ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรัก
ตอนที่ 6
เก๋า
สองชั่วโมงต่อมา
ผมร้อนเงิน…
ก็ร้อนมากพอสมควร และเหมือนเห็นทางสวรรค์ตอนได้เจอกับกานดา
กานดาเป็นผู้หญิงประเภทที่ว่าไม่ใช่คนสวย แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือยิ่งนั่งมองคนตรงหน้าก็ยิ่งดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัย ดูเข้าถึงง่าย อารมณ์ดี ยิ้มเก่ง เหมือนชีวิตไม่มีเรื่องให้เครียด
แม้จะเป็นคนแปลกนิดหน่อยแต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ และพอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ตกลงชวนผมทำสัญญาเพื่อนเที่ยวอะไรแบบที่ว่า
“ข้อที่ห้าสิบสอง… ไปดูคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี…”
“…”
“ข้อที่ห้าสิบสาม… แวะไปไหว้ศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นต่อ…”
“ใช้คำว่าแวะไม่ไหวมั้ง”
“…”
ผมตัดสินใจขัดขึ้นในจังหวะนี้เอง พร้อมทั้งดึงกระดาษแผ่นที่อีกฝ่ายกำลังพยายามร่างเขียนด้วยลายมือยึกยืออ่านแทบไม่รู้เรื่องมาดู หลังจากกวาดตามองหนึ่งรอบก็ดึงปากกามาด้วย
“ปีนเขาไม่น่าไหว… บันจี้จั๊มตัดออกไปเลย… อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ไปเอเวอร์เรสท์?”
“แพงอยู่แต่น่าจะจ่ายไหว…” น้ำเสียงยานคางเอ่ยตอบ และผมก็อดที่จะแค่นหัวเราะอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้ดูสภาพตัวเองเลยสินะ…
“ไม่ใช่แค่มีเงินแล้วพี่จะทำได้ทุกอย่าง”
“ก็แล้วทำไมจะทำไม่ได้ ยังไงปีนี้ก็ต้องทำให้หมด…”
“ข้อนี้ไม่ได้ ข้อนี้ก็ไม่ไหว อันนี้หนัก”
ผมทำเป็นเมินคนที่กำลังนั่งตัวกลมกอดขวดเบียร์อยู่ฝั่งตรงข้าม พอเจ้าตัวเห็นเข้าก็ถึงกับถลึงตามอง ตอนที่ผมขีดฆ่าหลายข้อออกจากรายการ ‘สิ่งที่ต้องการจะทำ’ ของผู้ว่าจ้างแบบไม่คิดจะรักษาน้ำใจ
มองตามหลักความเป็นจริง ส่วนใหญ่ล้วนทำได้ทั้งนั้น แต่ก็อย่างที่บอกว่าบางอย่างแค่เงินมันไม่พอ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงมากพอก็เป็นไปไม่ได้
ยิ่งยัยนี่แทบจะไม่มีกล้ามเนื้อ มีแต่ชั้นไขมันพูนพอกใต้ผิวเนื้อสีขาวอมชมพู จะเอาแรงที่ไหนไปทำกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมประเภทนี้
“เธอตัดออกเยอะขนาดนี้แล้วฉันจะเหลืออะไรให้ทำ?”
เจ้าของดึงกระดาษแผ่นเดิมกลับไปกวาดตามองอยู่หลายรอบ แล้วทำหน้าบึ้ง สองข้างแก้มแดงปลั่งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แต่ก็ไม่วายยกเบียร์ขึ้นกระดกต่อ มันไหลลงตามลำคอจนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด
ก็ทนมองอยู่ไม่ไหวต้องดึงเอาทิชชูมาปาดเช็ดให้ คนเมาปัดมือผมออก หรี่ตามองมาอย่างจับผิด
“เธอจะโกงฉันใช่ไหม? ไหนว่าทำได้ทุกอย่าง?”
“ผมทำได้หมดตามที่โฆษณา คนที่ไม่น่าไหวคือพี่ต่างหาก”
“มันจะไม่ไหวได้ไง?”
“พูดตรง ๆ ก็คือพี่น้ำหนักมากเกินไป และดูเหมือนไม่เคยออกกำลังกาย”
ก็ไม่ได้พูดเปล่าแต่เลื่อนสายตามองสำรวจไปด้วย…
จริงแล้วกานดาก็ไม่ได้อ้วนเผละอะไรขนาดนั้น แต่ตรง ๆ ก็ต้องยอมรับก่อนว่าอ้วน ถึงใบหน้าจะหลงเหลือเค้าความสวยที่แค่มองก็รู้ว่าตอนผอมคงจะสวยมาก
นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ริมฝีปากอิ่มก็เป็นกระจับชัดสีชมพูระเรื่อแบบที่ไม่ต้องพึ่งลิปสติก ประกอบกับผิวหน้าเนียนใสที่เห็นไปถึงเส้นเลือด องค์รวมของรูปหน้าสวยไม่หยอกแค่ตอนนี้เนื้อหนังมันเยอะไปหน่อยก็เท่านั้น หากหน้าตาไม่ได้มีผลอะไรต่อการใช้ร่างกาย
สภาพที่แลดูอ่อนแรงเหมือนไม่เคยออกกำลังอย่างที่ผมได้สังเกตมาตั้งแต่เมื่อคืนวานมากกว่าที่จะส่งผลต่อไอ้กิจกรรมแต่ละอย่างที่ลิสต์มา
“ก็แล้วมันจะเหลืออะไรให้ทำไม่ทราบ?”
“ที่ทำได้วันนี้แน่ ๆ ก็มีข้อนึง…”
“อะไร…”
“ข้อที่หนึ่ง”
“ไหนดูก่อน”
คนเมาเลื่อนสายตาขึ้นดูที่หัวกระดาษ พยายามเพ่งมองอยู่ครู่ก็เงยหน้าขึ้นสบ พวงแก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักขึ้นไปอีก ผมแสร้งตีหน้านิ่งพยายามจะไม่ขำ และเพราะรู้ว่ากานดาเขินก็อดไม่ได้ที่จะเปรยเสนออีกหน
“เอาไง? จัดเลยไหม?”
“บ้า”
“บ้าไร… ก็เห็นอยู่ แถมยังเขียนตัวใหญ่กว่าข้ออื่นด้วย”
“เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ” คนจ้างว่างั้นแล้วก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มแก้เขินอีกหลายอึก
“ที่จ่ายให้ผมแพงขนาดนี้พี่คงไม่ได้หวังจะให้แค่พาไปนู่นนั่นนี่หรอกใช่ไหม?”
“ก็แหงอยู่แล้ว”
“แล้วจะให้รออะไร? ไม่อยาก?”
“…”
ผมถามแบบตรงไปตรงมา เพราะการเริ่มต้นของเรามันก็ค่อนข้างชัดเจน กานดาไปที่บาร์นั่นคนเดียว กล้าพาผมกลับห้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคิดอะไร แต่พอเอาเข้าจริงกลับขัดเขินไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
ผมมันผู้ชาย อะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่แบบนี้ก็ออกจะเอาเปรียบผู้บริโภคเกินไปหน่อย ถ้าแค่พาไปที่นั่นที่นี่ไม่ต้องเรียกค่าตัวแพงขนาดนี้ก็ได้…
ระหว่างเรามีการตกลงถึงขั้นทำสัญญากันแล้วนั่นหมายถึงผมเองก็พร้อมที่จะทำงานเหมือนกัน ไม่อยากจะเอาเปรียบใครทั้งนั้น แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่คิดจะใช้วิธีนี้หาเงินก็ตาม ถึงอย่างนั้นถามแล้วถามอีกอีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบ
“ว่าไง?”
“เธอรีบเหรอ?”
“ผมไม่รีบ แต่คิดว่าพี่ควรจะรีบนิดหน่อย… เดี๋ยวไม่คุ้มแล้วจะมาโทษไม่ได้นะ”
“…”
เรามองกันด้วยสายตาตรง ครั้งนี้กานดาไม่ได้หันหนีแต่ก็ไม่ยอมตอบอะไร ผมเลยเป็นฝ่ายตัดสินใจให้เอง
เสื้อที่ใส่อยู่ถูกถอดออกในจังหวะนี้ เราสองคนย้ายจากการนั่งดื่มที่โต๊ะมานั่งบนพื้นได้สักพักแล้ว บรรดาขวดเบียร์ที่กั้นระหว่างกลางถูกเลื่อนไปด้านข้าง สายตาตื่นกังวลเหมือนกันกับเมื่อวานฉายชัดตอนที่ละล่ำละลักเอ่ย ยกมือสองข้างดันแผ่นอกผมเอาไว้
“คืนนี้เมาคงไม่ไหวหรอก”
“ผมบริการเอง พี่นอนเฉย ๆ”
“เดี๋ยวสิ!”
กานดาเบี่ยงตัวพยายามคลานหนี และผมก็เสือกคลานตามไปคว้าข้อเท้าเอาไว้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่สาวบอบบางแต่ด้วยความที่ผมเองก็มีรูปร่างสูงใหญ่ทั้งยังแรงเยอะแค่ดึงข้อเท้าเอาไว้คนที่พยายามจะหนีก็ไปไหนไม่ได้แล้ว
“เธอมีรสนิยมชอบของแปลกหรือไง!” เสียงหวีดแหลมยิ่งกว่านกหวีดดังจนผมต้องเอานิ้วแยงหู
“ผมปกติดี พี่ต่างหากที่น่าจะไม่ปกติ”
“ฉันไม่ปกติตรงไหนไม่ทราบ! เธอเอาแต่วนเข้าเรื่องนี้ทั้งที่ไม่ต้องก็ได้ หรือว่าเธอเป็นพวกหัวรุนแรง!”
ผมขมวดคิ้วมองคนที่ตีโพยตีพายไปเรื่อย และปากมันก็เร็วกว่าสมองรู้ตัวอีกทีก็พูดไปแล้ว
“จริง ๆ ก็นิยมนิดหน่อย แต่ถ้าคู่นอนขอก็จัดได้”
“ธะ… เธอ… มิน่าล่ะ ๆ ๆ” กานดายกมือขึ้นเสยผม สีหน้าแตกตื่นหนักขึ้นไปอีก
“อะไร?”
“มิน่าล่ะถึงได้ดีลงานง่ายขนาดนี้!”
“พี่มากกว่ามั้งที่ดีลด้วยง่าย”
“ยะ… ยกเลิกสัญญาทันไหม…”
“ฝันเหอะ”
ผมสั่นหัวปฏิเสธทันที และอีกฝ่ายก็กระโดดลุกขึ้นยืนแบบที่ไม่ดูสังขารตัวเอง จังหวะต่อมากานดาก็ล้มคว่ำไปอีกทาง เหตุคงจะเป็นเพราะเมาจนทรงตัวไม่อยู่
“อย่าเข้ามานะไอ้โรคจิต!” คนเมาหันมาตวาดแหวใส่เสียงดัง หวาดกลัวจนปากคอสั่น ถึงตรงนี้ผมก็แค่นหัวเราะ
“แล้วแต่นะ นี่ออฟเฟอร์ให้สุด ๆ แล้ว”
“…”
“ผมแค่กลัวพี่จะเสียเปรียบ…”
“…”
“คนเขาแค่มีจรรยาบรรณ ไม่เอาเปรียบลูกค้าก็ดันถูกมองว่าเป็นโรคจิต”
สุดท้ายผมก็หมุนตัวกลับมาหาขวดเบียร์ ส่วนอีกคนเงียบอยู่นานก็เดินผ่านหน้าไปยังประตูห้องน้ำ สายตาระแวดระวังภัยมองกลับมาหลายต่อหลายที
“ฉันจะอาบน้ำก่อน อย่าได้คิดมาแอบดูเชียว” ตาเขียวมองค้อน และผมก็พยักหน้ารับบัญชาอย่างว่าง่าย
“จ้ะ”
หลงตัวเองจริงแม่คุณ…
กานดาเข้าไปอาบน้ำตามปากว่า ส่วนผมก็นั่งดื่มเบียร์ต่อ เอากระดาษแผ่นเดิมมาดู สายตาเลื่อนอ่านไปทีละข้ออย่างช้า ๆ แม้ลายมือที่คนเมาเขียนจะอ่านแทบไม่ออกแต่ก็พอรู้เรื่อง
“สิ่งที่อยากจะทำ…” รู้อีกทีก็พึมพำเสียงเบากับตัวเอง
สายตาหันมองไปยังบานประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ถ้าว่าผมแปลกที่รับงานแบบนี้ คู่สัญญาคงน่าประหลาดกว่า เจ้าตัวบอกว่าพักงานเป็นปี ทั้งยังมีแพลนทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูไม่เข้ากันเลยกับบุคลิกตัวเองเลยแม้แต่น้อย
สภาพคอนโดที่พักก็เป็นคอนโดขนาดกลางไม่ได้หรูหราใหญ่โต เสื้อผ้าหน้าผมก็ค่อนข้างธรรมดาไม่ได้เรียบหรูอะไร ไม่ใช้ของแบรนด์เนม ไม่ได้มีกลิ่นอายความร่ำรวย แต่กลับยอมจ่ายเงินจ้างผมเป็นแสน และดูท่าคงจะไม่เคยใช้เงินซื้อกินมาก่อนด้วยซ้ำ
ตอนแรกผมเองก็แอบรู้สึกกังวล แต่พออีกฝ่ายตั้งท่าจะโอนเงินให้จริง ด้วยสีหน้าท่าทางที่โคตรจะไร้เดียงสาทั้งที่อายุมากกว่ากันไม่รู้ตั้งกี่ปี ก็อดเห็นใจไม่ได้
ผมจะเอาเงินมาก่อนได้ก็จริง แต่ผู้ว่าจ้างอาจจะเป็นฝ่ายกระสับกระส่ายกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายโกงก็เป็นได้ ยังไงเราก็ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมสุดท้ายแล้วผมเลือกที่จะทำงานก่อนเอาเงิน
แต่แม้จะอยากทำงานจนตัวสั่นให้คุ้มค่าจ้างแค่ไหน ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่เรียกร้องเอาเองง่าย ๆ พอตัดสินใจแทนก็กลายเป็นไอ้โรคจิต
โรคจิตที่ไหนจะหน้าตาดีขนาดนี้…
เจ้าของห้องหายเข้าไปนานมาก นานพอที่จะทำให้ผมกินเบียร์ทั้งหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ขวดเดียว กระนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ออกมา
ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเกิดอันตรายเลยตัดสินใจเดินไปดู ก็อย่างที่กานดาบอกว่าตัวเองนั้นไม่เคยเมามาก่อน บางทีอาจจะลื่นล้มหัวกระแทกพื้นอยู่ในห้องน้ำก็ได้
ไหนจะยังข้าวของกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือก็วางทิ้งไว้แบบนี้ โคตรจะไม่ระวังตัว ผมมีสิทธิ์เปลี่ยนอาชีพเป็นมิจฉาชีพได้ทุกวินาที แต่เหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้คิดถึงข้อนี้เลย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เป็นไรไหม?”
“…”
“กานดา…”
“…”
ไร้เสียงตอบรับจากเลขหมายปลายทางที่ท่านเรียก…
ลูกบิดไม่ได้ล็อก และจังหวะถัดมาผมก็เปิดประตูห้องน้ำเข้าไป…
ไฟในห้องน้ำสว่างโร่ โซนเปียกมีม่านกั้นอาบน้ำถูกรูดปิดไว้ เสื้อผ้าชุดเก่าถูกถอดร่อนไว้บนพื้นแบบส่งเดช และกานดาก็ทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่เพศชายเท่านั้นที่สามารถถอดกางเกงชั้นในม้วนเป็นเลขแปดได้ ผู้หญิงเองก็ทำได้เหมือนกัน
ผมเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่คิดเล็กคิดน้อย ประกอบกับเราดีลกันแล้ว เรื่องอย่างว่าคงต้องเกิดขึ้นไม่คืนใดก็คืนหนึ่งเลยไม่ลังเลใจที่จะเดินไปรูดม่านกั้นระหว่างโซนเพื่อเปิดออก
ที่มุมด้านหนึ่งมีดักแด้ยักษ์นั่งห่อตัวอยู่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ ใบหน้ากลมแดงปลั่งหลับตาพริ้ม ดักแด้ที่ว่าคงจะเมาจนหลับไปแล้ว ผมย่อขาลงนั่งตรงหน้าก่อนจะสะกิดเรียก
“กานดา”
“อืม”
“ไปนอนบนเตียง”
“อืม”
“…”
คนเมาขยับตัวเล็กน้อยแต่ไม่ยักเปิดเปลือกตาขึ้นมอง และผมก็เริ่มรับรู้ถึงความยากลำบากที่จะต้องเผชิญในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ปากไม่คิดจะเรียกซ้ำเพราะยังไงเจ้าตัวคงไม่ตื่น
สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ สายตาเลื่อนต่ำลงมองเรียวขาที่คงจะเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของร่างกายอีกฝ่าย เพราะการนั่งชันเข่าทำให้ชุดคลุมมันร่นลง ความขาวเนียนเห็นไปถึงไหนต่อไหนจนต้องเบนสายตาหนี
มันก็ทั้งขาว ทั้งอมชมพู เนียนสะอาด…
ขารีบหยัดยืนขึ้น และถึงกับต้องสะบัดหัวเรียกสติให้กลับมา ไอ้ที่ว่าแข็งอยู่ตอนนี้คงไม่ใช่เพราะพิศวาสนิยมของแปลก รสนิยมคงจะไม่ผิดเพี้ยนขึ้นมาแค่เห็นไอ้อะไรชมพู ๆ นั่นแน่
ก็คงจะแค่เริ่มเมา…
สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันแบกร่างหนักอึ้งของกานดามาส่งที่เตียง น้ำหนักตัวก็หนักพอกับที่ประเมินเอาไว้คร่าว ๆ ในใจ กว่าจะแบกมาส่งถึงเตียงได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกแข้งขาซวนเซทรุดลงนั่งที่ขอบเตียง ขณะที่ยัยหมูพลิกตัวไปอีกทางอย่างสบายใจเฉิบ
มองแล้วก็ได้แต่แค่นหัวเราะ โชคดีแค่ไหนที่ลองเชิงให้ดื่มที่ห้องก่อน ขืนเมามาจากข้างนอกไอ้เก๋าได้ตายยังเขียดแน่ ๆ
หลังจากนั้นผมก็เก็บบรรดาขวดเบียร์ที่ดื่มจนเกลี้ยงใส่ถุง เก็บเสร็จก็มาหยุดยืนมองอยู่ที่ข้างเตียง
ยัยนี่… สุดยอดของผู้หญิงที่ไม่ระวังตัว…
เราทำสัญญากันก็จริง แต่ไม่ได้มีพยานมารู้เห็นด้วย พูดตามตรงก็เรียกได้ว่าเป็นสัญญาใจเลยด้วยซ้ำ เราสามารถจะเทกันเมื่อไรก็ได้ เพราะยังไงก็ไม่มีผลทางกฎหมาย และอีกอย่างกานดาก็คงไม่แจ้งความหากว่าผมหายไป เพราะแต่ละอย่างที่ระบุบอกในข้อสัญญาก็ค่อนข้างเป็นดาบสองคม
ใครมันจะไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่าตัวเองจ้างผู้ชายเที่ยว ไหนจะเรื่องเซ็กซ์ก็อีก
และถ้าหากคนที่ยัยนี่ทำสัญญาด้วยไม่ใช่ไอ้เก๋าคนนี้ มีหวังคงโดนยกเค้าหมดตัวตั้งแต่วันแรก เผลอ ๆ เจอโรคจิตเข้าให้จริง ๆ คงไม่ได้นอนหลับสบายกรนเบา ๆ น้ำลายไหลยืดเป็นทางแบบนี้
ผ่านไปหลายนาทีที่ผมประเมินสภาพความมึนเมาของตัวเองว่าสามารถขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านได้หรือเปล่า และได้บทสรุปว่าต่อให้เมาหรือไม่เมา นอนนี่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
รู้อีกทีก็ถอดกางเกงออกเลื่อนตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเจ้าของห้องที่กำลังนอนตะแคงตัวหลับอย่างสบายอารมณ์
ชุดคลุมที่กานดาใส่อยู่ดูจะไม่ช่วยคลุมห่าอะไรได้ทั้งนั้น ยิ่งนอนก็ยิ่งหลุด แต่ที่จะหลุดตามก็คือสติสัมปชัญญะของผมเอง
ผมได้เลื่อนหัวคิ้วเข้าหากัน ดึงสายตากลับมาอย่างร้อนรน…
มันไม่ได้ไหมวะ… รสนิยมกูนี่ชักจะประหลาดขึ้นทุกวัน…
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 7 ฉันตื่นนอนมาในสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าเป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ส่วนอื่น ๆ ถูกห่ออยู่ในผ้าห่มผืนหนา และตอนที่พยายามจะดึงผ้าห่มเพื่อนอนคลุมโปงก็รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง มันดึงไม่ขึ้น เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับไว้ ดวงตาสะลึมสะลือเมื่อครู่เบิกโพลงขึ้นอย่างตระหนกตกใจ หันกลับไปมองที่ด้านหลังก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นร่างเหยียดยาวของใครคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างกัน “กรี๊ด!!!” เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูที่ดังขึ้นเป็นเสียงของฉันเอง พร้อมกันก็ยกเท้าถีบคนแปลกหน้าที่ก็ยังไม่ทันได้เห็นหน้า แต่แม้จะถีบเต็มแรงคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ กลับไม่ได้ร่วงหล่นลงจากเตียงอย่างที่ใจคิด “อะไรวะ?” เสียงของไอ้คนที่ว่าดังขึ้นพร้อมกันก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าแตกตื่นไม่แพ้ฉัน และแค่เขาหันหน้ามาก็ถึงบางอ้อในจังหวะนี้นี่เองว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา “เป็นอะไร?” เก๋าเลิกคิ้วมอง ส
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 8 ฉันรีบเดินออกจากร้านพยายามเดินตามคนทั้งคู่ แต่ดันมาคลาดกันตรงหัวมุมหนึ่ง ทีนี้กวาดตามองเท่าไรก็ไม่เจอซะแล้ว ถ้าหากเก๋ามีแฟนอยู่แล้วจริง แต่ดันมารับงานแบบนี้มันก็น่าทุเรศไปหน่อย น่าสงสารน้องผู้หญิงคนนั้นจะตาย ถึงตอนนี้ก็ได้แต่จินตนาการไปตามเรื่องตามราว เอาเป็นว่าเจอหน้ากันคงจะต้องสอบปากคำอีกสักที “ทำอะไร?” “…”ฉันหลังกลับโดยสัญชาตญาณเพราะมีใครสักคนสะกิดเข้าที่ไหล่ และไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่เป็นคนที่ตามเดินดูเมื่อครู่นี้เองไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามคนที่จู่ ๆ ก็เป็นฝ่ายโผล่มาให้เจอเอง สายตากวาดมองไปรอบตัวของอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก เผื่อจะเจอน้องคนนั้นด้วย แต่ก็ไม่มีเก๋าขมวดคิ้วหันซ้ายหันขวามองตาม ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง“พี่ตามใครอยู่?”“ก็ตามเธอไง”“เป็นสตอล์กเกอร์หรือไง?”“จะบ้าเหรอ?”ฉันยกของที่กำลังหอบหิ้วอยู่ให้อีกฝ่ายดู พร้อมทั้งขยายความ “วันนี้ฉันออกมาซื้อของ และบังเอิญเห็นเธอ…”“แล้วตามผมมาทำไม?”“…”“ตามผมกับน้องมาทำไม?”“…”เจ้าตัวถามเข้าประเด็น เดาจากสีหน้าคงรู้แล้วว่าฉันไม่ได้เห็นเขาแค่คนเดียวแต่เห็
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 9สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเสียงดัง หันกลับมาจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาในวันนี้เก็บเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย เวลาไม่นานนักคนในห้องน้ำก็เดินออกมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว “ขอเสื้อผ้าสักชุด” ฉันที่พยายามจะทำใจให้สบายแล้ว จำต้องหันกลับไปมองอีกรอบ“จะมาใส่ของคนอื่นมั่วซั่วได้ยังไง?” “เดี๋ยวอย่างอื่นได้ใส่ยิ่งกว่านี้อีก แค่เสื้อผ้าจะเป็นไรไป” “…”เพราะคำพูดกำกวมของพ่อคนพูดตรง ทำเอาฉันเกิดจะสะอึกขึ้นมา แต่จะห้ามก็ไม่ทันแล้ว “พี่กับผมน่าจะใส่เสื้อผ้าไซซ์เดียวกัน เพราะงั้นใส่ได้” “ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างเหรอ?”ฉันยืนเท้าสะเอวมองแต่เก๋าก็ทำหูทวนลม แล้วเสื้อยืดตัวเก่งของฉันก็ถูกคนอื่นเอาไปใส่หน้าด้าน ๆ แบบที่ทำได้แค่มอง เห็นอยู่โต้ง ๆ ว่าคงจะไปสู้รบปรบมืออะไรไม่ได้ บวกกับปกติฉันไม่ได้หวงของขนาดนั้น สุดท้ายเลยเดินหนีไปอาบน้ำแทน หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาเข้านอน ใจรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่เห็นร่างสูงเหยียดกายนอนคว่ำอยู่บนเตียง เก๋ากำลังอ่านอะไรบางอย่างจากหน้าจอโ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 10 หนึ่งชั่วโมงต่อมา “ฉันไม่เข้าใจเลย… ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” “…” “ฉันกับผู้ชายคนนั้นเราคบกันมาตั้งสิบปี มันไม่มีความผูกพันอะไรบ้างเลยเหรอ?” “…” “ไหนจะยังเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีก็ด้วย” “…” “แถมยังมีหน้ามาเชิญไปงานแต่งงานอีก ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร” “…” “น่าทุเรศ ที่คนไม่ได้ทำอะไรผิดแบบฉันจะเป็นฝ่ายเหลือตัวคนเดียว” “…” คงเพราะเบียร์… ทำให้ตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมปากตัวเองเอาไว้ได้ คิดอะไรอยู่ก็พรั่งพรูออกไปหมด ยิ่งในหัวคิดเวียนวนถึงอดีตคนรักกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีมากเท่าไร บ่อน้ำตาก็ยิ่งระเบิดหนักมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่เคยมีใครได้มารับฟังปัญหาที่สั่งสมมาแรมปี ทำให้ตอนนี้เหมือนคลื่นอารมณ์หลั่งไหลออกจากห้วงคิดไม่หยุดเพราะไม่เคยได้ปรึกษาใคร ทำให้ตอนนี้คนตรงหน้าที่รู้จักกันได้ไม่กี่วันกลายเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ไปโดยปริยาย ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่ทำให้ฉันรู้สึกอยาก
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 11 วันต่อมา ก๊อก ก๊อก ก๊อก แม้จะกำลังวุ่นวายอยู่กับการฝึกแต่งหน้า…แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องละมือจากบรรดาเครื่องสำอางทั้งหลาย เร่งรุดไปเปิดประตูให้คนด้านนอกที่ตอนนี้มีคีย์การ์ดเข้าตึกอีกอันแล้ว เพราะฉันเพิ่งเบิกมาให้เมื่อวาน แต่แน่นอนว่ากุญแจห้องฉันไม่ได้ให้ไปด้วย วันนี้เก๋าไม่ได้อยู่ในชุดนิสิตเหมือนทุกที แต่อยู่ในชุดไปรเวตอย่างเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีน รองผ้าใบ เป็นการแต่งตัวที่ไร้ซึ่งความหรูหราทว่าออร่ากระจาย นั่นคงเพราะด้วยรูปหน้าคมชัดไปทุกส่วนแค่มองก็ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จตลอดเวลา และที่แปลกไปอีกอย่างคือวันนี้เจ้าตัวสะพายกระเป๋ากีตาร์มาด้วย “เธอจะไปทำงานเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถาม แล้วรีบเดินกลับมาหย่อนกายลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งต่อ “ทำดึก ๆ” “ที่บอกว่าเล่นดนตรีใช่ไหม?” “อืม” “ซอยข้าง ๆ มีร้านหมูกระทะมาเปิดใหม่ มีโปรฯ มาสองจ่ายหนึ่ง ฉันว่าเราต้องไปจัดกันสักหน่อย” เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ลงบนพื้น แล้วหันกลับมาเท้าสะเอวมอง
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 12 เที่ยงคืน จะว่าที่นี่เป็นร้านเหล้าลับ ๆ ก็ไม่น่าจะถูกนัก ด้วยจำนวนลูกค้าเนืองแน่นในร้าน ทั้งคนที่นั่ง คนที่เดิน รวมถึงคนที่เพิ่งจะมาถึงซึ่งกำลังทยอยกันเข้ามา หากจะขัดกันก็ตรงสถานที่ตั้งของร้านที่ดูลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นร้านเหล้า ตัวร้านตั้งอยู่ลึกเข้ามาเกือบจะสุดซอย บรรยากาศร้านติดริมคลอง และเท่าที่สังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ก็พบว่าลูกค้าส่วนมากล้วนเป็นนิสิตนักศึกษาด้วยกันทั้งสิ้น มันไม่ใช่ผับบาร์ที่ทุกคนล้วนแต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็ม หากแต่ที่นี่ชายหญิงหลายคนออกมาทั้งชุดนอน บ้างก็ใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น และเพราะบรรยากาศเป็นแบบนี้ทำให้ฉันไม่รู้สึกขัดเขินมากนักหากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนอีกแบบอาจจะรู้สึกดาวน์ขึ้นมาได้ พูดง่าย ๆ ก็คือสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกรู้สึกผ่อนคลาย และใช่… ฉันเพิ่งเคยมาร้านนั่งดื่มแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ซ้ำยังนั่งคนเดียวเปล่าเปลี่ยววิเวกเอกาแบบสุด ๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหันมาสนใจ เสียงดนตรีสดกำลังเล่นคลอไปกับบรรยากาศสุดแสนจะครึกครื้นแลดูคึกคัก แต่ละ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 13 ขี่ออกมายังไม่ทันถึงไหน คนซ้อนก็เปิดกระจกหมวกตะโกนแข่งกับเสียงลม “อยากเข้าห้องน้ำ” “อั้นก่อนได้ไหม?” “แวะปั๊มเลย!” ไม่มีทางเลือกนอกจากจะหักหัวมอเตอร์ไซค์เข้าปั๊มขนาดไม่ใหญ่นักที่บังเอิญอยู่ข้างทางพอดี จอดรถได้กานดาก็รีบถอดหมวกโยนส่งเดชมาให้ แล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำโดยไม่เอ่ยอะไรอีกดูท่าจะปวดหนัก… เพราะคิดว่าคงต้องรอนานเลยดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบคั่นเวลา พลางก็เลื่อนมือถือดูกำหนดการไปต่างจังหวัดที่กานดาส่งมาให้เมื่อวันก่อนอีกรอบทางแชตไปด้วย ยัยนี่คงจะว่างมากจริง ๆ คนบ้าอะไรจะอยากทำมันทุกอย่างเหมือนเก็บกดมานานได้ขนาดนี้ ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าแรงบันดาลใจในการปีนเขาของกานดาคืออะไร แต่ถึงพูดไปก็เท่านั้นคงต้องให้เจ้าตัวรู้เองว่าสภาพร่างกายไม่พร้อม ไม่ได้ก็คือไม่ได้แต่ส่วนใหญ่ก็พอไหว… ที่บอกว่ากลัวอีกฝ่ายใช้งานไม่คุ้มค่าจ้างผมหมายความแบบนั้นจริง ๆ เราเจอกันแค่ตอนเย็นแถมยังแค่กินข้าว ไม่ได้มีกิจกรรมเยอะขนาดที่ว่าจะต้องจ่ายเป็นแสน เสนอตัวก็แล้ว อะไรก็แล้ว ยังนิ่
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 14 หลายวันต่อมา ไม่รู้เมื่อไรเหมือนกันที่ฉันสามารถทำใจให้ชินกับการตื่นมาแล้วเจอคนแปลกหน้านอนอยู่ข้าง ๆ บนเตียงเดียวกันแบบนี้ได้… รู้อีกทีก็ผ่านมาได้หลายวันแล้วกับการตื่นมากี่ที ๆ ข้างกายก็มีร่างเหยียดยาวนอนห่อตัวคลุมโปงอยู่เสมอ โดยที่ระหว่างเรายังไม่ผ่านการจ้ำจี้กันแม้แต่รอบเดียว แม้ว่าช่วงแรกเก๋าจะฮาร์ดเซลล์หนักมากแต่ระยะหลังก็ไม่ค่อยพูดถึงนัก แต่หากมีโอกาสก็พยายามจะนำเสนอเสมอ ที่เก๋ามานอนด้วยติดต่อกันหลายวันคงไม่ใช่เพราะหนืดเหนียวอยากจะประหยัดค่าไฟที่บ้านอย่างที่กล่าวอ้างไปเมื่อคราวก่อน แต่คงเป็นเพราะเวลาที่มีอย่างจำกัดคงไม่อยากเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับที่นี่ ประกอบกับมีการสอบตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาเจ้าตัวคงอยากเหลือเวลาให้ได้อ่านหนังสือเมื่อวานนี้เองที่การสอบวันสุดท้ายสิ้นสุดลง และหลายวันผ่านไปฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากการเป็นผู้ปกครองเด็กโข่งเลยแม้แต่นิดเดียว ก๊อก ก๊อก ก๊อก เพิ่งจะตื่นได้ไม่ถึงห้านาทีก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ใช่แค่ฉันค
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 3 หลายปีต่อมา เพราะมีบ้านแล้วและเพราะฉันว่างมากจากอาชีพเดิมคือการเป็นเทรดเดอร์ นอกจากวัน ๆ จะต้องนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้น ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา ฉันก็ว่างแหละ ไม่ก็พยายามจะว่าง…ช่วงนี้ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน จัดการทำข้าวกล่องส่งขายตามตลาดเช้าเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้เดิมที่มันก็ไม่ได้แย่อะไร และกว่าข้าวกล่องพวกนี้จะเสร็จก็กินเวลาเกือบเจ็ดโมงหากเป็นวันธรรมดาในเวลาเดียวกันนี้ จะได้เห็นร่างสูงของเก๋าในเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ได้เห็นคนที่ว่าอยู่ในสภาพดังกล่าวฉันอาจจะลืมเล่าไปถึงเรื่องที่ว่า คนเป็นสามีเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา และตอนนี้กำลังทำงานควบคุมออกแบบ ติดตั้งเครื่องจักรกลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงหน้าตาเก๋าเหมือนไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่อย่างที่เห็นว่าพอจะได้เรื่องอยู่บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดของเก๋า แต่กลับได้ยินเสียงคนที่ว่าดังมาจากทางห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของตัวบ้านตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง และไม่ใช่เสียงเก๋าคนเดียว… แต่ม
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 2 “คุณเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงติดขัดเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาจะเลื่อนขึ้นสบในวินาทีต่อมา “ชีวิตฉันตอนนี้ดีมาก ดียิ่งกว่าปีไหน ๆ”ฉันเอ่ยตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม แม้จะแฝงไปด้วยอารมณ์เกลียดขี้หน้าเหลือประมาณก็ตามที “ผมคิดถึงคุณนะ” คงเพราะสายตาสื่อความนัยแบบที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไร ส่งผลให้รอยยิ้มของฉันคลายลงโดยอัตโนมัติ พึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเค้นขู่ลอดไรฟัน “เกิดจะคิดถึงขึ้นมาได้เชียว” “เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันไหม? ผมเป็นเจ้ามือเอง ยังไงก็คนคุ้นเคย…” คำว่า ‘คนคุ้นเคย’ กับการแสดงออกผ่านสายตาน่ารังเกียจ ทำเอาฉันรู้สึกอยากจะขย้อนอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ธนาก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าสู่หน้าแอปพลิเคชันสำหรับใช้ติดต่อ “พลอยคงจะเสียใจถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้” คนฟังระบายรอยยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้ง แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งทุเรศหู “พลอยไม่รู้หรอก” แล้วก็ยื่นโทรศัพท์มา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 1 เขาว่ากันว่าเวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรมักจะได้อย่างนั้น ผลของการกระทำมักจะเข้าเล่นงานแบบไม่ทันให้ตั้งตัว… ห้างสรรพสินค้า S ฉันกับเก๋าเราออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวย้ายเข้าสู่เรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ร่วมสองเดือน และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ชายที่เมื่อแรกเจอเราทั้งคู่กัดกันยิ่งกว่าอะไร… “ที่รัก” “…” “ที่รัก” “…” “กานดา” “ฮะ?” เพราะฉันกำลังให้ความสนใจกับของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมาะน่าจะเอาไปตั้งในห้องนอนของเรา เลยไม่ทันได้ยินเสียงของคนด้านหลัง หันไปมองก็พบว่าคนเรียกกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สีหน้าเบื่อหน่ายฉายชัด “ทำไมจะต้องสรรหาสรรพนามอื่นมาเรียกกันด้วย? ผมเรียก พี่ก็ไม่หันอยู่ดี” “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน เรียกอีกที ๆ” “…” ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดข้อตกลงเรื่องล่าสุดระหว่างเราจำต้องรีบหมุนตัวกลับอีกครั้ง แสร้งทำเป็นดูของตกแต่งชิ้
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 52 สามปีต่อมา ฉันหมดแรงทิ้งเข่าทรุดกายลงตรงจุดซึ่งมีธงปักอยู่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาซึ่งอยู่ทางแถบภาคตะวันตกของประเทศเป็นที่เรียบร้อย ด้านบนนี้ลมพัดแรงจนผมเผ้าที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสะบัดปลิวพลิ้วไหว ขายาวของคนที่มาด้วยกัน หยุดยืนลงที่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเก๋านั้นไม่ได้ดูหมดสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งแสดงออกว่าเหนื่อยสักนิดก็ยังไม่มี คนเป็นแฟนยืนทิ้งเข่า ยกขวดน้ำขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพของเหล่าภูเขาสลับซับซ้อนเรียงรายมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนนัยน์ตาซึ่งหรี่เล็กน้อยเพราะแรงลมจะเลื่อนต่ำลงมองสภาพของฉันด้วยสายตาที่บ่งชัดว่ากำลังสมน้ำหน้ากัน โอเค…ฉันมันบ้าเองที่อยากจะเดินป่าขึ้นเขาขึ้นดอยให้ได้ และตอนแรกเก๋าก็ไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรประเภทนี้ถึงแม้ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำก็จริง แต่เพราะยังไม่เคยทำกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนเลยทำให้คนเป็นแฟนมีทีท่าไม่เห็นด้วยอย่างที่บอกเก๋าค้านว่า อย่างน้อยเราก็ต้องมีประสบการณ์เดินทางไกล หรือไม่ก็ต้อ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 51 หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายร้อนผ่าวของฉันนอนทาบทับคร่อมเรียวขาอยู่เหนือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเก๋า ก้นสองข้างกำลังถูกฝ่ามือหนาจับสับโยกเข้าหาความแข็งขืนของตัวตนที่ผงาดกร้าวตั้งเป็นลำตอนนี้เป็นเวลาตีห้าเกือบจะหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น แต่แค่เรานอนกอดนอนเกยกันนิดเดียวก็เกิดจะปลุกเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ เสียงร่องเนื้อรูดขึ้นลงตามจังหวะการทิ้งสะโพกเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้ คนที่นอนอยู่ด้านล่างคลอเคลียจูบเข้าที่ซอกคอ หอมเข้าที่ข้างแก้มไม่หยุดมาตั้งแต่เราเริ่มบรรเลงบทรักเมื่อชั่วโมงก่อน “เสียวไหม?”เสียงห้าวแหบเอ่ยถาม ทั้งมือยังคงควบคุมจังหวะความเร็วอยู่อย่างนั้น ฉันเลื่อนริมฝีปากกระซิบเข้าที่ข้างหูของคนเป็นแฟนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงพร่า“เสียวจนจะแตกอีกแล้ว”“ชอบของผมไหม?”เก๋าหยักยิ้มเอ่ยขอคำชมที่ก็มักจะขอเสมอ และฉันก็ให้คำตอบด้วยการออกแรงขย่มสับรัวเร็วอย่างเอาใจ พลางกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่พร่าสั่นหนักกว่าเดิม“ขึ้นให้ทุกเช้าแบบนี้ เธอคิดว่าชอบไหม?”“ชอบตรงไหน?”“ชอบทุกตรง”“ผมก็ชอ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 50 หลายวันต่อมา หลายวันที่ผ่านไปคนที่บอกว่าจะจีบก็มาจีบทุกวัน เช้ารอบ เย็นอีกรอบ แต่ถ้าวันไหนติดงานแล้วมาไม่ได้ก็จะส่งกลอนหวานเลี่ยนมาทางแชตแทน แม้เป็นการจีบที่ไม่ได้เรื่อง แต่เก๋าก็ทำให้ฉันยิ้มได้ไม่หยุดและตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว การได้เห็นเจ้าตัวปรากฏตัวจึงไม่ได้น่าแปลกใจเพราะก็มาอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปจากวันอื่นตรงที่เก๋าแบกเอากีตาร์มาด้วยร่างสูงอยู่ในชุดนิสิตเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเพราะมหา’ลัยเปิดเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะขับมอเตอร์ไซค์มาหา“มาจีบ”ไม่ต้องรอให้ถามเจ้าตัวก็รีบชิงพูดขึ้นทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เหมือนจะแกล้งกันเล่น เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ออกจากหลัง ก่อนจะเริ่มทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด สายตาร้อนแรงจับจ้องมองกันแบบไม่วางตา“ถอดเสื้อถอดผ้าทำไม?”“ร้อน”“โกหก”“ใช่”“ถอดกางเกงทำไม?”“ร้อน”“เก๋า”“ใช่ ผมโกหก”ฉันหลุบตาลงมองนิยายในมือที่กำลังอ่านอยู่ขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย กระทั่งพื้นที่ว่างบนเตียงยุบลงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกทีเก๋าในสภาพกึ่งเปลือยมีกีตาร์วางพาดอยู่
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 49 ความเงียบ สายลม รวมถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินได้ฟัง มันควรจะเป็นโมเมนต์สุดแสนโรแมนติก ทว่าฉันกลับไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อรู้ว่าเราสองคนใจตรงกัน ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วหมวยจะไม่เป็นไรเหรอ?” “ไม่ต้องห่วง มีคนที่ดูแลหมวยได้ดีพอกับที่ผมทำช่วยรับหน้าที่ต่อแล้ว ถึงผมจะยังคงรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้น้องมัน แต่เรื่องอื่น ๆ น้องชายผมจะเป็นคนจัดการแทน” “เธอเคลียร์กับหมวยแล้วเหรอ?” “ผมบอกไปตรง ๆ ว่าผมชอบพี่ และเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ อันที่จริงก็ไม่ได้พูดครั้งแรกแต่พูดมาหลายครั้งแล้ว” “…” “และการตัดสินใจให้น้องผมเป็นคนดูแลหมวยต่อก็มีข้อดี หมวยจะได้ตัดใจจากผมได้สักที” “…” “และเพราะพี่เป็นแบบนี้ไง… ผมถึงได้ชอบ” เก๋าระบายรอยยิ้มอีกครั้งพลางก็ถอนหายใจเบา ๆ “ใครจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกัน ใครจะปากแว้ด ๆ ๆ แต่จริงแล้วเป็นคนใจดี” “นี่ชมหรือด่า?” “
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 48 หลายวันต่อมา วันนี้ วันที่ยี่สิบพฤศจิกายน… ฉันในชุดเดรสสีชมพูอ่อน รวบผมเป็นหางม้า ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ กำลังหมุนตัวซ้ายขวาตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวัน เพื่อไปงานแต่งงานของคนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทมากมายในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฉันตั้งแต่สมัยมัธยม มหา’ลัย กระทั่งเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง งานแต่งของสองคนที่ว่าจัดขึ้นที่จังหวัดระยองซึ่งเป็นบ้านเกิดของธนาอดีตแฟนของฉันเอง พลอยส่งโลเคชันที่จัดงานมาให้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนแล้ว และถึงฉันจะไม่ได้ตอบรับว่าจะไป แต่ก็มีเก๋าเสนอหน้าช่วยตอบให้ ทั้งยังแนบรูปที่เป็นของเราสองคนส่งไปด้วย เก๋าบอกว่าเราเป็นแฟนกันทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันเท่านั้น และถึงตอนนี้ไอ้คำว่าแฟนที่ว่าก็ยังไม่ได้เป็น ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงระยองกินเวลากว่าสามชั่วโมง มาถึงสถานที่จัดงานก็เป็นเวลาที่พิธีการเริ่มต้นขึ้นพอดิบพอดี งานแต่งงาน
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 47 ยี่สิบนาทีต่อมา แน่นอนว่าผมรถล้ม… และเกือบจะได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล แต่โชคยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าไรนัก ถึงแขนจะถลอก หน้าจะเกือบแหก แต่ก็ยังพอไหว… ความเร่งรีบทำให้ผมลืมแม้กระทั่งสิ่งสำคัญอย่างหมวกนิรภัยที่ปกติแล้วจะต้องใส่เสมอเพื่อความปลอดภัยของชีวิต แต่เพราะวันนี้จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องที่ว่าไม่ควรจะลืมก็ดันมาลืมซะได้ แม้จะบาดเจ็บเล็กน้อย แม้ผิวเนื้อตรงจุดที่เลือดผุดซึมจะแสบ ๆ คัน ๆ แต่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจ มาถึงคอนโดของกานดาได้ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกระหน่ำกดลิฟต์ทันที มีลุงแช่ม รปภ. ประจำคอนโดรีบวิ่งตามเข้ามาด้วยอาการร้อนใจแทน ผมพยายามจะใจเย็นตอนที่บอกว่าไม่เป็นไรผมจะขึ้นไปดูเอง แต่ใจผมในตอนนี้มันเย็นแทบไม่ไหวแล้ว และทันทีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาถึงหน้าห้องที่แสนจะคุ้นเคยก็รีบใช้กุญแจที่ตัวผมเองยังไม่ได้คืนให้เจ้าของห้องไขเข้าที่ลูกบิดทันทีพร้อมทั้งส่งเสียงเรียกไปด้วย “กานดา!” “…” “กานดา!” “…”