรายฝนคลอเคลียชิดใกล้ แม้ก่อนหน้าจะห้ามใจเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้หัวใจที่เคยว่างเปล่าได้มีสาวน้อยเข้าไปยึดครองพื้นที่ในหัวใจเอาไว้ ถึงจะรวดเร็วแต่ความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นมีมากมายเสียจนลืม ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวไปเลยทีเดียว “ปรายถอดเสื้อให้นะคะ” ปรายฝนกระซิบบอกแล้วจูบเบาๆ ที่แก้ม แม่นายใจเดียวพยักหน้าเล็กน้อย เรือนร่างเปลือยเปล่าเคลิ้มไหวไปกับสัมผัสของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างไม่วางตาคล้ายอยากบันทึกทุกสัดส่วนเอาไว้ จุมพิตที่กำลังทาบทับที่หน้าท้องทำเอาแม่นายใจเดียวถึงกับหยุดหายใจ ปรายฝนคลอเคลียไม่ยอมออกห่าง โดยค่อยๆ จุมพิตไปตามเรือนร่าง จนแม่นายใจเดียวรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ ซึ่งมีเรือนร่างแสนน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนทำให้แม่นายใจเดียวพลิกตัวให้ปรายฝนนอนลง โดยเอาตัวเองทาบทับเอาไว้ไม่ ให้ถอยห่างไปไหน สายตาของทั้งคู่ผสานกันปรายฝนค่อยๆ บรรจงเขี่ยเส้นผมแม่นายใจเดียวที่ลงมาปรกหน้าและนำไปทัดไว้ที่หู จุมพิตร้อนแรงเริ่มเบียดชิดเข้าหาโดยปรายฝนตอบรับอย่างร้อนแรงปนเปกับอ่อนหวาน ซึ่งน
ไตรถอนใจ เพราะเมื่อกลับมาที่สำนักงานถึงได้ทราบเรื่องแขกที่มาหาปรายฝน ปลากับกลอยรายงานอย่างละเอียด แต่ไตรแปลกใจกับการไปพบปรายฝนรอแม่นายใจเดียวอยู่ที่ทางเข้าออกทั้งสองไร่ทั้งตอนที่ได้พบกันและดูเหมือนช่วงเย็นด้วย “คงไม่ต้องหาผู้ช่วยใหม่ ถ้าปรายกลับไปแม่นายคงไม่รับผู้ช่วยแล้ว” ไตรพูดขึ้น “น่าเสียดายนะคะ ช่วยงานได้ตั้งเยอะ ทั้งงานแม่นาย งานเอกสาร เข้ากับคนงานได้ดีด้วย ยิ่งคนแก่ยิ่งพูดชมกันทุกคนเลยว่า คุณผู้ช่วยจิตใจดี” ปลาบอกกับไตร “ดูค่ะ แม่นายเดินมาไม่ซ้อนจักรยานเหมือนทุกวัน” ไตรหันไปมอง ดูเห็นแม่นายเดินอยู่ลิบๆ แต่ปรายฝนกำลังนำจักรยานไปจอดข้างสำนักงาน “ผู้ชายคนนั้นท่าทางเป็นอย่างไร” ไตรถาม “หล่อมากค่ะ เป็นดารานักร้อง คนงานตื่นเต้นมาขอถ่ายรูปกันเต็มเลยค่ะ” ปลารายงานให้ไตรทราบ “ถ้าปรายกลับไป แม่นายจะเป็นอย่างไร” ไตรคิดแต่ไม่ได้พูดออกมารีบออกไปจูงจักรยานเพื่อไปรับแม่นาย “พี่ไตรอย่าไปเลย รออยู่ที่นี่ดีกว่า” กลอยรีบมาทักท้วง “จริงของกลอย แม่นายอาจจะเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ ไปกินข้าวกันดีก