ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรัก
ตอนที่ 8
ฉันรีบเดินออกจากร้านพยายามเดินตามคนทั้งคู่ แต่ดันมาคลาดกันตรงหัวมุมหนึ่ง ทีนี้กวาดตามองเท่าไรก็ไม่เจอซะแล้ว
ถ้าหากเก๋ามีแฟนอยู่แล้วจริง แต่ดันมารับงานแบบนี้มันก็น่าทุเรศไปหน่อย น่าสงสารน้องผู้หญิงคนนั้นจะตาย ถึงตอนนี้ก็ได้แต่จินตนาการไปตามเรื่องตามราว เอาเป็นว่าเจอหน้ากันคงจะต้องสอบปากคำอีกสักที
“ทำอะไร?”
“…”
ฉันหลังกลับโดยสัญชาตญาณเพราะมีใครสักคนสะกิดเข้าที่ไหล่ และไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่เป็นคนที่ตามเดินดูเมื่อครู่นี้เอง
ไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามคนที่จู่ ๆ ก็เป็นฝ่ายโผล่มาให้เจอเอง สายตากวาดมองไปรอบตัวของอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก เผื่อจะเจอน้องคนนั้นด้วย แต่ก็ไม่มี
เก๋าขมวดคิ้วหันซ้ายหันขวามองตาม ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“พี่ตามใครอยู่?”
“ก็ตามเธอไง”
“เป็นสตอล์กเกอร์หรือไง?”
“จะบ้าเหรอ?”
ฉันยกของที่กำลังหอบหิ้วอยู่ให้อีกฝ่ายดู พร้อมทั้งขยายความ “วันนี้ฉันออกมาซื้อของ และบังเอิญเห็นเธอ…”
“แล้วตามผมมาทำไม?”
“…”
“ตามผมกับน้องมาทำไม?”
“…”
เจ้าตัวถามเข้าประเด็น เดาจากสีหน้าคงรู้แล้วว่าฉันไม่ได้เห็นเขาแค่คนเดียวแต่เห็นรวมไปถึงผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็ด้วย
ดีที่เอ่ยออกมาตรง ๆ ฉันเองก็มีเรื่องที่กำลังข้องใจอยู่พอดี
“ฉันเห็นเธออยู่กับผู้หญิง”
“…” เก๋านิ่ง ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ
“ผู้หญิงคนนั้นแฟนเธอเหรอ? แล้วพวกเธอมีปัญหากันเพราะฉันหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่แฟน”
“จริงเหรอ?”
“ไม่ใช่แฟน แต่เป็นน้องสาว”
“เรื่องแบบนี้ใครก็โกหกได้…”
ฉันหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ แต่เก๋าก็ไม่ได้ดูตระหนกตกใจ ดูจะเฉย ๆ เสียด้วยซ้ำ หากโดนจับได้ว่าตนมีแฟนอยู่แล้วจริงก็ควรต้องมีทีท่าอะไรบางอย่าง แต่นี่ไม่…
เด็กนี่นิ่งสนิท ทั้งยังยืนทิ้งเข่าล้วงกระเป๋าเสื้อด้วยท่วงท่าสบาย ๆ แถมพอเห็นฉันทำหน้าไม่เชื่อ ก็ว่ามาอีก
“นั่นน้อง ผมไม่มีแฟน”
“ก็ใครมันจะไปรู้ เห็นเดินตามกันขนาดนั้น ฉันแค่คิดว่าถ้าเธอมีแฟน แล้วมารับงานแบบนี้มันไม่ถูกต้อง…”
ฉันเอ่ยต่อเผื่อจะเค้นเอาความจริงอะไรได้บ้าง แต่คู่สนทนาก็ตัดบท
“ผมรับงานให้พี่ก็ต้องรู้แล้วว่าตัวเองมีแฟนไม่ได้ และนั่นก็ไม่ใช่แฟน”
“…”
ร่างสูงโน้มตัวลงมาดึงถุงในมือฉันไปถือให้ แล้วเริ่มออกเดินนำทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ถึงอีกฝ่ายจะทำทีไม่อยากพูดถึงประเด็นเดิม แต่เพราะฉันเป็นผู้ว่าจ้างแน่นอนว่ามีสิทธิ์ถาม
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่านั่นไม่ใช่แฟน?”
“ก็บอกอยู่นี่ไง”
“แต่…”
“สัญญาไม่ได้ระบุว่าพี่สามารถก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผมได้นะ”
“…”
“พี่เองก็บอกไม่มีแฟน ผมก็เชื่อตามนั้นเหมือนกัน”
“…”
“ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงไม่จริง ถ้าพี่โกหกแล้ววันดีคืนดีแฟนพี่เอาปืนมายิง แบบนั้นผมก็เสี่ยงเหมือนกัน แต่พอพี่บอกว่าไม่ ผมก็จำใจต้องเชื่อ และไม่ได้ตั้งข้อสงสัยอะไรต่อด้วย”
“…”
“การทำงานระหว่างเราควรมีขอบเขตชัดเจนกว่านี้ไหม?”
เก๋าทำหน้าจริงจังจนฉันปั้นหน้าแทบไม่ถูก ก็ได้แต่พยายามเค้นสมองพูดต่อ
“ฉันมีสิทธิ์อยากรู้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา…”
“จะไม่มีปัญหาแน่ และถ้ามีปัญหาจริง ผมโอเคถ้าพี่จะฉีกสัญญา แต่มันไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะผมโสดไม่มีเมีย”
“…”
“ถ้าไม่เชื่อ… จะจ้างคนตามดูก็ได้”
“เรื่องไรจะจ้าง เปลืองตัง”
“งั้นก็ทำใจให้สงบ ผมโสด เคนะ?”
“…”
ฉันได้แต่กะพริบตาปริบ ต่อปากต่อคำไม่ทันเพราะสมองประมวลผลได้ช้ากว่าปกติ อีกทั้งไม่รู้ว่าการเลี้ยงดูเด็กสักคน ขอบเขตของการออกคำสั่งมันได้มากน้อยแค่ไหนก็ด้วย
“เงียบทำไม?”
“จะให้ตอบอะไร เธอเอาแต่บอกไม่ให้ล้ำเส้น…”
เก๋านิ่งไปครู่ก็ถอนหายใจเบา ๆ
“โอเค ผมผิดเองที่ไม่เคลียร์ แต่ผมโสดจริง”
“…”
“ถ้าอยากให้ชัวร์ผมไปนอนกับพี่ทุกวันยังได้”
ว่าแล้วก็เสนอมาอีก ก่อนจะเอ่ยบริการเสริมเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“ส่วนเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ผมจะไปตรวจมันทุกเดือนเลย เดี๋ยวออกเงินเอง…”
“เรื่องอย่างนี้เธอจะมาเก็บจากฉันอีกเหรอ?”
“ก็จะออกตังเองนี่ไง”
“…”
“เอาไง? ให้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ด้วยเลยไหม?”
“ไม่ต้อง”
“…”
เรายังคงยืนจ้องกันไปจ้องกันมาอยู่ที่จุดเดิมกว่าอีกนาที ฉันพยายามจับสังเกตความผิดปกติบางอย่างทางสีหน้า และเก๋าเองก็เต็มใจให้จ้อง ทั้งยังจ้องคืนด้วย สุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ยกมือยอมแพ้
“โอเค ๆ เชื่อก็ได้”
ด้วยไม่อยากจะทำให้บรรยากาศระหว่างเรามันตึงเครียดสุดท้ายแล้วการสอบสวนก็จบลงเพียงเท่านี้ ก็ได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจ จะไปหาเอาความอะไรได้อีก เว้นก็แต่จะไปจ้างคนตามสืบจริงจังซึ่งฉันมองว่ามันไม่จำเป็นถึงขั้นนั้น และถ้าเขามีแฟนจริงคงไม่เสนอตัวย้ายไปอยู่ที่คอนโดหรอกมั้ง
หากเก๋าเชื่อเรื่องที่ว่าฉันโสดแบบไร้ข้อกังขา ฉันเองก็ควรจะต้องไว้ใจเจ้าตัวเหมือนกัน ทั้งระหว่างเราก็แค่เรื่องงานไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกัน สำหรับฉันแล้วขอแค่เด็กนี่ไม่ไปมีอะไรกับใครมั่วซั่วก็น่าจะพอ
คู่สนทนามีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะยกแขนสองข้างขึ้นชูบรรดาถุงกระดาษที่ตัวเองถืออยู่
“จะช็อปงี้ทุกวันเลยหรือไง?”
“เรื่องของฉัน” ฉันทำเป็นเมิน ตั้งท่าจะคว้าเอาของทั้งหมดคืน แต่อีกฝ่ายก็ลดแขนลงแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“กินข้าวหรือยัง?”
“เธอจะพาไปกิน?”
“จะกินอะไร?”
“นึกว่ายังจัดการธุระตัวเองไม่เสร็จซะอีก”
ก็หมายถึงเรื่องน้องเนิ้งอะไรนั่นแหละ…
นัยน์ตาคมเบนไปทางอื่นเมื่อโดนแซะซึ่ง ๆ หน้า ฉันหลุดขำขึ้นมาได้ รีบตบเข้าที่บ่ากว้างพยายามสร้างบรรยากาศให้กลับมาเป็นกันเอง
“แค่ล้อเล่น”
“ผมไปกับพี่เลยแล้วกันไหน ๆ ก็เจอแล้ว” ทีงี้ละหันกลับมาได้…
“ฉันยังซื้อของไม่เสร็จ”
“ก็ซื้อดิ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน”
“เอางั้น?”
“พี่เสียเงินจ้างแล้ว เรียกร้องสักนิดสักหน่อยก็ดี”
“…”
“ใช้ผมให้คุ้มหน่อยก็ได้”
“ก็ฉันชินกับการทำอะไรคนเดียว”
“ก็ตอนนี้มีผมทำด้วยแล้วไง”
“…”
คนข้าง ๆ ออกเดินนำหน้าไป พอเห็นว่าฉันเงียบก็หันกลับมามอง เห็นว่าเดินช้าก็พยักหน้าเร่ง
“เพราะเดินช้าแบบนี้ไงถึงได้เท้าแหกแบบนั้น”
สายตาเก๋ามองต่ำลงที่เท้าของฉัน ซึ่งวันนี้สวมเพียงรองเท้าแตะ ตรงนิ้วก้อยมีพลาสเตอร์ยาแปะอยู่เนื่องจากโดนรองเท้ากัดตั้งแต่เมื่อวาน
ร่างสูงเดินกลับมาออกแรงดึงเข้าที่แขนให้เดินไปพร้อมกัน การกระทำของเก๋าไร้ซึ่งความอ่อนโยน หน้าตาก็ถมึงทึงยิ่งกว่ายักษ์วัดแจ้ง และถึงประโยคที่ได้ฟังจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ อยู่ที่ข้างใน
อาจเป็นเพราะไม่มีใครสังเกตสังกาชีวิตของกานดาคนนี้มานานมากแล้วกระมัง…
หลายชั่วโมงต่อมา
“เธอจะกลับเลยไหม?”
“ไม่ให้อยู่หรือไง? ผมซื้อที่ตรวจมาแล้ว” คนที่แบกของพะรุงพะรังวางลงบนโต๊ะหันมองกลับมา
“ตรวจอะไร?”
“ATK”
เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่ดึงเอาของที่ว่าออกมาจากกางเกง ฉันที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท กลับต้องรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และก็ต้องแสร้งเปลี่ยนเรื่อง
“มีงานให้ทำแน่ เธอไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำงานนักหรอก”
ว่าแล้วก็เดินผ่านคู่สนทนาไปหยิบเอาแผ่นกระดาษที่แพลนรายการสิ่งที่จะทำไว้ตั้งแต่ช่วงเช้ามาส่งให้ คนตรงหน้ารับไปเริ่มลากสายตาอ่านก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“จองโรงแรมหมดแล้ว?”
“ยังไม่ได้จอง ก็รอมาถามเธอก่อนว่าว่างวันไหนบ้าง เธอเลือกวันมาเลย”
“เดี๋ยวดูให้”
“ยังไงบอกด้วยแล้วกัน”
กระดาษแผ่นนั้นถูกพับยัดใส่กระเป๋ากางเกงแบบส่งเดช เก๋าเริ่มถอดเสื้อออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกครั้ง ก่อนจะลอยหน้าลอยตาเดินไปทางห้องน้ำ ปากพึมพำบอกราวกับเป็นเพียงประโยคบอกเล่าเท่านั้นไม่ใช่การขออนุญาต
“ผมนอนนี่”
“ไม่ต้อง”
“รถผมจอดอยู่นู่น ขี้เกียจไปเอาวันนี้”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาส่ง”
“ขออาบน้ำหน่อย”
“เดี๋ยวสิ”
“ของในห้องน้ำใช้ได้หมดใช่ไหม?”
“เก๋า!”
ปึง!
แล้วฉันก็ถูกเด็กบ้าปิดประตูใส่หน้า…
มันจะทำตัวให้สมกับเป็นลูกจ้างหน่อยไม่ได้เลยหรือไง ถามจริง!
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 9สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเสียงดัง หันกลับมาจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาในวันนี้เก็บเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย เวลาไม่นานนักคนในห้องน้ำก็เดินออกมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว “ขอเสื้อผ้าสักชุด” ฉันที่พยายามจะทำใจให้สบายแล้ว จำต้องหันกลับไปมองอีกรอบ“จะมาใส่ของคนอื่นมั่วซั่วได้ยังไง?” “เดี๋ยวอย่างอื่นได้ใส่ยิ่งกว่านี้อีก แค่เสื้อผ้าจะเป็นไรไป” “…”เพราะคำพูดกำกวมของพ่อคนพูดตรง ทำเอาฉันเกิดจะสะอึกขึ้นมา แต่จะห้ามก็ไม่ทันแล้ว “พี่กับผมน่าจะใส่เสื้อผ้าไซซ์เดียวกัน เพราะงั้นใส่ได้” “ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างเหรอ?”ฉันยืนเท้าสะเอวมองแต่เก๋าก็ทำหูทวนลม แล้วเสื้อยืดตัวเก่งของฉันก็ถูกคนอื่นเอาไปใส่หน้าด้าน ๆ แบบที่ทำได้แค่มอง เห็นอยู่โต้ง ๆ ว่าคงจะไปสู้รบปรบมืออะไรไม่ได้ บวกกับปกติฉันไม่ได้หวงของขนาดนั้น สุดท้ายเลยเดินหนีไปอาบน้ำแทน หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาเข้านอน ใจรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่เห็นร่างสูงเหยียดกายนอนคว่ำอยู่บนเตียง เก๋ากำลังอ่านอะไรบางอย่างจากหน้าจอโ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 10 หนึ่งชั่วโมงต่อมา “ฉันไม่เข้าใจเลย… ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” “…” “ฉันกับผู้ชายคนนั้นเราคบกันมาตั้งสิบปี มันไม่มีความผูกพันอะไรบ้างเลยเหรอ?” “…” “ไหนจะยังเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีก็ด้วย” “…” “แถมยังมีหน้ามาเชิญไปงานแต่งงานอีก ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร” “…” “น่าทุเรศ ที่คนไม่ได้ทำอะไรผิดแบบฉันจะเป็นฝ่ายเหลือตัวคนเดียว” “…” คงเพราะเบียร์… ทำให้ตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมปากตัวเองเอาไว้ได้ คิดอะไรอยู่ก็พรั่งพรูออกไปหมด ยิ่งในหัวคิดเวียนวนถึงอดีตคนรักกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีมากเท่าไร บ่อน้ำตาก็ยิ่งระเบิดหนักมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่เคยมีใครได้มารับฟังปัญหาที่สั่งสมมาแรมปี ทำให้ตอนนี้เหมือนคลื่นอารมณ์หลั่งไหลออกจากห้วงคิดไม่หยุดเพราะไม่เคยได้ปรึกษาใคร ทำให้ตอนนี้คนตรงหน้าที่รู้จักกันได้ไม่กี่วันกลายเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ไปโดยปริยาย ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่ทำให้ฉันรู้สึกอยาก
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 11 วันต่อมา ก๊อก ก๊อก ก๊อก แม้จะกำลังวุ่นวายอยู่กับการฝึกแต่งหน้า…แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องละมือจากบรรดาเครื่องสำอางทั้งหลาย เร่งรุดไปเปิดประตูให้คนด้านนอกที่ตอนนี้มีคีย์การ์ดเข้าตึกอีกอันแล้ว เพราะฉันเพิ่งเบิกมาให้เมื่อวาน แต่แน่นอนว่ากุญแจห้องฉันไม่ได้ให้ไปด้วย วันนี้เก๋าไม่ได้อยู่ในชุดนิสิตเหมือนทุกที แต่อยู่ในชุดไปรเวตอย่างเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีน รองผ้าใบ เป็นการแต่งตัวที่ไร้ซึ่งความหรูหราทว่าออร่ากระจาย นั่นคงเพราะด้วยรูปหน้าคมชัดไปทุกส่วนแค่มองก็ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จตลอดเวลา และที่แปลกไปอีกอย่างคือวันนี้เจ้าตัวสะพายกระเป๋ากีตาร์มาด้วย “เธอจะไปทำงานเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถาม แล้วรีบเดินกลับมาหย่อนกายลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งต่อ “ทำดึก ๆ” “ที่บอกว่าเล่นดนตรีใช่ไหม?” “อืม” “ซอยข้าง ๆ มีร้านหมูกระทะมาเปิดใหม่ มีโปรฯ มาสองจ่ายหนึ่ง ฉันว่าเราต้องไปจัดกันสักหน่อย” เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ลงบนพื้น แล้วหันกลับมาเท้าสะเอวมอง
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 12 เที่ยงคืน จะว่าที่นี่เป็นร้านเหล้าลับ ๆ ก็ไม่น่าจะถูกนัก ด้วยจำนวนลูกค้าเนืองแน่นในร้าน ทั้งคนที่นั่ง คนที่เดิน รวมถึงคนที่เพิ่งจะมาถึงซึ่งกำลังทยอยกันเข้ามา หากจะขัดกันก็ตรงสถานที่ตั้งของร้านที่ดูลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นร้านเหล้า ตัวร้านตั้งอยู่ลึกเข้ามาเกือบจะสุดซอย บรรยากาศร้านติดริมคลอง และเท่าที่สังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ก็พบว่าลูกค้าส่วนมากล้วนเป็นนิสิตนักศึกษาด้วยกันทั้งสิ้น มันไม่ใช่ผับบาร์ที่ทุกคนล้วนแต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็ม หากแต่ที่นี่ชายหญิงหลายคนออกมาทั้งชุดนอน บ้างก็ใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น และเพราะบรรยากาศเป็นแบบนี้ทำให้ฉันไม่รู้สึกขัดเขินมากนักหากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนอีกแบบอาจจะรู้สึกดาวน์ขึ้นมาได้ พูดง่าย ๆ ก็คือสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกรู้สึกผ่อนคลาย และใช่… ฉันเพิ่งเคยมาร้านนั่งดื่มแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ซ้ำยังนั่งคนเดียวเปล่าเปลี่ยววิเวกเอกาแบบสุด ๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหันมาสนใจ เสียงดนตรีสดกำลังเล่นคลอไปกับบรรยากาศสุดแสนจะครึกครื้นแลดูคึกคัก แต่ละ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 13 ขี่ออกมายังไม่ทันถึงไหน คนซ้อนก็เปิดกระจกหมวกตะโกนแข่งกับเสียงลม “อยากเข้าห้องน้ำ” “อั้นก่อนได้ไหม?” “แวะปั๊มเลย!” ไม่มีทางเลือกนอกจากจะหักหัวมอเตอร์ไซค์เข้าปั๊มขนาดไม่ใหญ่นักที่บังเอิญอยู่ข้างทางพอดี จอดรถได้กานดาก็รีบถอดหมวกโยนส่งเดชมาให้ แล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำโดยไม่เอ่ยอะไรอีกดูท่าจะปวดหนัก… เพราะคิดว่าคงต้องรอนานเลยดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบคั่นเวลา พลางก็เลื่อนมือถือดูกำหนดการไปต่างจังหวัดที่กานดาส่งมาให้เมื่อวันก่อนอีกรอบทางแชตไปด้วย ยัยนี่คงจะว่างมากจริง ๆ คนบ้าอะไรจะอยากทำมันทุกอย่างเหมือนเก็บกดมานานได้ขนาดนี้ ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าแรงบันดาลใจในการปีนเขาของกานดาคืออะไร แต่ถึงพูดไปก็เท่านั้นคงต้องให้เจ้าตัวรู้เองว่าสภาพร่างกายไม่พร้อม ไม่ได้ก็คือไม่ได้แต่ส่วนใหญ่ก็พอไหว… ที่บอกว่ากลัวอีกฝ่ายใช้งานไม่คุ้มค่าจ้างผมหมายความแบบนั้นจริง ๆ เราเจอกันแค่ตอนเย็นแถมยังแค่กินข้าว ไม่ได้มีกิจกรรมเยอะขนาดที่ว่าจะต้องจ่ายเป็นแสน เสนอตัวก็แล้ว อะไรก็แล้ว ยังนิ่
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 14 หลายวันต่อมา ไม่รู้เมื่อไรเหมือนกันที่ฉันสามารถทำใจให้ชินกับการตื่นมาแล้วเจอคนแปลกหน้านอนอยู่ข้าง ๆ บนเตียงเดียวกันแบบนี้ได้… รู้อีกทีก็ผ่านมาได้หลายวันแล้วกับการตื่นมากี่ที ๆ ข้างกายก็มีร่างเหยียดยาวนอนห่อตัวคลุมโปงอยู่เสมอ โดยที่ระหว่างเรายังไม่ผ่านการจ้ำจี้กันแม้แต่รอบเดียว แม้ว่าช่วงแรกเก๋าจะฮาร์ดเซลล์หนักมากแต่ระยะหลังก็ไม่ค่อยพูดถึงนัก แต่หากมีโอกาสก็พยายามจะนำเสนอเสมอ ที่เก๋ามานอนด้วยติดต่อกันหลายวันคงไม่ใช่เพราะหนืดเหนียวอยากจะประหยัดค่าไฟที่บ้านอย่างที่กล่าวอ้างไปเมื่อคราวก่อน แต่คงเป็นเพราะเวลาที่มีอย่างจำกัดคงไม่อยากเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับที่นี่ ประกอบกับมีการสอบตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาเจ้าตัวคงอยากเหลือเวลาให้ได้อ่านหนังสือเมื่อวานนี้เองที่การสอบวันสุดท้ายสิ้นสุดลง และหลายวันผ่านไปฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากการเป็นผู้ปกครองเด็กโข่งเลยแม้แต่นิดเดียว ก๊อก ก๊อก ก๊อก เพิ่งจะตื่นได้ไม่ถึงห้านาทีก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ใช่แค่ฉันค
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 15 ตอนนี้เองที่ฉันขืนตัวลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด และเก๋าก็ไม่ได้รั้งไว้ แต่สายตายังคงมองตาม เพราะโดนจ้องไม่หยุดเลยต้องแก้เขินด้วยการปั้นหน้าบึ้งเท้าสะเอวจ้องกลับ “มองอะไร?” “มองไม่ได้?” “ไม่ได้” “เขินก็บอกว่าเขิน” ทำมารู้ทัน… เพราะไม่อยากจะให้เก๋าจับผิดอะไรได้อีก สุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ทำทีเดินไปคว้าเอากระเป๋าเป้ใบโตมาเริ่มจัดเสื้อผ้ายัดใส่ ชำเลืองเห็นคนบนเตียงยังนิ่งเฉยก็อดไม่ได้ที่จะแสร้งทำเสียงดังกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างในใจ “อยากทำงานนักไม่ใช่หรือไง? เตรียมตัวสิ” “จะไปไหน?” “ทำบุญ…” “ทำบุญแล้วทำไมต้องเก็บกระเป๋า?” “ทำบุญเก้าวัด” “วันเดียวก็มีเวลาถมเถ” “อยากไปอีกที่ด้วย” “ที่ไหน?” “เถอะน่า อย่าถามเยอะ” “เอาไงก็เอา ผมสอบเสร็จแล้ว” “ดี ต่อไปนี้จะได้ใช้งานให้คุ้มหน่อย”“ก็รอให้ใช้อยู่เหมือนกัน”“…” “ก่อนหน้านี้ที่พี่ไม่ทำอะไรเลย เป็นเพราะผมสอบ?”
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 16 ตอนเย็น แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก ก้านไม้ของเซียมซีก้านหนึ่งหลุดออกจากกระบอกไม้ไผ่สีแดงก่อนจะร่วงลงบนพื้น ฉันได้เซียมซีหมายเลขที่ 13ช่างเป็นเลขที่เป็นมงคลเสียจริง… ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาฉันกับคู่หูดูโออย่างเก๋าพากันไปทำบุญเรียบร้อยตามที่ใจคิดทั้งหมดเก้าวัดเก้าวา และนี่ก็เป็นวัดสุดท้ายที่เรามาถึง หลังจากถวายสังฆทานที่เตรียมมาเรียบร้อยก็มาไหว้พระที่อุโบสถ ปิดท้ายด้วยการเสี่ยงทายเซียมซี คำทำนายเก่า ๆ ที่ระบุบอกหมายเลข 13 ทำเอาลังเลที่จะดึงออกมาแต่กลับมีคนช่วยดึงให้ แผ่นกระดาษสีน้ำตาลถูกยื่นส่งต่อมาให้ เก๋าลอบอ่านเล็กน้อยแล้วจู่ ๆ ก็ตั้งท่าจะดึงกลับคืน เพราะอาการที่ได้เห็นทำให้ฉันอยากจะรู้ว่าคำทำนายนั้นมันเขียนว่าอะไร รู้อีกทีก็ดึงเอากลับมาคำทำนายเซียมซีใบที่ 13ใบที่สิบสามว่าไว้ในอักษร เหมือนเรือเล็กไคลคลากลางสาครพายุต้องทวนลมระบมใจ จะข้ามฟากแสนยากลำบากยิ่งสิ้นทุกสิ่งจงแจ้งแถลงไข แม้นถามการไปมาจะคลาไคลท่านบอกไว้ตามคำที่ทำนาย ทิศทักษิณทิศประจิมริมวิถีหนทา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 3 หลายปีต่อมา เพราะมีบ้านแล้วและเพราะฉันว่างมากจากอาชีพเดิมคือการเป็นเทรดเดอร์ นอกจากวัน ๆ จะต้องนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้น ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา ฉันก็ว่างแหละ ไม่ก็พยายามจะว่าง…ช่วงนี้ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน จัดการทำข้าวกล่องส่งขายตามตลาดเช้าเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้เดิมที่มันก็ไม่ได้แย่อะไร และกว่าข้าวกล่องพวกนี้จะเสร็จก็กินเวลาเกือบเจ็ดโมงหากเป็นวันธรรมดาในเวลาเดียวกันนี้ จะได้เห็นร่างสูงของเก๋าในเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ได้เห็นคนที่ว่าอยู่ในสภาพดังกล่าวฉันอาจจะลืมเล่าไปถึงเรื่องที่ว่า คนเป็นสามีเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา และตอนนี้กำลังทำงานควบคุมออกแบบ ติดตั้งเครื่องจักรกลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงหน้าตาเก๋าเหมือนไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่อย่างที่เห็นว่าพอจะได้เรื่องอยู่บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดของเก๋า แต่กลับได้ยินเสียงคนที่ว่าดังมาจากทางห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของตัวบ้านตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง และไม่ใช่เสียงเก๋าคนเดียว… แต่ม
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 2 “คุณเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงติดขัดเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาจะเลื่อนขึ้นสบในวินาทีต่อมา “ชีวิตฉันตอนนี้ดีมาก ดียิ่งกว่าปีไหน ๆ”ฉันเอ่ยตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม แม้จะแฝงไปด้วยอารมณ์เกลียดขี้หน้าเหลือประมาณก็ตามที “ผมคิดถึงคุณนะ” คงเพราะสายตาสื่อความนัยแบบที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไร ส่งผลให้รอยยิ้มของฉันคลายลงโดยอัตโนมัติ พึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเค้นขู่ลอดไรฟัน “เกิดจะคิดถึงขึ้นมาได้เชียว” “เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันไหม? ผมเป็นเจ้ามือเอง ยังไงก็คนคุ้นเคย…” คำว่า ‘คนคุ้นเคย’ กับการแสดงออกผ่านสายตาน่ารังเกียจ ทำเอาฉันรู้สึกอยากจะขย้อนอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ธนาก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าสู่หน้าแอปพลิเคชันสำหรับใช้ติดต่อ “พลอยคงจะเสียใจถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้” คนฟังระบายรอยยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้ง แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งทุเรศหู “พลอยไม่รู้หรอก” แล้วก็ยื่นโทรศัพท์มา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 1 เขาว่ากันว่าเวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรมักจะได้อย่างนั้น ผลของการกระทำมักจะเข้าเล่นงานแบบไม่ทันให้ตั้งตัว… ห้างสรรพสินค้า S ฉันกับเก๋าเราออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวย้ายเข้าสู่เรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ร่วมสองเดือน และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ชายที่เมื่อแรกเจอเราทั้งคู่กัดกันยิ่งกว่าอะไร… “ที่รัก” “…” “ที่รัก” “…” “กานดา” “ฮะ?” เพราะฉันกำลังให้ความสนใจกับของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมาะน่าจะเอาไปตั้งในห้องนอนของเรา เลยไม่ทันได้ยินเสียงของคนด้านหลัง หันไปมองก็พบว่าคนเรียกกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สีหน้าเบื่อหน่ายฉายชัด “ทำไมจะต้องสรรหาสรรพนามอื่นมาเรียกกันด้วย? ผมเรียก พี่ก็ไม่หันอยู่ดี” “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน เรียกอีกที ๆ” “…” ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดข้อตกลงเรื่องล่าสุดระหว่างเราจำต้องรีบหมุนตัวกลับอีกครั้ง แสร้งทำเป็นดูของตกแต่งชิ้
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 52 สามปีต่อมา ฉันหมดแรงทิ้งเข่าทรุดกายลงตรงจุดซึ่งมีธงปักอยู่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาซึ่งอยู่ทางแถบภาคตะวันตกของประเทศเป็นที่เรียบร้อย ด้านบนนี้ลมพัดแรงจนผมเผ้าที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสะบัดปลิวพลิ้วไหว ขายาวของคนที่มาด้วยกัน หยุดยืนลงที่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเก๋านั้นไม่ได้ดูหมดสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งแสดงออกว่าเหนื่อยสักนิดก็ยังไม่มี คนเป็นแฟนยืนทิ้งเข่า ยกขวดน้ำขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพของเหล่าภูเขาสลับซับซ้อนเรียงรายมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนนัยน์ตาซึ่งหรี่เล็กน้อยเพราะแรงลมจะเลื่อนต่ำลงมองสภาพของฉันด้วยสายตาที่บ่งชัดว่ากำลังสมน้ำหน้ากัน โอเค…ฉันมันบ้าเองที่อยากจะเดินป่าขึ้นเขาขึ้นดอยให้ได้ และตอนแรกเก๋าก็ไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรประเภทนี้ถึงแม้ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำก็จริง แต่เพราะยังไม่เคยทำกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนเลยทำให้คนเป็นแฟนมีทีท่าไม่เห็นด้วยอย่างที่บอกเก๋าค้านว่า อย่างน้อยเราก็ต้องมีประสบการณ์เดินทางไกล หรือไม่ก็ต้อ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 51 หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายร้อนผ่าวของฉันนอนทาบทับคร่อมเรียวขาอยู่เหนือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเก๋า ก้นสองข้างกำลังถูกฝ่ามือหนาจับสับโยกเข้าหาความแข็งขืนของตัวตนที่ผงาดกร้าวตั้งเป็นลำตอนนี้เป็นเวลาตีห้าเกือบจะหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น แต่แค่เรานอนกอดนอนเกยกันนิดเดียวก็เกิดจะปลุกเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ เสียงร่องเนื้อรูดขึ้นลงตามจังหวะการทิ้งสะโพกเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้ คนที่นอนอยู่ด้านล่างคลอเคลียจูบเข้าที่ซอกคอ หอมเข้าที่ข้างแก้มไม่หยุดมาตั้งแต่เราเริ่มบรรเลงบทรักเมื่อชั่วโมงก่อน “เสียวไหม?”เสียงห้าวแหบเอ่ยถาม ทั้งมือยังคงควบคุมจังหวะความเร็วอยู่อย่างนั้น ฉันเลื่อนริมฝีปากกระซิบเข้าที่ข้างหูของคนเป็นแฟนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงพร่า“เสียวจนจะแตกอีกแล้ว”“ชอบของผมไหม?”เก๋าหยักยิ้มเอ่ยขอคำชมที่ก็มักจะขอเสมอ และฉันก็ให้คำตอบด้วยการออกแรงขย่มสับรัวเร็วอย่างเอาใจ พลางกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่พร่าสั่นหนักกว่าเดิม“ขึ้นให้ทุกเช้าแบบนี้ เธอคิดว่าชอบไหม?”“ชอบตรงไหน?”“ชอบทุกตรง”“ผมก็ชอ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 50 หลายวันต่อมา หลายวันที่ผ่านไปคนที่บอกว่าจะจีบก็มาจีบทุกวัน เช้ารอบ เย็นอีกรอบ แต่ถ้าวันไหนติดงานแล้วมาไม่ได้ก็จะส่งกลอนหวานเลี่ยนมาทางแชตแทน แม้เป็นการจีบที่ไม่ได้เรื่อง แต่เก๋าก็ทำให้ฉันยิ้มได้ไม่หยุดและตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว การได้เห็นเจ้าตัวปรากฏตัวจึงไม่ได้น่าแปลกใจเพราะก็มาอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปจากวันอื่นตรงที่เก๋าแบกเอากีตาร์มาด้วยร่างสูงอยู่ในชุดนิสิตเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเพราะมหา’ลัยเปิดเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะขับมอเตอร์ไซค์มาหา“มาจีบ”ไม่ต้องรอให้ถามเจ้าตัวก็รีบชิงพูดขึ้นทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เหมือนจะแกล้งกันเล่น เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ออกจากหลัง ก่อนจะเริ่มทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด สายตาร้อนแรงจับจ้องมองกันแบบไม่วางตา“ถอดเสื้อถอดผ้าทำไม?”“ร้อน”“โกหก”“ใช่”“ถอดกางเกงทำไม?”“ร้อน”“เก๋า”“ใช่ ผมโกหก”ฉันหลุบตาลงมองนิยายในมือที่กำลังอ่านอยู่ขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย กระทั่งพื้นที่ว่างบนเตียงยุบลงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกทีเก๋าในสภาพกึ่งเปลือยมีกีตาร์วางพาดอยู่
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 49 ความเงียบ สายลม รวมถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินได้ฟัง มันควรจะเป็นโมเมนต์สุดแสนโรแมนติก ทว่าฉันกลับไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อรู้ว่าเราสองคนใจตรงกัน ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วหมวยจะไม่เป็นไรเหรอ?” “ไม่ต้องห่วง มีคนที่ดูแลหมวยได้ดีพอกับที่ผมทำช่วยรับหน้าที่ต่อแล้ว ถึงผมจะยังคงรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้น้องมัน แต่เรื่องอื่น ๆ น้องชายผมจะเป็นคนจัดการแทน” “เธอเคลียร์กับหมวยแล้วเหรอ?” “ผมบอกไปตรง ๆ ว่าผมชอบพี่ และเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ อันที่จริงก็ไม่ได้พูดครั้งแรกแต่พูดมาหลายครั้งแล้ว” “…” “และการตัดสินใจให้น้องผมเป็นคนดูแลหมวยต่อก็มีข้อดี หมวยจะได้ตัดใจจากผมได้สักที” “…” “และเพราะพี่เป็นแบบนี้ไง… ผมถึงได้ชอบ” เก๋าระบายรอยยิ้มอีกครั้งพลางก็ถอนหายใจเบา ๆ “ใครจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกัน ใครจะปากแว้ด ๆ ๆ แต่จริงแล้วเป็นคนใจดี” “นี่ชมหรือด่า?” “
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 48 หลายวันต่อมา วันนี้ วันที่ยี่สิบพฤศจิกายน… ฉันในชุดเดรสสีชมพูอ่อน รวบผมเป็นหางม้า ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ กำลังหมุนตัวซ้ายขวาตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวัน เพื่อไปงานแต่งงานของคนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทมากมายในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฉันตั้งแต่สมัยมัธยม มหา’ลัย กระทั่งเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง งานแต่งของสองคนที่ว่าจัดขึ้นที่จังหวัดระยองซึ่งเป็นบ้านเกิดของธนาอดีตแฟนของฉันเอง พลอยส่งโลเคชันที่จัดงานมาให้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนแล้ว และถึงฉันจะไม่ได้ตอบรับว่าจะไป แต่ก็มีเก๋าเสนอหน้าช่วยตอบให้ ทั้งยังแนบรูปที่เป็นของเราสองคนส่งไปด้วย เก๋าบอกว่าเราเป็นแฟนกันทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันเท่านั้น และถึงตอนนี้ไอ้คำว่าแฟนที่ว่าก็ยังไม่ได้เป็น ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงระยองกินเวลากว่าสามชั่วโมง มาถึงสถานที่จัดงานก็เป็นเวลาที่พิธีการเริ่มต้นขึ้นพอดิบพอดี งานแต่งงาน
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 47 ยี่สิบนาทีต่อมา แน่นอนว่าผมรถล้ม… และเกือบจะได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล แต่โชคยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าไรนัก ถึงแขนจะถลอก หน้าจะเกือบแหก แต่ก็ยังพอไหว… ความเร่งรีบทำให้ผมลืมแม้กระทั่งสิ่งสำคัญอย่างหมวกนิรภัยที่ปกติแล้วจะต้องใส่เสมอเพื่อความปลอดภัยของชีวิต แต่เพราะวันนี้จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องที่ว่าไม่ควรจะลืมก็ดันมาลืมซะได้ แม้จะบาดเจ็บเล็กน้อย แม้ผิวเนื้อตรงจุดที่เลือดผุดซึมจะแสบ ๆ คัน ๆ แต่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจ มาถึงคอนโดของกานดาได้ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกระหน่ำกดลิฟต์ทันที มีลุงแช่ม รปภ. ประจำคอนโดรีบวิ่งตามเข้ามาด้วยอาการร้อนใจแทน ผมพยายามจะใจเย็นตอนที่บอกว่าไม่เป็นไรผมจะขึ้นไปดูเอง แต่ใจผมในตอนนี้มันเย็นแทบไม่ไหวแล้ว และทันทีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาถึงหน้าห้องที่แสนจะคุ้นเคยก็รีบใช้กุญแจที่ตัวผมเองยังไม่ได้คืนให้เจ้าของห้องไขเข้าที่ลูกบิดทันทีพร้อมทั้งส่งเสียงเรียกไปด้วย “กานดา!” “…” “กานดา!” “…”