ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรัก
ตอนที่ 4
วันต่อมา
ร้านทำผมเป็นสถานที่ที่กานดาไม่ได้เฉียดเข้าใกล้มาเกือบปีได้แล้วตั้งแต่หั่นผมครั้งสุดท้ายเมื่อปีก่อน และนี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ฉันตัดสินใจมาเข้าร้านที่ว่าซึ่งอยู่ใต้คอนโดของฉันเอง
กระจกเงาบานโตสะท้อนภาพผู้หญิงใบหน้ากลมแป้นขาวโบ๊ะแก้มแดงโดยธรรมชาติ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งตัดสินใจยืดตรงยาวสยายถึงบั้นเอว ส่งผลให้ฉันในเวลานี้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เพราะไม่ได้มีผมที่ฟูเพิ้งเหมือนอย่างตอนแรกที่ย่างกรายเข้าร้านมา
หลังจากใช้เวลาที่ร้านทำผมร่วมสามชั่วโมง ตอนนี้รถก็จอดสนิทลงที่ลานจอดของห้างสรรพสินค้าในละแวกใกล้กันกับคอนโด สิ่งที่ตั้งใจจะทำในลำดับถัดไปก็คือการ ‘ชอปปิง’
การชอปเป็นสิ่งที่สาว ๆ ส่วนใหญ่โปรดปราน เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกที่คู่กันกับผู้หญิงอย่างเรา ๆ ทว่านิสัยของฉันมันช่างห่างไกลจากคำว่า ‘สาว ๆ’ อยู่หลายขุมทำให้ไม่ค่อยได้มาทำอะไรแบบที่ว่าสักเท่าไร
เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสายตามานานมากแล้ว ชุดที่ดีที่สุดก็ผ่านการใช้งานซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาได้หลายปี
ฉะนั้นนี่คือโอกาสที่จะได้ทำอะไรแบบที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน ก็อย่างเช่นว่าผลาญเงินไปกับการชอปปิงให้ตัวเองนี่ไง
และเป็นครั้งแรกในชีวิตจริง ๆ ที่เพิ่งค้นพบว่าการใช้เงินแบบไม่ต้องคิดเป็นโมเมนต์ที่สวรรค์แค่ไหน ไม่ว่าจะเดินเข้าร้านใดก็จะได้สินค้าจากทางร้านนั้นติดไม้ติดมือออกมาแทบจะทุกร้าน
กระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงสองข้อแขนก็พะรุงพะรังไปด้วยถุงกระดาษจากหลากหลายแบรนด์
เป็นเพราะไม่ค่อยได้เดินหรือออกกำลังกาย หลายปีที่ผ่านมาล้วนใช้เวลาอยู่ที่หน้าคอมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การเดินชอปในวันนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกแล้วเพราะเริ่มที่จะปวดเท้าขึ้นมา
ไม่ก็อาจเป็นเพราะรองเท้าเวรตะไลคู่ที่ใส่อยู่ ราคาของมันเหยียบหมื่นแต่กลับเล็กกระจิริดตรงช่วงปลายเท้า ยิ่งเดินนานเท่าไรก็เริ่มรู้สึกเจ็บมากขึ้นทุกที ไหนจะความเมื่อยขบอ่อนล้าท่อนขาที่ลากเดินไม่หยุดนี่ก็ด้วย
นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ฉันไม่ค่อยอยากจะออกไปไหนต่อไหน จะว่าเป็นคนขี้เกียจก็ได้ มันก็ตามนั้นจริง ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาเลยส่งผลให้ผิวกายขาวซีดเหมือนไม่ได้รับแสงมาร่วมปีแบบนี้ไง
พอคิดว่าคงเดินต่อไม่ไหว และตั้งใจจะกลับไปที่รถ ทว่าระหว่างทางนั่นเอง สายตาก็บังเอิญมองไปเห็นช็อปขายเครื่องสำอางที่กำลังตั้งบูทเซลล์กระหน่ำลดราคาสินค้ากว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
ที่เขาว่ากันว่าผู้หญิงนั้นมักจะเห็นป้าย SALE เป็นไม่ได้ต้องรีบวิ่งเข้าใส่ อันที่จริงฉันก็เป็นผู้หญิงประเภทนั้นเหมือนกัน เพียงแค่ก่อนหน้านี้ป้ายแบบนั้นที่กานดาสนอกสนใจจะอยู่ในโซนของกิน
แต่ตอนนี้สายตากลับเอาแต่เพ่งมองไปยังบูทเครื่องสำอางนั่นไม่หยุด ยิ่งเสียงหวาน ๆ ของพนักงานขายร้องเชิญชวนก็ยิ่งเพิ่มความอยากซื้อ ยิ่งผู้หญิงสวย ๆ ที่ทำหน้าที่ยืนเชียร์กวักมือเรียกก็ยิ่งอยากจะวิ่งเข้าใส่
รู้อีกทีร่างกายก็นำหน้าสมองไปอีกก้าว รู้อีกทีฉันก็ใช้เวลาอยู่ตรงหน้าบูทเครื่องสำอางร่วมชั่วโมง เพราะปกติเป็นคนไม่แต่งหน้าทำให้ไม่รู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไรเลยต้องยืนฟังพนักงานแนะนำอยู่นานอย่างที่เห็น เกิดจะมาอยากเรียนรู้การเสริมสวยเอาตอนนี้ก็ลำบากหน่อย
แต่แหม… ปีสุดท้ายของชีวิตก็ต้องลองทำมันให้หมดทุกอย่างนั่นแหละ ตายไปจะได้ไม่เสียดาย!
เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับการใช้จ่ายแบบไม่คิดชีวิต ทำให้หลงลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิท กว่าจะนึกขึ้นได้ก็คือตอนที่ขับรถกลับมาถึงคอนโด และได้เห็นร่างสูงคุ้นตาในชุดนิสิตปล่อยชายเสื้อนั่งสูบบุหรี่อยู่บนมอเตอร์ไซค์ ปากพ่นควันไปพลางก็ยกแขนขึ้นดูเวลาไป
ฉันก้มลงมองที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตัวเองอีกคน พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มเข้าให้แล้ว ใจเกิดจะรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนมายืนรอ ซ้ำคนที่ว่ายังเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมากด้วย
เขามาจริงสินะ…
เรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องบ้าบอแบบที่ฉันแอบคิดตอนตื่นขึ้นมา รวมถึงพยายามจะไม่สนใจเรื่องที่ว่ามาตลอดทั้งวัน
ตั้งแต่ลืมตาตื่น ใจก็เกิดคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่สถานการณ์ประหลาดที่เราบังเอิญทำร่วมกัน พอเด็กคนนั้นกลับไปนอนคิดสักคืนอาจเปลี่ยนใจไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ก็เป็นได้ ระหว่างเรามีสัญญาก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีพยานรู้เห็นสักหน่อย ตอนแรกฉันแอบคิดแบบนั้น
แต่กลายเป็นว่าเขามาจริง ๆ
“นึกว่าต้องรอจนเช้า” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยทักขึ้นก่อน พลางก็ยกโทรศัพท์ขึ้น “ลืมขอเบอร์ติดต่อ”
“นั่นสิ”
“…”
ฉันพึมพำได้แค่นั้น แล้วรีบเดินไปแบกของที่ชอปปิงมาตลอดทั้งวันลงจากท้ายรถ กว่าจะหิ้วหมดก็เล่นเอาเหงื่อตก
กลิ่นบุหรี่จางทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง คนที่เมื่อครู่ยืนอยู่ห่างออกไป ตอนนี้มาหยุดยืนที่ด้านข้าง สายตาเรียบเฉยจับจ้องนิ่งที่ทรงผมใหม่ของฉันโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไร พร้อมกันสารพัดถุงในมือก็ถูกกระตุกไปถือแทนทั้งหมด แล้วเริ่มออกเดินนำ
“ผมหิว”
“ก็แล้วทำไมไม่กิน?”
“จะเอาเวลาไหนไปกิน? กลัวไปแล้วคลาดกัน”
“เธอเลยยืนรอ?”
“ออกค่าข้าวให้ด้วย ยืนรอตั้งนาน”
“…”
ตอนแรกก็แอบเห็นถึงความตั้งใจ แต่เพราะไอ้ประโยคล่าสุดก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวคงรอคนมาจ่ายตังค่าข้าวให้มากกว่า ดูท่าเก๋าจะไม่ได้งกแค่คำพูด แต่คงเป็นคนหน้าเลือดจริง ๆ
เด็กอะไรโคตรจะเค็ม…
“แต่มันก็ดึกแล้ว ถ้าพี่ง่วงผมกลับก่อนก็ได้ ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้…” น้ำเสียงราบเรียบเรียกสายตาให้หันกลับไปมองอีกหน และแน่นอนว่าฉันสั่นหัวปฏิเสธ
“นี่ก็หิวเหมือนกัน สี่ทุ่มแล้วมันยังไง?”
“สำหรับพี่ก็น่าจะอย่างนั้น” คนพูดไม่วายถากถาง แต่ฉันก็แสร้งไม่สนใจ
“เดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วไปกันเลยก็ได้”
“ก็ต้องงั้น รอตั้งหลายชั่วโมง”
“แล้วจะเสนอทำไมแต่แรก…”
“พูดไปตามมารยาท”
“…”
เหรอยะ… ไม่ยักรู้ว่ามี…
เราไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อก็ต้องหยุดชะงักลง ตอนที่ชายร่างเล็กในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินมาขวางกลางทาง เป็นคนคุ้นหน้ากันดีอย่างลุงแช่ม รปภ. ประจำคอนโด
แม้ปากแกจะยิ้มจนเห็นฟันแทบจะครบทั้งสามสิบสองซี่ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เมื่อเห็นว่าฉันพาผู้ชายมาด้วย
“สวัสดีครับคุณกานดา!” เสียงเอ่ยทักทายดังขึ้น พร้อมกับทำท่าตะเบ๊ะเป็นการเป็นงาน “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายคนนี้…”
“เพื่อนค่ะ”
ฉันตัดบททันที กระนั้นอีกฝ่ายก็มีสีหน้าคลางแคลงใจตามแบบคนขี้จับผิดเป็นนิสัย แล้วก็ทำเสียงฉงนขึ้นอีก
“รูปหล่อเลยนะครับ”
“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
ตาลุงคนเดิมยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้ แม้แกจะไม่พูดออกมาตรง ๆ ก็พอจะเดาได้ว่ากำลังคิดอะไร อาจคิดไปว่าฉันในยามนี้ถึงขั้นต้องซื้อเด็กหนุ่มมาปรนเปรอความสุขให้ตัวเอง
ถึงมันจะทำนองนั้นจริง แต่เดาได้ว่าไม่นานเรื่องนี้จะต้องรู้กันทั่วเป็นแน่ ตั้งแต่ป้าแม่บ้าน เจ๊ร้านทำผม ยันลุงร้านขายข้าวนั่นแหละ
ลุงแช่มเป็นพวกประเภทดูหนังสืบสวนสอบสวนมากเกินพอดี หรือไม่ก็ติดจะจุ้นจ้านช่างสังเกตเกินไปนิด
คราวก่อนแค่ฉันไม่ลงมาจากคอนโดหนึ่งสัปดาห์ นิติฯ ก็ถึงกับไปเรียกที่ห้องเพราะได้ข่าวว่าฉันตรอมใจตายเนื่องจากหาแฟนไม่ได้ และไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนนานมากแล้ว ประกอบกับสภาพของฉันในระยะขวบปีให้หลังมันค่อนข้างจะย่ำแย่มากพอดู
คนที่มักจะสงสัยในชีวิตเปล่าเปลี่ยวเดียวดายของกานดาคนนี้ก็เห็นจะมีแค่ลุงแกแค่คนเดียวเท่านั้น
แต่ข้อดีมันก็มี ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ สภาพศพฉันคงจะไม่อืดบวมมากนักหากมีการพบศพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น และแน่นอน คนที่เกิดจะเอะใจว่าฉันหายไปเป็นคนแรกคงไม่พ้นลุงแช่มนี่เอง
ถ้าคนอื่นมีป้าข้างบ้านคอยใส่ใจ ฉันก็มีลุง รปภ. คนนี้ที่คอยใส่ใจเหมือนกัน
ในลิฟต์เงียบจนน่าอึดอัด ยิ่งตัวลิฟต์เป็นกระจกเงาทั้งสี่ด้านก็ยิ่งรู้สึกอายหนักขึ้นทุกทีกับสายตาของคนด้านหลังที่กำลังมองสำรวจกันผ่านทางกระจก คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะทำใจให้ชินกับสายตานิ่งสนิทอ่านไม่ออกแบบนั้นได้ยังไง
มันเป็นสายตาที่ไม่แสดงอารมณ์ แต่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ที่แน่ ๆ ในสายตาเก๋า ฉันคงไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์เป็นแน่
อันที่จริงฉันก็แค่อวบ…
โอเค… ในสายตาคนอื่นก็อาจจะเรียกได้ว่าอวบระยะสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย อย่างน้อยยืนเทียบกันแบบนี้เก๋าตัวใหญ่กว่าเห็น ๆ แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นผู้ชาย ซ้ำยังดูลีนไปทั้งตัว
พอถึงห้องอีกฝ่ายก็จัดแจงวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งรอที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว และเพราะเป็นห้องแบบสตูดิโอไม่ว่าฉันจะเดินไปตรงไหนแน่นอนว่าเก๋าเห็นหมด และไม่คิดจะรักษามารยาทเลยด้วย
ก็ได้แต่พยายามจะไม่สนใจ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดที่สบายกว่านี้มาเปลี่ยน เป็นต้นว่าเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์กับกางเกงวอร์มสักตัว กินเสร็จจะได้ไม่ต้องมานั่งแขม่วพุงไง นี่คือหนึ่งในเทคนิคการกินให้สบายท้องที่สุดสำหรับฉันเอง
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็พบว่าเก๋ายังคงนั่งอยู่ที่เดิมสายตาจับจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์พร้อมรัวนิ้วพิมพ์แชตไปด้วย แต่พอเงยหน้ามาเห็นกันก็ลุกขึ้นยืน รีบเก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกง
"พี่อยากกินอะไร?”
“อะไรก็ได้”
“…”
ฉันไม่ทันได้สนใจต่อ หันกลับมาทาแป้งฝุ่นที่หน้ากระจกหลังจากผ่านการล้างหน้ามาเมื่อครู่ ก็ทันได้สบตากับคนถามที่ยืนล้วงกระเป๋ามองอยู่ที่ด้านหลัง และคำถามเดิมก็ถูกถามซ้ำอีกครั้ง
“อยากกินอะไร? พี่ไม่บอกผมก็เอาใจไม่ถูก เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนถ้าผมพาไปกินอะไรที่ไม่ชอบเดี๋ยวจะพานไม่ประทับใจ…”
“ชอบหมดแหละ ขอให้ได้ชื่อว่าเป็นของกิน”
ฉันตอบไปก็หัวเราะไป เรือนผมสีน้ำตาลถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าเพื่อเตรียมพร้อมไปออกศึก จัดการตัวเองเสร็จก็หมุนตัวกลับไปหาเก๋าที่ยังคงยืนนิ่งอยู่จุดเดิม และเห็นทีจะมีฉันคนเดียวที่ขำ เพราะอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทราวกับรอฟังคำตอบจริงจัง
อะไรมันจะเครียดขนาดนี้ เรื่องของกินเป็นอะไรที่จอยที่สุดในชีวิตกานดาแล้วนะจะบอกให้
แต่เพราะคนตรงหน้าคงอยากจะได้คำตอบจริงจัง สุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ ปั้นยิ้มจนตาหยี ยกมือขึ้นตบบ่ากว้างเบา ๆ
“เอาเป็นว่า ไปที่ไหนก็ได้ที่มีของกินเยอะ ๆ ก็พอ”
เก๋าชะงักไปเล็กน้อยกับอากัปกิริยาของฉันที่คงจะเปลี่ยนไปแบบปัจจุบันทันด่วน อย่างเช่นว่ากำลังยิ้มอยู่ในขณะนี้ หรือไม่ก็การตีซี้ด้วยการตบเข้าที่บ่า
จริง ๆ แล้วฉันเป็นคนอารมณ์ดี แต่แค่เมื่อวานเราเพิ่งจะรู้จักกันจะยิ้มเรี่ยราดก็ไม่ใช่เรื่อง ซ้ำระหว่างเราคงจะต้องเจอกันไปอีกนาน ผูกมิตรกันไว้ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน
ถึงเด็กนี่ดูจะเป็นพวกผูกมิตรไม่ได้เรื่องก็ตาม ขนาดว่าฉันยิ้มจนเมื่อยปาก เก๋าก็ไม่แม้แต่จะยิ้มตอบ แต่เอาเถอะ ไม่ได้คาดหวังแต่แรกอยู่แล้ว
ว่าแล้วก็คว้าเอากระเป๋าสตางค์เดินนำออกจากห้อง แต่เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ต้องหันกลับไปมอง เก๋าพยักพเยิดไปที่เตียงซึ่งมีโทรศัพท์ของฉันเองวางทิ้งเอาไว้ตรงนั้น
“ไม่เอาโทรศัพท์ไป?”
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีเงินสด”
“แล้วไม่ต้องเล่น? ไม่ต้องคุยกับคนอื่น?”
ถึงตรงนี้ยิ้มของฉันก็ราวกับชะงักไป แต่มันก็แค่เสี้ยววินาทีก่อนจะแสร้งยิ้มหวานให้คู่สนทนา “ก็คุยกับเธอไง”
คนฟังได้ยินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ยังคงมีความคลางแคลงใจอยู่ในสีหน้า ซ้ำยังเดินไปคว้าเอาโทรศัพท์เดินออกมาส่งต่อให้ ทั้งที่ฉันไม่ได้ขอ
“เผื่อนั่งกันนาน ๆ แล้วพี่เหงา”
“อืม”
ฉันรับมายัดใส่กระเป๋ากางเกงไปงั้น เอาไปก็คงจะไม่ได้ใช้อยู่ดี เก๋าเห็นเข้าก็เอ่ยซักด้วยคำถามเดิม
“ไม่มีใครคุย?”
“ไม่มี”
“ไม่เหงา?”
“อยู่คนเดียวก็มีความสุขดี…”
แม้จะยังคงทำเป็นยิ้มได้ แต่เพราะสายตาที่แลดูจะเห็นใจเกินพอดีของคนถาม ทำให้ปากเกิดจะนำหน้าสมองไปหนึ่งก้าว รู้อีกทีฉันก็เปรยออกไปเพื่อเบี่ยงประเด็น
“เธอจะจีบก็ได้นะ หน้าแบบนี้ไม่มีใครแย่งแล้ว”
“…”
คนฟังได้ยินเข้าก็ชำเลืองมองอีกหน และเป็นฉันเองที่เกิดจะอายกับคำพูดตัวเอง รีบเอ่ยเสริม
“แต่เธอคงมีกฎที่ว่าห้ามจีบลูกค้าอะไรแบบนั้นสินะ”
แต่ยิ่งพูดกลับยิ่งแย่กว่าเดิม เวร…
ตอนนี้เองที่เก๋าหยุดยืนนิ่งทำเอาฉันชะงักไปด้วย คนข้าง ๆ มีสีหน้าชั่งใจอยู่ครู่ก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ระหว่างเราจะเป็นแค่งาน ไม่มีเรื่องของความรู้สึก”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” ฉันเองก็รีบตอบกลับอย่างร้อนรน “ฉันแค่พูดเล่น”
“ดี เพราะถ้าพี่เกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาคงไม่ส่งผลดีเท่าไหร่”
“สเปกฉันไม่ใช่คนขี้งกแบบเธอ” คงเพราะความอายหรืออะไรก็ตาม ทำเอาต้องรีบตัดบทขึ้นอีกรอบ และใจก็รู้สึกตามที่ปากว่าจริง ๆ
เราสบตากันท่ามกลางความเงียบสงัดของทางเดินคอนโด ในที่สุดอีกฝ่ายก็พยักหน้าช้า ๆ เริ่มออกเดินต่อ
“เข้าใจตรงกันก็ดี ผมไม่อยากมีปัญหา”
มั่นหน้ามากแม่…
พอถึงหน้าลิฟต์ฉันก็ยกแขนขึ้นกอดอก หันมองเก๋าด้วยสีหน้าจริงจังประกาศชัดออกไปเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกเสียหน้าในหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
“พูดมาตรง ๆ แบบนี้ก็ดีจะได้ชัดเจนไปเลยว่าระหว่างเราจะไม่มีเรื่องแบบที่ว่า ถึงเราต้องมีอะไรกันแต่รับรองว่าฉันจะไม่คิดลึกไปกว่านั้น”
คนข้าง ๆ มีสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน
“ผมก็เหมือนกัน”
“โอเค”
“…”
ว่าแล้วก็ยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อทำสัญญา วินาทีเดียวกันฝ่ามือหนาก็คว้ามือฉันจับแน่น
ไม่ใช่แค่สายตาของฉันที่สื่อชัดว่ามั่นอกมั่นใจถึงเรื่องที่จะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในความสัมพันธ์รูปแบบอิหยังวะครั้งนี้ เก๋าก็ดูจะมั่นใจไม่ต่างกัน
และถึงเด็กนี่ดูจะเหมือนได้เปรียบไปเสียทุกทาง แต่ฉันยังไม่เห็นว่าเจ้าตัวมีอะไรดีนอกจากหน้าตาเลยจริง ๆ และแค่นั้นไม่พอให้รู้สึกอะไรด้วยหรอก
ก็ราวกับจะอ่านใจกันออกตอนที่เราพูดออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน
“ดีล” / “ดีล”
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 5หนึ่งชั่วโมงต่อมานี่มันสวรรค์ชัด ๆฉันรู้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล รู้ว่าตลอดทั้งวันทั้งคืนมีที่เที่ยวหลากหลายแบบให้เลือก และสวรรค์สำหรับคนที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจอย่างกานดาก็คงไม่พ้นตลาดโต้รุ่งตรงหน้า ที่แม้ว่าเวลาจะดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้วยังมีผู้คนจับจองโต๊ะนั่งดื่มนั่งกินกันอย่างคึกคัก“เยอะไปมั้ง”เสียงพึมพำของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเอ่ยขึ้น สายตากวาดมองบรรดาอาหารที่ฉันเดินไปซื้อมาจากร้านอาหารหลายร้าน ส่งผลให้ตอนนี้บนโต๊ะแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้วางอะไรได้อีกแล้ว“นาน ๆ ทีได้ออกมากินตอนดึกก็ต้องจัดเยอะ ๆ สิ” ฉันยิ้มให้อย่างไม่ใส่ใจตรงหน้าของเก๋ามีเพียงจานขนมจีนแกงเขียวหวานไก่เท่านั้น และตอนนี้ก็เกือบจะหมดจานแล้วด้วย ในขณะที่ฉันยังไม่ได้เริ่มแตะอาหารแม้แต่จานเดียวเพราะมัวแต่เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้เลือกซื้อของกินไม่จบไม่สิ้นหลังจากนั้นก็คือสวรรค์ของฉันเอง อาหารตรงหน้าช่างอร่อยไปเสียทุกอย่าง ยิ่งกินก็ยิ่งมีความสุข คงเพราะมัวแต่สุขสมกับการกินทำให้ลืมสนใจคนที่มาด้วยกันไปเสียสนิทพอเงยหน้ามองก็พบว่าเก๋ากำลังนั่งเท้าคางมองกัน
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 6 เก๋า สองชั่วโมงต่อมา ผมร้อนเงิน… ก็ร้อนมากพอสมควร และเหมือนเห็นทางสวรรค์ตอนได้เจอกับกานดากานดาเป็นผู้หญิงประเภทที่ว่าไม่ใช่คนสวย แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือยิ่งนั่งมองคนตรงหน้าก็ยิ่งดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัย ดูเข้าถึงง่าย อารมณ์ดี ยิ้มเก่ง เหมือนชีวิตไม่มีเรื่องให้เครียดแม้จะเป็นคนแปลกนิดหน่อยแต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ และพอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ตกลงชวนผมทำสัญญาเพื่อนเที่ยวอะไรแบบที่ว่า“ข้อที่ห้าสิบสอง… ไปดูคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี…”“…” “ข้อที่ห้าสิบสาม… แวะไปไหว้ศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นต่อ…” “ใช้คำว่าแวะไม่ไหวมั้ง” “…” ผมตัดสินใจขัดขึ้นในจังหวะนี้เอง พร้อมทั้งดึงกระดาษแผ่นที่อีกฝ่ายกำลังพยายามร่างเขียนด้วยลายมือยึกยืออ่านแทบไม่รู้เรื่องมาดู หลังจากกวาดตามองหนึ่งรอบก็ดึงปากกามาด้วย “ปีนเขาไม่น่าไหว… บันจี้จั๊มตัดออกไปเลย… อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ไปเอเวอร์เรสท์?” “แพงอยู่แต่น่าจะจ่ายไหว…” น้ำเสียงยานคางเอ่ยตอบ และผมก็อดที่จะแค่นหัวเราะอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้ดูสภาพตั
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 7 ฉันตื่นนอนมาในสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าเป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ส่วนอื่น ๆ ถูกห่ออยู่ในผ้าห่มผืนหนา และตอนที่พยายามจะดึงผ้าห่มเพื่อนอนคลุมโปงก็รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง มันดึงไม่ขึ้น เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับไว้ ดวงตาสะลึมสะลือเมื่อครู่เบิกโพลงขึ้นอย่างตระหนกตกใจ หันกลับไปมองที่ด้านหลังก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นร่างเหยียดยาวของใครคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างกัน “กรี๊ด!!!” เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูที่ดังขึ้นเป็นเสียงของฉันเอง พร้อมกันก็ยกเท้าถีบคนแปลกหน้าที่ก็ยังไม่ทันได้เห็นหน้า แต่แม้จะถีบเต็มแรงคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ กลับไม่ได้ร่วงหล่นลงจากเตียงอย่างที่ใจคิด “อะไรวะ?” เสียงของไอ้คนที่ว่าดังขึ้นพร้อมกันก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าแตกตื่นไม่แพ้ฉัน และแค่เขาหันหน้ามาก็ถึงบางอ้อในจังหวะนี้นี่เองว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา “เป็นอะไร?” เก๋าเลิกคิ้วมอง ส
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 8 ฉันรีบเดินออกจากร้านพยายามเดินตามคนทั้งคู่ แต่ดันมาคลาดกันตรงหัวมุมหนึ่ง ทีนี้กวาดตามองเท่าไรก็ไม่เจอซะแล้ว ถ้าหากเก๋ามีแฟนอยู่แล้วจริง แต่ดันมารับงานแบบนี้มันก็น่าทุเรศไปหน่อย น่าสงสารน้องผู้หญิงคนนั้นจะตาย ถึงตอนนี้ก็ได้แต่จินตนาการไปตามเรื่องตามราว เอาเป็นว่าเจอหน้ากันคงจะต้องสอบปากคำอีกสักที “ทำอะไร?” “…”ฉันหลังกลับโดยสัญชาตญาณเพราะมีใครสักคนสะกิดเข้าที่ไหล่ และไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่เป็นคนที่ตามเดินดูเมื่อครู่นี้เองไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามคนที่จู่ ๆ ก็เป็นฝ่ายโผล่มาให้เจอเอง สายตากวาดมองไปรอบตัวของอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก เผื่อจะเจอน้องคนนั้นด้วย แต่ก็ไม่มีเก๋าขมวดคิ้วหันซ้ายหันขวามองตาม ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง“พี่ตามใครอยู่?”“ก็ตามเธอไง”“เป็นสตอล์กเกอร์หรือไง?”“จะบ้าเหรอ?”ฉันยกของที่กำลังหอบหิ้วอยู่ให้อีกฝ่ายดู พร้อมทั้งขยายความ “วันนี้ฉันออกมาซื้อของ และบังเอิญเห็นเธอ…”“แล้วตามผมมาทำไม?”“…”“ตามผมกับน้องมาทำไม?”“…”เจ้าตัวถามเข้าประเด็น เดาจากสีหน้าคงรู้แล้วว่าฉันไม่ได้เห็นเขาแค่คนเดียวแต่เห็
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 9สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเสียงดัง หันกลับมาจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาในวันนี้เก็บเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย เวลาไม่นานนักคนในห้องน้ำก็เดินออกมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว “ขอเสื้อผ้าสักชุด” ฉันที่พยายามจะทำใจให้สบายแล้ว จำต้องหันกลับไปมองอีกรอบ“จะมาใส่ของคนอื่นมั่วซั่วได้ยังไง?” “เดี๋ยวอย่างอื่นได้ใส่ยิ่งกว่านี้อีก แค่เสื้อผ้าจะเป็นไรไป” “…”เพราะคำพูดกำกวมของพ่อคนพูดตรง ทำเอาฉันเกิดจะสะอึกขึ้นมา แต่จะห้ามก็ไม่ทันแล้ว “พี่กับผมน่าจะใส่เสื้อผ้าไซซ์เดียวกัน เพราะงั้นใส่ได้” “ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างเหรอ?”ฉันยืนเท้าสะเอวมองแต่เก๋าก็ทำหูทวนลม แล้วเสื้อยืดตัวเก่งของฉันก็ถูกคนอื่นเอาไปใส่หน้าด้าน ๆ แบบที่ทำได้แค่มอง เห็นอยู่โต้ง ๆ ว่าคงจะไปสู้รบปรบมืออะไรไม่ได้ บวกกับปกติฉันไม่ได้หวงของขนาดนั้น สุดท้ายเลยเดินหนีไปอาบน้ำแทน หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาเข้านอน ใจรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่เห็นร่างสูงเหยียดกายนอนคว่ำอยู่บนเตียง เก๋ากำลังอ่านอะไรบางอย่างจากหน้าจอโ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 10 หนึ่งชั่วโมงต่อมา “ฉันไม่เข้าใจเลย… ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” “…” “ฉันกับผู้ชายคนนั้นเราคบกันมาตั้งสิบปี มันไม่มีความผูกพันอะไรบ้างเลยเหรอ?” “…” “ไหนจะยังเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีก็ด้วย” “…” “แถมยังมีหน้ามาเชิญไปงานแต่งงานอีก ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร” “…” “น่าทุเรศ ที่คนไม่ได้ทำอะไรผิดแบบฉันจะเป็นฝ่ายเหลือตัวคนเดียว” “…” คงเพราะเบียร์… ทำให้ตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมปากตัวเองเอาไว้ได้ คิดอะไรอยู่ก็พรั่งพรูออกไปหมด ยิ่งในหัวคิดเวียนวนถึงอดีตคนรักกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีมากเท่าไร บ่อน้ำตาก็ยิ่งระเบิดหนักมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่เคยมีใครได้มารับฟังปัญหาที่สั่งสมมาแรมปี ทำให้ตอนนี้เหมือนคลื่นอารมณ์หลั่งไหลออกจากห้วงคิดไม่หยุดเพราะไม่เคยได้ปรึกษาใคร ทำให้ตอนนี้คนตรงหน้าที่รู้จักกันได้ไม่กี่วันกลายเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ไปโดยปริยาย ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่ทำให้ฉันรู้สึกอยาก
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 11 วันต่อมา ก๊อก ก๊อก ก๊อก แม้จะกำลังวุ่นวายอยู่กับการฝึกแต่งหน้า…แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องละมือจากบรรดาเครื่องสำอางทั้งหลาย เร่งรุดไปเปิดประตูให้คนด้านนอกที่ตอนนี้มีคีย์การ์ดเข้าตึกอีกอันแล้ว เพราะฉันเพิ่งเบิกมาให้เมื่อวาน แต่แน่นอนว่ากุญแจห้องฉันไม่ได้ให้ไปด้วย วันนี้เก๋าไม่ได้อยู่ในชุดนิสิตเหมือนทุกที แต่อยู่ในชุดไปรเวตอย่างเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีน รองผ้าใบ เป็นการแต่งตัวที่ไร้ซึ่งความหรูหราทว่าออร่ากระจาย นั่นคงเพราะด้วยรูปหน้าคมชัดไปทุกส่วนแค่มองก็ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จตลอดเวลา และที่แปลกไปอีกอย่างคือวันนี้เจ้าตัวสะพายกระเป๋ากีตาร์มาด้วย “เธอจะไปทำงานเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถาม แล้วรีบเดินกลับมาหย่อนกายลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งต่อ “ทำดึก ๆ” “ที่บอกว่าเล่นดนตรีใช่ไหม?” “อืม” “ซอยข้าง ๆ มีร้านหมูกระทะมาเปิดใหม่ มีโปรฯ มาสองจ่ายหนึ่ง ฉันว่าเราต้องไปจัดกันสักหน่อย” เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ลงบนพื้น แล้วหันกลับมาเท้าสะเอวมอง
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 12 เที่ยงคืน จะว่าที่นี่เป็นร้านเหล้าลับ ๆ ก็ไม่น่าจะถูกนัก ด้วยจำนวนลูกค้าเนืองแน่นในร้าน ทั้งคนที่นั่ง คนที่เดิน รวมถึงคนที่เพิ่งจะมาถึงซึ่งกำลังทยอยกันเข้ามา หากจะขัดกันก็ตรงสถานที่ตั้งของร้านที่ดูลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นร้านเหล้า ตัวร้านตั้งอยู่ลึกเข้ามาเกือบจะสุดซอย บรรยากาศร้านติดริมคลอง และเท่าที่สังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ก็พบว่าลูกค้าส่วนมากล้วนเป็นนิสิตนักศึกษาด้วยกันทั้งสิ้น มันไม่ใช่ผับบาร์ที่ทุกคนล้วนแต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็ม หากแต่ที่นี่ชายหญิงหลายคนออกมาทั้งชุดนอน บ้างก็ใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น และเพราะบรรยากาศเป็นแบบนี้ทำให้ฉันไม่รู้สึกขัดเขินมากนักหากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนอีกแบบอาจจะรู้สึกดาวน์ขึ้นมาได้ พูดง่าย ๆ ก็คือสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกรู้สึกผ่อนคลาย และใช่… ฉันเพิ่งเคยมาร้านนั่งดื่มแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ซ้ำยังนั่งคนเดียวเปล่าเปลี่ยววิเวกเอกาแบบสุด ๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหันมาสนใจ เสียงดนตรีสดกำลังเล่นคลอไปกับบรรยากาศสุดแสนจะครึกครื้นแลดูคึกคัก แต่ละ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 3 หลายปีต่อมา เพราะมีบ้านแล้วและเพราะฉันว่างมากจากอาชีพเดิมคือการเป็นเทรดเดอร์ นอกจากวัน ๆ จะต้องนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้น ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา ฉันก็ว่างแหละ ไม่ก็พยายามจะว่าง…ช่วงนี้ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน จัดการทำข้าวกล่องส่งขายตามตลาดเช้าเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้เดิมที่มันก็ไม่ได้แย่อะไร และกว่าข้าวกล่องพวกนี้จะเสร็จก็กินเวลาเกือบเจ็ดโมงหากเป็นวันธรรมดาในเวลาเดียวกันนี้ จะได้เห็นร่างสูงของเก๋าในเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ได้เห็นคนที่ว่าอยู่ในสภาพดังกล่าวฉันอาจจะลืมเล่าไปถึงเรื่องที่ว่า คนเป็นสามีเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา และตอนนี้กำลังทำงานควบคุมออกแบบ ติดตั้งเครื่องจักรกลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงหน้าตาเก๋าเหมือนไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่อย่างที่เห็นว่าพอจะได้เรื่องอยู่บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดของเก๋า แต่กลับได้ยินเสียงคนที่ว่าดังมาจากทางห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของตัวบ้านตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง และไม่ใช่เสียงเก๋าคนเดียว… แต่ม
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 2 “คุณเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงติดขัดเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาจะเลื่อนขึ้นสบในวินาทีต่อมา “ชีวิตฉันตอนนี้ดีมาก ดียิ่งกว่าปีไหน ๆ”ฉันเอ่ยตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม แม้จะแฝงไปด้วยอารมณ์เกลียดขี้หน้าเหลือประมาณก็ตามที “ผมคิดถึงคุณนะ” คงเพราะสายตาสื่อความนัยแบบที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไร ส่งผลให้รอยยิ้มของฉันคลายลงโดยอัตโนมัติ พึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเค้นขู่ลอดไรฟัน “เกิดจะคิดถึงขึ้นมาได้เชียว” “เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันไหม? ผมเป็นเจ้ามือเอง ยังไงก็คนคุ้นเคย…” คำว่า ‘คนคุ้นเคย’ กับการแสดงออกผ่านสายตาน่ารังเกียจ ทำเอาฉันรู้สึกอยากจะขย้อนอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ธนาก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าสู่หน้าแอปพลิเคชันสำหรับใช้ติดต่อ “พลอยคงจะเสียใจถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้” คนฟังระบายรอยยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้ง แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งทุเรศหู “พลอยไม่รู้หรอก” แล้วก็ยื่นโทรศัพท์มา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 1 เขาว่ากันว่าเวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรมักจะได้อย่างนั้น ผลของการกระทำมักจะเข้าเล่นงานแบบไม่ทันให้ตั้งตัว… ห้างสรรพสินค้า S ฉันกับเก๋าเราออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวย้ายเข้าสู่เรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ร่วมสองเดือน และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ชายที่เมื่อแรกเจอเราทั้งคู่กัดกันยิ่งกว่าอะไร… “ที่รัก” “…” “ที่รัก” “…” “กานดา” “ฮะ?” เพราะฉันกำลังให้ความสนใจกับของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมาะน่าจะเอาไปตั้งในห้องนอนของเรา เลยไม่ทันได้ยินเสียงของคนด้านหลัง หันไปมองก็พบว่าคนเรียกกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สีหน้าเบื่อหน่ายฉายชัด “ทำไมจะต้องสรรหาสรรพนามอื่นมาเรียกกันด้วย? ผมเรียก พี่ก็ไม่หันอยู่ดี” “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน เรียกอีกที ๆ” “…” ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดข้อตกลงเรื่องล่าสุดระหว่างเราจำต้องรีบหมุนตัวกลับอีกครั้ง แสร้งทำเป็นดูของตกแต่งชิ้
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 52 สามปีต่อมา ฉันหมดแรงทิ้งเข่าทรุดกายลงตรงจุดซึ่งมีธงปักอยู่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาซึ่งอยู่ทางแถบภาคตะวันตกของประเทศเป็นที่เรียบร้อย ด้านบนนี้ลมพัดแรงจนผมเผ้าที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสะบัดปลิวพลิ้วไหว ขายาวของคนที่มาด้วยกัน หยุดยืนลงที่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเก๋านั้นไม่ได้ดูหมดสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งแสดงออกว่าเหนื่อยสักนิดก็ยังไม่มี คนเป็นแฟนยืนทิ้งเข่า ยกขวดน้ำขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพของเหล่าภูเขาสลับซับซ้อนเรียงรายมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนนัยน์ตาซึ่งหรี่เล็กน้อยเพราะแรงลมจะเลื่อนต่ำลงมองสภาพของฉันด้วยสายตาที่บ่งชัดว่ากำลังสมน้ำหน้ากัน โอเค…ฉันมันบ้าเองที่อยากจะเดินป่าขึ้นเขาขึ้นดอยให้ได้ และตอนแรกเก๋าก็ไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรประเภทนี้ถึงแม้ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำก็จริง แต่เพราะยังไม่เคยทำกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนเลยทำให้คนเป็นแฟนมีทีท่าไม่เห็นด้วยอย่างที่บอกเก๋าค้านว่า อย่างน้อยเราก็ต้องมีประสบการณ์เดินทางไกล หรือไม่ก็ต้อ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 51 หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายร้อนผ่าวของฉันนอนทาบทับคร่อมเรียวขาอยู่เหนือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเก๋า ก้นสองข้างกำลังถูกฝ่ามือหนาจับสับโยกเข้าหาความแข็งขืนของตัวตนที่ผงาดกร้าวตั้งเป็นลำตอนนี้เป็นเวลาตีห้าเกือบจะหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น แต่แค่เรานอนกอดนอนเกยกันนิดเดียวก็เกิดจะปลุกเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ เสียงร่องเนื้อรูดขึ้นลงตามจังหวะการทิ้งสะโพกเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้ คนที่นอนอยู่ด้านล่างคลอเคลียจูบเข้าที่ซอกคอ หอมเข้าที่ข้างแก้มไม่หยุดมาตั้งแต่เราเริ่มบรรเลงบทรักเมื่อชั่วโมงก่อน “เสียวไหม?”เสียงห้าวแหบเอ่ยถาม ทั้งมือยังคงควบคุมจังหวะความเร็วอยู่อย่างนั้น ฉันเลื่อนริมฝีปากกระซิบเข้าที่ข้างหูของคนเป็นแฟนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงพร่า“เสียวจนจะแตกอีกแล้ว”“ชอบของผมไหม?”เก๋าหยักยิ้มเอ่ยขอคำชมที่ก็มักจะขอเสมอ และฉันก็ให้คำตอบด้วยการออกแรงขย่มสับรัวเร็วอย่างเอาใจ พลางกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่พร่าสั่นหนักกว่าเดิม“ขึ้นให้ทุกเช้าแบบนี้ เธอคิดว่าชอบไหม?”“ชอบตรงไหน?”“ชอบทุกตรง”“ผมก็ชอ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 50 หลายวันต่อมา หลายวันที่ผ่านไปคนที่บอกว่าจะจีบก็มาจีบทุกวัน เช้ารอบ เย็นอีกรอบ แต่ถ้าวันไหนติดงานแล้วมาไม่ได้ก็จะส่งกลอนหวานเลี่ยนมาทางแชตแทน แม้เป็นการจีบที่ไม่ได้เรื่อง แต่เก๋าก็ทำให้ฉันยิ้มได้ไม่หยุดและตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว การได้เห็นเจ้าตัวปรากฏตัวจึงไม่ได้น่าแปลกใจเพราะก็มาอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปจากวันอื่นตรงที่เก๋าแบกเอากีตาร์มาด้วยร่างสูงอยู่ในชุดนิสิตเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเพราะมหา’ลัยเปิดเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะขับมอเตอร์ไซค์มาหา“มาจีบ”ไม่ต้องรอให้ถามเจ้าตัวก็รีบชิงพูดขึ้นทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เหมือนจะแกล้งกันเล่น เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ออกจากหลัง ก่อนจะเริ่มทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด สายตาร้อนแรงจับจ้องมองกันแบบไม่วางตา“ถอดเสื้อถอดผ้าทำไม?”“ร้อน”“โกหก”“ใช่”“ถอดกางเกงทำไม?”“ร้อน”“เก๋า”“ใช่ ผมโกหก”ฉันหลุบตาลงมองนิยายในมือที่กำลังอ่านอยู่ขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย กระทั่งพื้นที่ว่างบนเตียงยุบลงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกทีเก๋าในสภาพกึ่งเปลือยมีกีตาร์วางพาดอยู่
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 49 ความเงียบ สายลม รวมถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินได้ฟัง มันควรจะเป็นโมเมนต์สุดแสนโรแมนติก ทว่าฉันกลับไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อรู้ว่าเราสองคนใจตรงกัน ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วหมวยจะไม่เป็นไรเหรอ?” “ไม่ต้องห่วง มีคนที่ดูแลหมวยได้ดีพอกับที่ผมทำช่วยรับหน้าที่ต่อแล้ว ถึงผมจะยังคงรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้น้องมัน แต่เรื่องอื่น ๆ น้องชายผมจะเป็นคนจัดการแทน” “เธอเคลียร์กับหมวยแล้วเหรอ?” “ผมบอกไปตรง ๆ ว่าผมชอบพี่ และเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ อันที่จริงก็ไม่ได้พูดครั้งแรกแต่พูดมาหลายครั้งแล้ว” “…” “และการตัดสินใจให้น้องผมเป็นคนดูแลหมวยต่อก็มีข้อดี หมวยจะได้ตัดใจจากผมได้สักที” “…” “และเพราะพี่เป็นแบบนี้ไง… ผมถึงได้ชอบ” เก๋าระบายรอยยิ้มอีกครั้งพลางก็ถอนหายใจเบา ๆ “ใครจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกัน ใครจะปากแว้ด ๆ ๆ แต่จริงแล้วเป็นคนใจดี” “นี่ชมหรือด่า?” “
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 48 หลายวันต่อมา วันนี้ วันที่ยี่สิบพฤศจิกายน… ฉันในชุดเดรสสีชมพูอ่อน รวบผมเป็นหางม้า ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ กำลังหมุนตัวซ้ายขวาตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวัน เพื่อไปงานแต่งงานของคนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทมากมายในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฉันตั้งแต่สมัยมัธยม มหา’ลัย กระทั่งเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง งานแต่งของสองคนที่ว่าจัดขึ้นที่จังหวัดระยองซึ่งเป็นบ้านเกิดของธนาอดีตแฟนของฉันเอง พลอยส่งโลเคชันที่จัดงานมาให้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนแล้ว และถึงฉันจะไม่ได้ตอบรับว่าจะไป แต่ก็มีเก๋าเสนอหน้าช่วยตอบให้ ทั้งยังแนบรูปที่เป็นของเราสองคนส่งไปด้วย เก๋าบอกว่าเราเป็นแฟนกันทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันเท่านั้น และถึงตอนนี้ไอ้คำว่าแฟนที่ว่าก็ยังไม่ได้เป็น ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงระยองกินเวลากว่าสามชั่วโมง มาถึงสถานที่จัดงานก็เป็นเวลาที่พิธีการเริ่มต้นขึ้นพอดิบพอดี งานแต่งงาน
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 47 ยี่สิบนาทีต่อมา แน่นอนว่าผมรถล้ม… และเกือบจะได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล แต่โชคยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าไรนัก ถึงแขนจะถลอก หน้าจะเกือบแหก แต่ก็ยังพอไหว… ความเร่งรีบทำให้ผมลืมแม้กระทั่งสิ่งสำคัญอย่างหมวกนิรภัยที่ปกติแล้วจะต้องใส่เสมอเพื่อความปลอดภัยของชีวิต แต่เพราะวันนี้จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องที่ว่าไม่ควรจะลืมก็ดันมาลืมซะได้ แม้จะบาดเจ็บเล็กน้อย แม้ผิวเนื้อตรงจุดที่เลือดผุดซึมจะแสบ ๆ คัน ๆ แต่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจ มาถึงคอนโดของกานดาได้ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกระหน่ำกดลิฟต์ทันที มีลุงแช่ม รปภ. ประจำคอนโดรีบวิ่งตามเข้ามาด้วยอาการร้อนใจแทน ผมพยายามจะใจเย็นตอนที่บอกว่าไม่เป็นไรผมจะขึ้นไปดูเอง แต่ใจผมในตอนนี้มันเย็นแทบไม่ไหวแล้ว และทันทีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาถึงหน้าห้องที่แสนจะคุ้นเคยก็รีบใช้กุญแจที่ตัวผมเองยังไม่ได้คืนให้เจ้าของห้องไขเข้าที่ลูกบิดทันทีพร้อมทั้งส่งเสียงเรียกไปด้วย “กานดา!” “…” “กานดา!” “…”