ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรัก
ตอนที่ 5
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
นี่มันสวรรค์ชัด ๆ
ฉันรู้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล รู้ว่าตลอดทั้งวันทั้งคืนมีที่เที่ยวหลากหลายแบบให้เลือก และสวรรค์สำหรับคนที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจอย่างกานดาก็คงไม่พ้นตลาดโต้รุ่งตรงหน้า ที่แม้ว่าเวลาจะดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้วยังมีผู้คนจับจองโต๊ะนั่งดื่มนั่งกินกันอย่างคึกคัก
“เยอะไปมั้ง”
เสียงพึมพำของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเอ่ยขึ้น สายตากวาดมองบรรดาอาหารที่ฉันเดินไปซื้อมาจากร้านอาหารหลายร้าน ส่งผลให้ตอนนี้บนโต๊ะแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้วางอะไรได้อีกแล้ว
“นาน ๆ ทีได้ออกมากินตอนดึกก็ต้องจัดเยอะ ๆ สิ” ฉันยิ้มให้อย่างไม่ใส่ใจ
ตรงหน้าของเก๋ามีเพียงจานขนมจีนแกงเขียวหวานไก่เท่านั้น และตอนนี้ก็เกือบจะหมดจานแล้วด้วย ในขณะที่ฉันยังไม่ได้เริ่มแตะอาหารแม้แต่จานเดียวเพราะมัวแต่เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้เลือกซื้อของกินไม่จบไม่สิ้น
หลังจากนั้นก็คือสวรรค์ของฉันเอง อาหารตรงหน้าช่างอร่อยไปเสียทุกอย่าง ยิ่งกินก็ยิ่งมีความสุข คงเพราะมัวแต่สุขสมกับการกินทำให้ลืมสนใจคนที่มาด้วยกันไปเสียสนิท
พอเงยหน้ามองก็พบว่าเก๋ากำลังนั่งเท้าคางมองกันอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าไม่มีเค้าประหลาดใจที่เห็นฉันซัดแหลกขนาดนี้
ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูดีขึ้นบ้างแล้ว แม้จะยังมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำม่วงเขียวแต่ก็ดีกว่าเมื่อวาน อย่างน้อยก็ไม่ได้มีเลือดซึมตรงมุมปาก และฉันก็ยังไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คิดขึ้นมาได้ก็ต้องขอสอบปากคำสักหน่อย ไหน ๆ เราก็มีพันธสัญญาร่วมกันแบบที่ต้องเจอหน้ากันไปอีกหลายเดือน
“เมื่อวานทำไมถึงได้โยนออกมาแบบนั้น?”
“ก็แค่ชกต่อย” คนตอบไหวไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่คำตอบที่ได้ฟังทำเอาฉันหูผึ่ง
“เป็นอันธพาลปะเนี่ย?”
“…”
ทันทีที่ได้ฟังคนโดนสอบก็เลื่อนหัวคิ้วเข้าหากัน ก็พอรู้ว่าออกจะละลาบละล้วงไปสักหน่อย แต่เป็นใครก็ต้องอยากรู้ว่าคนที่คบหาสมาคมด้วยเป็นคนประเภทไหนไม่ใช่หรือไง
“ก็ต้องถามไว้ก่อนสิ เผื่อวันดีคืนดีโดนต่อยร่วงขึ้นมาจะทำยังไง?”
“สมมติว่าผมทำงั้นจริง พี่คงไม่ร่วงหรอก”
“ใครจะไปรู้ เธอตัวใหญ่กว่าฉันตั้งเยอะ…”
“ก็ถ้าแค่ความสูงมันก็ถูกอยู่”
“จะด่าว่าอ้วนก็ด่ามาเหอะ เจอมาจนชิน”
“…”
ฉันทำเป็นเมินตักนู่นนี่เข้าปากต่อไม่ได้สนใจถามหาเอาความอะไรด้วย เจอกันแค่วันเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นพวกปากไม่ดี พูดจาขวานผ่าซาก มะนาวไม่มีน้ำ แต่แบบนี้ก็คุยง่ายเหมือนกันไม่ต้องนั่งประดิษฐ์คำพูดเหนียมอายกันไปมา
แต่เก๋ากลับเงียบไป ฉันช้อนสายตาขึ้นมอง มือข้างหนึ่งถือปีกไก่ไว้เตรียมกิน จังหวะเดียวกันคนที่นั่งเงียบก็คว้าเอาทิชชูมาเช็ดปากให้
“พี่อายุเท่าไหร่? กินเป็นเด็กเลย”
“แบบน่ารักอะเหรอ?”
ก็รู้อยู่ว่าคำตอบคงจะไม่ใช่ แต่เพราะตอนนี้อารมณ์ดีเลยพูดส่งเดชออกไปแบบนั้น เก๋ายิ้มตอบ แต่เป็นยิ้มที่แลดูจะประชดกันมากกว่า
“ถ้าคิดแล้วสบายใจก็ตามนั้น”
“เค้”
ฉันพยักหน้ารับยิ้ม ๆ แทะไก่ต่ออย่างไม่ยี่หระ ถึงจะโดนแซะแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่นี้ฉันรับได้สบายมาก แต่กลายเป็นว่าคนฝั่งตรงข้ามยังคงมองกันไม่เลิก รอยยิ้มประหลาดก็ยังคงประดับอยู่บนดวงหน้าอยู่อย่างนั้น
ก็ประหลาดแบบที่ว่าปากยิ้มคิ้วขมวดไง
“มีอะไร?”
“ไม่ยักรู้ว่าพี่เป็นคนอารมณ์ดี”
“หมายความว่าไง?”
“เมื่อวานไม่เห็นยิ้มเก่งขนาดนี้”
เก๋ากวาดตามองบรรดาอาหารบนโต๊ะแล้วตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นใหม่ “หรือเพราะได้กิน?”
“ก็คงจะอย่างนั้น”
ฉันพยายามทำเหมือนว่าไม่ใส่ใจ จริงแล้วอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีกระปรี่กระเปร่า แต่ลึก ๆ แล้วก็มีอีกอย่างที่ทำให้ฉันผ่อนคลายลง ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะขยายความอะไรให้อีกฝ่ายฟัง
มันไม่ใช่ความลับใหญ่โต ฉันก็แค่อยากจะใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้สุขที่สุดมันก็เท่านั้น
หลังจากซัดนู่นนั่นนี่จนเต็มคราบหนังท้องเริ่มจะตึง ก็เพิ่งได้ละสายตาจากอาหารมองไปรอบตัว และเพิ่งรับรู้ถึงสายตาของคนอื่นที่ชำเลืองมองมาที่โต๊ะของเรา
ถ้าไม่เป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าตาดี คนพวกนั้นก็คงพากันคิดไปว่าฉันคนนี้มานั่งทำอะไรอยู่กับเขาเป็นแน่ นอกจากจะมีสายตาหวานหยดหยอดให้เก๋าแล้ว ยังมีอีกสารพัดสายตาข้องใจเบนมองมาที่ฉันด้วย
ก็ได้แต่คิดว่าควรทำใจให้ชิน เพราะคงเจอสายตาประเภทนี้ไปอีกสักพักใหญ่ เก๋าเองก็ดูจะไม่รู้สึกอะไรแค่นั่งมองฉันกิน และสายตาก็ห่างไกลจากคำว่าเอ็นดูหลายส่วน เอาเป็นว่าแค่มองก็พอ
“เอาอีกไหม?” น้ำเสียงกึ่งประชดเปรยขึ้น และฉันก็พยักหน้ารับทันที
“เธอกินเบียร์ไหม?”
“ชอบกินเบียร์?” นัยน์ตาของคนฟังมีแววประหลาดใจ ถึงฉันเองก็แปลกใจตัวเองพอกัน
“จริง ๆ แทบไม่กิน แต่เพราะแทบไม่ได้กินนี่แหละถึงได้อยากจะจัดสักหน่อย”
“แล้วเวลาเมาเป็นไง?”
“ไม่เคยเมา” ก็เพราะเคยดื่มไปแค่ครั้งละแก้วสองแก้วแค่นั้น…
แน่นอนว่าประโยคท้ายฉันเติมในใจ เก๋าเงียบอยู่ครู่ก็ขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะพยักหน้าเรียก
“จะไปร้านไหน?”
“มีร้านไหนแนะนำบ้าง?”
“อยากได้แนวไหน?”
“จริง ๆ แบบไหนก็ได้ แค่อยากออกมาเจอโลกตอนกลางคืนบ้าง”
ฉันบอกไปตามจริง เพราะก็แค่อยากจะดูบรรยากาศยามค่ำคืนบ้าง ปกติไม่เคยได้ออกมาข้างนอกแบบนี้ อย่าว่าแต่กลางคืนเลยกลางวันก็เหมือนกัน…
เราพากันออกมาจากบริเวณที่เป็นตลาด บนรถเงียบอยู่ได้ไม่กี่นาทีคนรับหน้าที่พลขับก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“เรื่องค่าจ้าง พี่จ่ายให้ผมสองรอบได้ไหม?”
“หืม?”
“ค่าจ้าง”
“ยังไงนะ?”
สายตาจำต้องหันไปมองเมื่อเขาพูดเรื่องเงินขึ้นมา และเก๋าก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ทันได้เห็นแค่แวบเดียวก่อนจะก็แปรเปลี่ยนเป็นสนิทนิ่งเหมือนเคย
“อันที่จริงผมก็อยากทำงานให้ครบเดือนก่อน แต่พี่ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่รู้จักกัน ไม่ใช่แค่พี่ไม่ไว้ใจผม ผมก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้เงินจริง เรามีก็แค่หนังสือสัญญา”
“แล้วจะให้จ่ายยังไง?”
“ก็วันนี้สักครึ่ง อีกครึ่งก็ค่อยจ่ายสิ้นเดือน”
“อืม…”
“หรือไม่ก็เป็นงี้แค่เดือนแรก และถ้ามันไม่มีปัญหาเดือนต่อไปพี่ก็ค่อยให้ผมตอนสิ้นเดือน”
เจ้าตัวว่ามาอีกด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้ดูมีลับลมคมใน ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ เหมือนคุยเรื่องทั่วไปไม่ได้มีใจความสลักสำคัญอะไร
นี่อาจจะเป็นจิตวิทยาหลอกให้เหยื่อตายใจ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นฉันก็พยักหน้ารับ
“งั้นเดี๋ยวส่งเลขบัญชีมา”
“…”
“เรายังไม่มีช่องทางติดต่อเลย บอกไอดีไลน์หน่อย…”
“…”
ฉันเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เข้าสู่หน้าแอปฯ ที่ว่า แต่พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าอีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยสีหน้าแปลก ๆ หัวคิ้วเลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย
“พี่ก็แปลกคน”
“อะไรแปลก?”
“คงไม่มีใครที่ไหนให้เงินคนอื่นง่าย ๆ แบบนี้ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มงาน”
แหม ก็จริงอยู่…
ระหว่างเราเงียบเชียบลงอีกครั้ง ตัวฉันยังคงเปิดหน้าแอปฯ ค้างไว้อย่างนั้น ส่วนคนที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอค่าจ้างล่วงหน้าก่อนก็ไม่ยอมบอกช่องทางการติดต่อสักที และตอนที่กำลังจะเร่ง เจ้าตัวกลับถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“ช่างเหอะ ค่อยจ่ายก็ได้”
“ก็ไหนตอนแรกบอกว่า…”
“ผมก็หน้าด้านพอตัว แต่พอคุยกับคนซื่อบื้อไม่ยงไม่แย้งสักคำก็ไม่รู้จะพูดไง”
“ก็เมื่อกี้เธอเป็นคนขอเอง”
“เอาโทรศัพท์มา”
เก๋าตัดบทดึงมือถือของฉันไป พิมพ์อยู่ครู่ก็ส่งคืนมาให้โดยที่ไม่พูดอะไรอีก หน้าจอโชว์แค่คอนแท็กต์สำหรับใช้ติดต่อกันเท่านั้น ไม่ได้มีเลขที่บัญชีธนาคารพ่วงมาด้วย
เขาเงียบ ฉันเองก็เงียบเหมือนกัน
มันก็ถูกอยู่ ที่เก๋าเองก็มีสิทธิ์ไม่ไว้ใจกันเหมือนที่ฉันคิดในตอนแรก ส่วนฉันเองก็ดูซื่อบื้อในการที่จะยอมจ่ายโดยที่ไม่คิดจะปริปากแย้งแม้แต่น้อย แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ
เอาเข้าจริง เด็กนี่ก็ดูเป็นคนใช้ได้อยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ได้บังคับขู่เข็ญ หรืออ้อนจะเอาให้ได้แบบที่เคยดูผ่านตามาจากละคร
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉันรู้สึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหน้าตึง มือเท้าชา ไม่ใช่เพราะเมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่เป็นเพราะเด็กนี่พากลับมาที่คอนโดต่างหาก!
ร่างสูงของคนที่เดินนำหันมองกลับมาตอนเราหยุดยืนลงที่หน้าห้อง สายตาขบขันของคนที่ว่าฉายชัดเมื่อเห็นว่าฉันอยู่ในอารมณ์บึ้งบูดแค่ไหน มือข้างหนึ่งของเก๋าถือถุงเบียร์กับถุงน้ำแข็ง ส่วนอีกข้างกำลังเปิดประตู
และใช่! เราไม่ได้โผล่ไปที่ร้านเหล้าเหมือนอย่างที่คุยกันไว้ในตอนแรก
“กินนี่แหละ”
“แต่ฉันอยากไปกินที่ร้าน”
“นี่ผมหวังดีนะ”
“…”
ขายาวก้าวไปที่กลางห้องวางของในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหาอะไรต่อมิอะไรในครัวโดยไม่คิดจะขยายความเพิ่ม
ฉันทำหน้ามุ่ยอยู่หน้าห้องก่อนจำต้องเดินตามเข้าไป รู้สึกขัดใจอยู่ลึก ๆ ที่ไม่เป็นไปอย่างที่คุยกันเอาไว้ในตอนแรก และเจ้าตัวคงจะหันมาเห็นสีหน้าแบบที่เรียกได้ว่าไม่พอใจ เลยเพิ่งคิดได้กระมังว่าต้องอธิบายในการกระทำของตัวเองมากกว่านี้สักหน่อย
“พี่บอกว่าไม่เคยเมา”
“แล้ว?”
“จะได้รู้ลิมิตตัวเองก่อนไง กินที่ห้องจะได้รู้ว่าเวลาเมาแล้วอาการมันประมาณไหน”
กลัวว่าจะลำบากตัวเองละสิไอ้เก๋า!
เก๋าเห็นว่าฉันทำหน้าไม่เชื่อก็อธิบายต่อ
“ผมไม่ได้กลัวว่าพี่จะมาเป็นภาระ แต่ขืนผมต้องแบกพี่ขึ้นคอนโดสภาพพี่เมาเละ มีหวังลุงรปภ.คนนั้นได้ตามตำรวจแน่”
“…”
ฟังดูดีมีเหตุผลที่เอ่ยอ้างถึงลุงแช่มขึ้นมา เพราะลุงแกก็หูตาเป็นสับปะรดจริง ๆ แต่เด็กนี่จะมารู้ได้ยังไงว่าคนที่ตนอ้างถึงมีนิสัยยังไง
ก็ดูเก๋าจะเดาได้อีกว่าฉันคิดอะไร…
“วันนี้แค่ผมมานั่งรอ ก็เดินมาถามแล้วถามอีกว่ามาหาใคร ถามซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบรอบ”
“…”
“ทีนี้เกตยัง?”
คนหาเหตุผลให้ตัวเองได้ยักคิ้วกวน และฉันก็เห็นจริงตามนั้นสุดท้ายเลยได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ เพราะก็เถียงไม่ออกจริง ๆ
“ถ้าเหตุผลข้อนี้ก็พอเข้าใจได้”
“แต่ถ้าถึงวันที่ต้องแบกพี่ขึ้นมาจริง ๆ แล้วส่งผลให้กระดูกสันหลังผมมีปัญหา พี่ก็ต้องรับผิดชอบออกค่าหมอค่าโรงพยาบาลให้ด้วย”
เหอ ๆ ไอ้เด็กบ้านี่…
“เอาเป็นว่าฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงเสนอให้มากินที่ห้อง จบนะ”
“ดี”
ร่างสูงหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ และดึงเอาเบียร์ออกมาจากถุง เก๋าจัดการทุกอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีก ถึงฉันเองที่ไม่พอใจในตอนแรกก็ได้แต่ถอนหายใจ นั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน
และนาทีถัดมาเราก็ยกเบียร์ขึ้นชน…
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 6 เก๋า สองชั่วโมงต่อมา ผมร้อนเงิน… ก็ร้อนมากพอสมควร และเหมือนเห็นทางสวรรค์ตอนได้เจอกับกานดากานดาเป็นผู้หญิงประเภทที่ว่าไม่ใช่คนสวย แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือยิ่งนั่งมองคนตรงหน้าก็ยิ่งดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัย ดูเข้าถึงง่าย อารมณ์ดี ยิ้มเก่ง เหมือนชีวิตไม่มีเรื่องให้เครียดแม้จะเป็นคนแปลกนิดหน่อยแต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ และพอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ตกลงชวนผมทำสัญญาเพื่อนเที่ยวอะไรแบบที่ว่า“ข้อที่ห้าสิบสอง… ไปดูคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี…”“…” “ข้อที่ห้าสิบสาม… แวะไปไหว้ศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นต่อ…” “ใช้คำว่าแวะไม่ไหวมั้ง” “…” ผมตัดสินใจขัดขึ้นในจังหวะนี้เอง พร้อมทั้งดึงกระดาษแผ่นที่อีกฝ่ายกำลังพยายามร่างเขียนด้วยลายมือยึกยืออ่านแทบไม่รู้เรื่องมาดู หลังจากกวาดตามองหนึ่งรอบก็ดึงปากกามาด้วย “ปีนเขาไม่น่าไหว… บันจี้จั๊มตัดออกไปเลย… อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ไปเอเวอร์เรสท์?” “แพงอยู่แต่น่าจะจ่ายไหว…” น้ำเสียงยานคางเอ่ยตอบ และผมก็อดที่จะแค่นหัวเราะอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้ดูสภาพตั
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 7 ฉันตื่นนอนมาในสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าเป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ส่วนอื่น ๆ ถูกห่ออยู่ในผ้าห่มผืนหนา และตอนที่พยายามจะดึงผ้าห่มเพื่อนอนคลุมโปงก็รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง มันดึงไม่ขึ้น เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับไว้ ดวงตาสะลึมสะลือเมื่อครู่เบิกโพลงขึ้นอย่างตระหนกตกใจ หันกลับไปมองที่ด้านหลังก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นร่างเหยียดยาวของใครคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างกัน “กรี๊ด!!!” เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูที่ดังขึ้นเป็นเสียงของฉันเอง พร้อมกันก็ยกเท้าถีบคนแปลกหน้าที่ก็ยังไม่ทันได้เห็นหน้า แต่แม้จะถีบเต็มแรงคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ กลับไม่ได้ร่วงหล่นลงจากเตียงอย่างที่ใจคิด “อะไรวะ?” เสียงของไอ้คนที่ว่าดังขึ้นพร้อมกันก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าแตกตื่นไม่แพ้ฉัน และแค่เขาหันหน้ามาก็ถึงบางอ้อในจังหวะนี้นี่เองว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา “เป็นอะไร?” เก๋าเลิกคิ้วมอง ส
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 8 ฉันรีบเดินออกจากร้านพยายามเดินตามคนทั้งคู่ แต่ดันมาคลาดกันตรงหัวมุมหนึ่ง ทีนี้กวาดตามองเท่าไรก็ไม่เจอซะแล้ว ถ้าหากเก๋ามีแฟนอยู่แล้วจริง แต่ดันมารับงานแบบนี้มันก็น่าทุเรศไปหน่อย น่าสงสารน้องผู้หญิงคนนั้นจะตาย ถึงตอนนี้ก็ได้แต่จินตนาการไปตามเรื่องตามราว เอาเป็นว่าเจอหน้ากันคงจะต้องสอบปากคำอีกสักที “ทำอะไร?” “…”ฉันหลังกลับโดยสัญชาตญาณเพราะมีใครสักคนสะกิดเข้าที่ไหล่ และไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่เป็นคนที่ตามเดินดูเมื่อครู่นี้เองไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามคนที่จู่ ๆ ก็เป็นฝ่ายโผล่มาให้เจอเอง สายตากวาดมองไปรอบตัวของอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก เผื่อจะเจอน้องคนนั้นด้วย แต่ก็ไม่มีเก๋าขมวดคิ้วหันซ้ายหันขวามองตาม ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง“พี่ตามใครอยู่?”“ก็ตามเธอไง”“เป็นสตอล์กเกอร์หรือไง?”“จะบ้าเหรอ?”ฉันยกของที่กำลังหอบหิ้วอยู่ให้อีกฝ่ายดู พร้อมทั้งขยายความ “วันนี้ฉันออกมาซื้อของ และบังเอิญเห็นเธอ…”“แล้วตามผมมาทำไม?”“…”“ตามผมกับน้องมาทำไม?”“…”เจ้าตัวถามเข้าประเด็น เดาจากสีหน้าคงรู้แล้วว่าฉันไม่ได้เห็นเขาแค่คนเดียวแต่เห็
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 9สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเสียงดัง หันกลับมาจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาในวันนี้เก็บเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย เวลาไม่นานนักคนในห้องน้ำก็เดินออกมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว “ขอเสื้อผ้าสักชุด” ฉันที่พยายามจะทำใจให้สบายแล้ว จำต้องหันกลับไปมองอีกรอบ“จะมาใส่ของคนอื่นมั่วซั่วได้ยังไง?” “เดี๋ยวอย่างอื่นได้ใส่ยิ่งกว่านี้อีก แค่เสื้อผ้าจะเป็นไรไป” “…”เพราะคำพูดกำกวมของพ่อคนพูดตรง ทำเอาฉันเกิดจะสะอึกขึ้นมา แต่จะห้ามก็ไม่ทันแล้ว “พี่กับผมน่าจะใส่เสื้อผ้าไซซ์เดียวกัน เพราะงั้นใส่ได้” “ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างเหรอ?”ฉันยืนเท้าสะเอวมองแต่เก๋าก็ทำหูทวนลม แล้วเสื้อยืดตัวเก่งของฉันก็ถูกคนอื่นเอาไปใส่หน้าด้าน ๆ แบบที่ทำได้แค่มอง เห็นอยู่โต้ง ๆ ว่าคงจะไปสู้รบปรบมืออะไรไม่ได้ บวกกับปกติฉันไม่ได้หวงของขนาดนั้น สุดท้ายเลยเดินหนีไปอาบน้ำแทน หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาเข้านอน ใจรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่เห็นร่างสูงเหยียดกายนอนคว่ำอยู่บนเตียง เก๋ากำลังอ่านอะไรบางอย่างจากหน้าจอโ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 10 หนึ่งชั่วโมงต่อมา “ฉันไม่เข้าใจเลย… ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” “…” “ฉันกับผู้ชายคนนั้นเราคบกันมาตั้งสิบปี มันไม่มีความผูกพันอะไรบ้างเลยเหรอ?” “…” “ไหนจะยังเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีก็ด้วย” “…” “แถมยังมีหน้ามาเชิญไปงานแต่งงานอีก ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร” “…” “น่าทุเรศ ที่คนไม่ได้ทำอะไรผิดแบบฉันจะเป็นฝ่ายเหลือตัวคนเดียว” “…” คงเพราะเบียร์… ทำให้ตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมปากตัวเองเอาไว้ได้ คิดอะไรอยู่ก็พรั่งพรูออกไปหมด ยิ่งในหัวคิดเวียนวนถึงอดีตคนรักกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีมากเท่าไร บ่อน้ำตาก็ยิ่งระเบิดหนักมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่เคยมีใครได้มารับฟังปัญหาที่สั่งสมมาแรมปี ทำให้ตอนนี้เหมือนคลื่นอารมณ์หลั่งไหลออกจากห้วงคิดไม่หยุดเพราะไม่เคยได้ปรึกษาใคร ทำให้ตอนนี้คนตรงหน้าที่รู้จักกันได้ไม่กี่วันกลายเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ไปโดยปริยาย ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่ทำให้ฉันรู้สึกอยาก
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 11 วันต่อมา ก๊อก ก๊อก ก๊อก แม้จะกำลังวุ่นวายอยู่กับการฝึกแต่งหน้า…แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องละมือจากบรรดาเครื่องสำอางทั้งหลาย เร่งรุดไปเปิดประตูให้คนด้านนอกที่ตอนนี้มีคีย์การ์ดเข้าตึกอีกอันแล้ว เพราะฉันเพิ่งเบิกมาให้เมื่อวาน แต่แน่นอนว่ากุญแจห้องฉันไม่ได้ให้ไปด้วย วันนี้เก๋าไม่ได้อยู่ในชุดนิสิตเหมือนทุกที แต่อยู่ในชุดไปรเวตอย่างเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีน รองผ้าใบ เป็นการแต่งตัวที่ไร้ซึ่งความหรูหราทว่าออร่ากระจาย นั่นคงเพราะด้วยรูปหน้าคมชัดไปทุกส่วนแค่มองก็ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จตลอดเวลา และที่แปลกไปอีกอย่างคือวันนี้เจ้าตัวสะพายกระเป๋ากีตาร์มาด้วย “เธอจะไปทำงานเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถาม แล้วรีบเดินกลับมาหย่อนกายลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งต่อ “ทำดึก ๆ” “ที่บอกว่าเล่นดนตรีใช่ไหม?” “อืม” “ซอยข้าง ๆ มีร้านหมูกระทะมาเปิดใหม่ มีโปรฯ มาสองจ่ายหนึ่ง ฉันว่าเราต้องไปจัดกันสักหน่อย” เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ลงบนพื้น แล้วหันกลับมาเท้าสะเอวมอง
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 12 เที่ยงคืน จะว่าที่นี่เป็นร้านเหล้าลับ ๆ ก็ไม่น่าจะถูกนัก ด้วยจำนวนลูกค้าเนืองแน่นในร้าน ทั้งคนที่นั่ง คนที่เดิน รวมถึงคนที่เพิ่งจะมาถึงซึ่งกำลังทยอยกันเข้ามา หากจะขัดกันก็ตรงสถานที่ตั้งของร้านที่ดูลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นร้านเหล้า ตัวร้านตั้งอยู่ลึกเข้ามาเกือบจะสุดซอย บรรยากาศร้านติดริมคลอง และเท่าที่สังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ก็พบว่าลูกค้าส่วนมากล้วนเป็นนิสิตนักศึกษาด้วยกันทั้งสิ้น มันไม่ใช่ผับบาร์ที่ทุกคนล้วนแต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็ม หากแต่ที่นี่ชายหญิงหลายคนออกมาทั้งชุดนอน บ้างก็ใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น และเพราะบรรยากาศเป็นแบบนี้ทำให้ฉันไม่รู้สึกขัดเขินมากนักหากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนอีกแบบอาจจะรู้สึกดาวน์ขึ้นมาได้ พูดง่าย ๆ ก็คือสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกรู้สึกผ่อนคลาย และใช่… ฉันเพิ่งเคยมาร้านนั่งดื่มแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ซ้ำยังนั่งคนเดียวเปล่าเปลี่ยววิเวกเอกาแบบสุด ๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหันมาสนใจ เสียงดนตรีสดกำลังเล่นคลอไปกับบรรยากาศสุดแสนจะครึกครื้นแลดูคึกคัก แต่ละ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 13 ขี่ออกมายังไม่ทันถึงไหน คนซ้อนก็เปิดกระจกหมวกตะโกนแข่งกับเสียงลม “อยากเข้าห้องน้ำ” “อั้นก่อนได้ไหม?” “แวะปั๊มเลย!” ไม่มีทางเลือกนอกจากจะหักหัวมอเตอร์ไซค์เข้าปั๊มขนาดไม่ใหญ่นักที่บังเอิญอยู่ข้างทางพอดี จอดรถได้กานดาก็รีบถอดหมวกโยนส่งเดชมาให้ แล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำโดยไม่เอ่ยอะไรอีกดูท่าจะปวดหนัก… เพราะคิดว่าคงต้องรอนานเลยดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบคั่นเวลา พลางก็เลื่อนมือถือดูกำหนดการไปต่างจังหวัดที่กานดาส่งมาให้เมื่อวันก่อนอีกรอบทางแชตไปด้วย ยัยนี่คงจะว่างมากจริง ๆ คนบ้าอะไรจะอยากทำมันทุกอย่างเหมือนเก็บกดมานานได้ขนาดนี้ ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าแรงบันดาลใจในการปีนเขาของกานดาคืออะไร แต่ถึงพูดไปก็เท่านั้นคงต้องให้เจ้าตัวรู้เองว่าสภาพร่างกายไม่พร้อม ไม่ได้ก็คือไม่ได้แต่ส่วนใหญ่ก็พอไหว… ที่บอกว่ากลัวอีกฝ่ายใช้งานไม่คุ้มค่าจ้างผมหมายความแบบนั้นจริง ๆ เราเจอกันแค่ตอนเย็นแถมยังแค่กินข้าว ไม่ได้มีกิจกรรมเยอะขนาดที่ว่าจะต้องจ่ายเป็นแสน เสนอตัวก็แล้ว อะไรก็แล้ว ยังนิ่
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 3 หลายปีต่อมา เพราะมีบ้านแล้วและเพราะฉันว่างมากจากอาชีพเดิมคือการเป็นเทรดเดอร์ นอกจากวัน ๆ จะต้องนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้น ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา ฉันก็ว่างแหละ ไม่ก็พยายามจะว่าง…ช่วงนี้ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน จัดการทำข้าวกล่องส่งขายตามตลาดเช้าเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้เดิมที่มันก็ไม่ได้แย่อะไร และกว่าข้าวกล่องพวกนี้จะเสร็จก็กินเวลาเกือบเจ็ดโมงหากเป็นวันธรรมดาในเวลาเดียวกันนี้ จะได้เห็นร่างสูงของเก๋าในเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ได้เห็นคนที่ว่าอยู่ในสภาพดังกล่าวฉันอาจจะลืมเล่าไปถึงเรื่องที่ว่า คนเป็นสามีเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา และตอนนี้กำลังทำงานควบคุมออกแบบ ติดตั้งเครื่องจักรกลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงหน้าตาเก๋าเหมือนไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่อย่างที่เห็นว่าพอจะได้เรื่องอยู่บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดของเก๋า แต่กลับได้ยินเสียงคนที่ว่าดังมาจากทางห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของตัวบ้านตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง และไม่ใช่เสียงเก๋าคนเดียว… แต่ม
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 2 “คุณเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงติดขัดเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาจะเลื่อนขึ้นสบในวินาทีต่อมา “ชีวิตฉันตอนนี้ดีมาก ดียิ่งกว่าปีไหน ๆ”ฉันเอ่ยตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม แม้จะแฝงไปด้วยอารมณ์เกลียดขี้หน้าเหลือประมาณก็ตามที “ผมคิดถึงคุณนะ” คงเพราะสายตาสื่อความนัยแบบที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไร ส่งผลให้รอยยิ้มของฉันคลายลงโดยอัตโนมัติ พึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเค้นขู่ลอดไรฟัน “เกิดจะคิดถึงขึ้นมาได้เชียว” “เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันไหม? ผมเป็นเจ้ามือเอง ยังไงก็คนคุ้นเคย…” คำว่า ‘คนคุ้นเคย’ กับการแสดงออกผ่านสายตาน่ารังเกียจ ทำเอาฉันรู้สึกอยากจะขย้อนอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ธนาก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าสู่หน้าแอปพลิเคชันสำหรับใช้ติดต่อ “พลอยคงจะเสียใจถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้” คนฟังระบายรอยยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้ง แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งทุเรศหู “พลอยไม่รู้หรอก” แล้วก็ยื่นโทรศัพท์มา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 1 เขาว่ากันว่าเวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรมักจะได้อย่างนั้น ผลของการกระทำมักจะเข้าเล่นงานแบบไม่ทันให้ตั้งตัว… ห้างสรรพสินค้า S ฉันกับเก๋าเราออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวย้ายเข้าสู่เรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ร่วมสองเดือน และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ชายที่เมื่อแรกเจอเราทั้งคู่กัดกันยิ่งกว่าอะไร… “ที่รัก” “…” “ที่รัก” “…” “กานดา” “ฮะ?” เพราะฉันกำลังให้ความสนใจกับของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมาะน่าจะเอาไปตั้งในห้องนอนของเรา เลยไม่ทันได้ยินเสียงของคนด้านหลัง หันไปมองก็พบว่าคนเรียกกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สีหน้าเบื่อหน่ายฉายชัด “ทำไมจะต้องสรรหาสรรพนามอื่นมาเรียกกันด้วย? ผมเรียก พี่ก็ไม่หันอยู่ดี” “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน เรียกอีกที ๆ” “…” ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดข้อตกลงเรื่องล่าสุดระหว่างเราจำต้องรีบหมุนตัวกลับอีกครั้ง แสร้งทำเป็นดูของตกแต่งชิ้
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 52 สามปีต่อมา ฉันหมดแรงทิ้งเข่าทรุดกายลงตรงจุดซึ่งมีธงปักอยู่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาซึ่งอยู่ทางแถบภาคตะวันตกของประเทศเป็นที่เรียบร้อย ด้านบนนี้ลมพัดแรงจนผมเผ้าที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสะบัดปลิวพลิ้วไหว ขายาวของคนที่มาด้วยกัน หยุดยืนลงที่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเก๋านั้นไม่ได้ดูหมดสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งแสดงออกว่าเหนื่อยสักนิดก็ยังไม่มี คนเป็นแฟนยืนทิ้งเข่า ยกขวดน้ำขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพของเหล่าภูเขาสลับซับซ้อนเรียงรายมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนนัยน์ตาซึ่งหรี่เล็กน้อยเพราะแรงลมจะเลื่อนต่ำลงมองสภาพของฉันด้วยสายตาที่บ่งชัดว่ากำลังสมน้ำหน้ากัน โอเค…ฉันมันบ้าเองที่อยากจะเดินป่าขึ้นเขาขึ้นดอยให้ได้ และตอนแรกเก๋าก็ไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรประเภทนี้ถึงแม้ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำก็จริง แต่เพราะยังไม่เคยทำกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนเลยทำให้คนเป็นแฟนมีทีท่าไม่เห็นด้วยอย่างที่บอกเก๋าค้านว่า อย่างน้อยเราก็ต้องมีประสบการณ์เดินทางไกล หรือไม่ก็ต้อ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 51 หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายร้อนผ่าวของฉันนอนทาบทับคร่อมเรียวขาอยู่เหนือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเก๋า ก้นสองข้างกำลังถูกฝ่ามือหนาจับสับโยกเข้าหาความแข็งขืนของตัวตนที่ผงาดกร้าวตั้งเป็นลำตอนนี้เป็นเวลาตีห้าเกือบจะหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น แต่แค่เรานอนกอดนอนเกยกันนิดเดียวก็เกิดจะปลุกเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ เสียงร่องเนื้อรูดขึ้นลงตามจังหวะการทิ้งสะโพกเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้ คนที่นอนอยู่ด้านล่างคลอเคลียจูบเข้าที่ซอกคอ หอมเข้าที่ข้างแก้มไม่หยุดมาตั้งแต่เราเริ่มบรรเลงบทรักเมื่อชั่วโมงก่อน “เสียวไหม?”เสียงห้าวแหบเอ่ยถาม ทั้งมือยังคงควบคุมจังหวะความเร็วอยู่อย่างนั้น ฉันเลื่อนริมฝีปากกระซิบเข้าที่ข้างหูของคนเป็นแฟนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงพร่า“เสียวจนจะแตกอีกแล้ว”“ชอบของผมไหม?”เก๋าหยักยิ้มเอ่ยขอคำชมที่ก็มักจะขอเสมอ และฉันก็ให้คำตอบด้วยการออกแรงขย่มสับรัวเร็วอย่างเอาใจ พลางกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่พร่าสั่นหนักกว่าเดิม“ขึ้นให้ทุกเช้าแบบนี้ เธอคิดว่าชอบไหม?”“ชอบตรงไหน?”“ชอบทุกตรง”“ผมก็ชอ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 50 หลายวันต่อมา หลายวันที่ผ่านไปคนที่บอกว่าจะจีบก็มาจีบทุกวัน เช้ารอบ เย็นอีกรอบ แต่ถ้าวันไหนติดงานแล้วมาไม่ได้ก็จะส่งกลอนหวานเลี่ยนมาทางแชตแทน แม้เป็นการจีบที่ไม่ได้เรื่อง แต่เก๋าก็ทำให้ฉันยิ้มได้ไม่หยุดและตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว การได้เห็นเจ้าตัวปรากฏตัวจึงไม่ได้น่าแปลกใจเพราะก็มาอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปจากวันอื่นตรงที่เก๋าแบกเอากีตาร์มาด้วยร่างสูงอยู่ในชุดนิสิตเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเพราะมหา’ลัยเปิดเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะขับมอเตอร์ไซค์มาหา“มาจีบ”ไม่ต้องรอให้ถามเจ้าตัวก็รีบชิงพูดขึ้นทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เหมือนจะแกล้งกันเล่น เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ออกจากหลัง ก่อนจะเริ่มทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด สายตาร้อนแรงจับจ้องมองกันแบบไม่วางตา“ถอดเสื้อถอดผ้าทำไม?”“ร้อน”“โกหก”“ใช่”“ถอดกางเกงทำไม?”“ร้อน”“เก๋า”“ใช่ ผมโกหก”ฉันหลุบตาลงมองนิยายในมือที่กำลังอ่านอยู่ขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย กระทั่งพื้นที่ว่างบนเตียงยุบลงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกทีเก๋าในสภาพกึ่งเปลือยมีกีตาร์วางพาดอยู่
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 49 ความเงียบ สายลม รวมถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินได้ฟัง มันควรจะเป็นโมเมนต์สุดแสนโรแมนติก ทว่าฉันกลับไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อรู้ว่าเราสองคนใจตรงกัน ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วหมวยจะไม่เป็นไรเหรอ?” “ไม่ต้องห่วง มีคนที่ดูแลหมวยได้ดีพอกับที่ผมทำช่วยรับหน้าที่ต่อแล้ว ถึงผมจะยังคงรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้น้องมัน แต่เรื่องอื่น ๆ น้องชายผมจะเป็นคนจัดการแทน” “เธอเคลียร์กับหมวยแล้วเหรอ?” “ผมบอกไปตรง ๆ ว่าผมชอบพี่ และเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ อันที่จริงก็ไม่ได้พูดครั้งแรกแต่พูดมาหลายครั้งแล้ว” “…” “และการตัดสินใจให้น้องผมเป็นคนดูแลหมวยต่อก็มีข้อดี หมวยจะได้ตัดใจจากผมได้สักที” “…” “และเพราะพี่เป็นแบบนี้ไง… ผมถึงได้ชอบ” เก๋าระบายรอยยิ้มอีกครั้งพลางก็ถอนหายใจเบา ๆ “ใครจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกัน ใครจะปากแว้ด ๆ ๆ แต่จริงแล้วเป็นคนใจดี” “นี่ชมหรือด่า?” “
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 48 หลายวันต่อมา วันนี้ วันที่ยี่สิบพฤศจิกายน… ฉันในชุดเดรสสีชมพูอ่อน รวบผมเป็นหางม้า ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ กำลังหมุนตัวซ้ายขวาตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวัน เพื่อไปงานแต่งงานของคนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทมากมายในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฉันตั้งแต่สมัยมัธยม มหา’ลัย กระทั่งเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง งานแต่งของสองคนที่ว่าจัดขึ้นที่จังหวัดระยองซึ่งเป็นบ้านเกิดของธนาอดีตแฟนของฉันเอง พลอยส่งโลเคชันที่จัดงานมาให้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนแล้ว และถึงฉันจะไม่ได้ตอบรับว่าจะไป แต่ก็มีเก๋าเสนอหน้าช่วยตอบให้ ทั้งยังแนบรูปที่เป็นของเราสองคนส่งไปด้วย เก๋าบอกว่าเราเป็นแฟนกันทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันเท่านั้น และถึงตอนนี้ไอ้คำว่าแฟนที่ว่าก็ยังไม่ได้เป็น ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงระยองกินเวลากว่าสามชั่วโมง มาถึงสถานที่จัดงานก็เป็นเวลาที่พิธีการเริ่มต้นขึ้นพอดิบพอดี งานแต่งงาน
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 47 ยี่สิบนาทีต่อมา แน่นอนว่าผมรถล้ม… และเกือบจะได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล แต่โชคยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าไรนัก ถึงแขนจะถลอก หน้าจะเกือบแหก แต่ก็ยังพอไหว… ความเร่งรีบทำให้ผมลืมแม้กระทั่งสิ่งสำคัญอย่างหมวกนิรภัยที่ปกติแล้วจะต้องใส่เสมอเพื่อความปลอดภัยของชีวิต แต่เพราะวันนี้จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องที่ว่าไม่ควรจะลืมก็ดันมาลืมซะได้ แม้จะบาดเจ็บเล็กน้อย แม้ผิวเนื้อตรงจุดที่เลือดผุดซึมจะแสบ ๆ คัน ๆ แต่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจ มาถึงคอนโดของกานดาได้ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกระหน่ำกดลิฟต์ทันที มีลุงแช่ม รปภ. ประจำคอนโดรีบวิ่งตามเข้ามาด้วยอาการร้อนใจแทน ผมพยายามจะใจเย็นตอนที่บอกว่าไม่เป็นไรผมจะขึ้นไปดูเอง แต่ใจผมในตอนนี้มันเย็นแทบไม่ไหวแล้ว และทันทีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาถึงหน้าห้องที่แสนจะคุ้นเคยก็รีบใช้กุญแจที่ตัวผมเองยังไม่ได้คืนให้เจ้าของห้องไขเข้าที่ลูกบิดทันทีพร้อมทั้งส่งเสียงเรียกไปด้วย “กานดา!” “…” “กานดา!” “…”